บทที่ 138 ข้าวผัดไข่ที่กินเท่าไหร่ก็ไม่มีวันเบื่อ

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

“เถ้าแก่ปู้ ขอบใจมากที่นะช่วย” จีเฉิงเสวี่ยพูดด้วยรอยยิ้มพร้อมประสานฝ่ามือและกำปั้นคารวะ เขามองหน้าสงบเรียบเฉยของปู้ฟางแล้วก็อดรู้สึกชื่นชมไม่ได้

ผู้ฝึกตนขั้นจิตยุทธการคนนี้สามารถทำให้ผู้ฝึกตนขั้นนักพรตยุทธการบาดเจ็บจนถึงกับกระอักเลือดแล้วต้องหนีไป แม้เขาจะใช้อำนาจของวงแหวนปราณในการต่อกร แต่ก็ยังถือว่าเป็นเรื่องน่าประทับใจอยู่ดี

นั่นเพราะความจริงที่ว่าขั้นจิตยุทธการและขั้นนักพรตยุทธการ มีพลังต่างกันราวฟ้าที่สูงที่สุดกับเหวที่ลึกที่สุด วัดอย่างไรก็วัดไม่ได้เลยทีเดียว

“เถ้าแก่ปู้นี้ช่างลึกลับยากแท้หยั่งถึงเสียจริง… เขาไม่ใช่ปุถุชนคนธรรมดาอย่างแน่นอน!” จีเฉิงเสวี่ยคิด

ปู้ฟางมองหน้าจีเฉิงเสวี่ยแล้วนิ่งไปสักพัก จากนั้นเขาก็ทำท่าบุ้ยใบ้ไปที่ผลตื่นรู้สามสายในมือของตน “ผลไม้นี่… ให้ข้าได้หรือไม่”

ปู้ฟางมองว่าที่จักรพรรดิคนต่อไปด้วยสีหน้าจริงจัง เขามั่นใจว่าจะต้องไม่ถูกปฏิเสธอย่างแน่นอน

ถึงผลตื่นรู้สามสายจะมีค่ามาก แต่ปู้ฟางก็ใช้สมุนไพรโลหิตปักษาเพลิงช่วยชีวิตจีเฉิงเสวี่ยเอาไว้เช่นกัน มูลค่าของสมุนไพรโลหิตปักษาเพลิงนั้นไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าผลไม้ตื่นรู้สามสายแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น… เพื่อตอบแทนบุญคุณที่ได้ช่วยชีวิตเขาไว้ จีเฉิงเสวี่ยคงไม่ปฏิเสธคำขอนี้แน่

จักรพรรดิฉางเฟิ่งสิ้นไปแล้ว ส่วนอวี่อ๋องก็ถูกลงโทษตามความผิดที่ได้ก่อไว้ องค์ชายรัชทายาทหมดสิ้นซึ่งอำนาจ ในขณะที่จีเฉิงเสวี่ยได้สืบทอดราชบัลลังก์ต่อตามราชโองการพินัยกรรมของจักรพรรดิองค์ก่อน ตอนนี้อนาคตในการขึ้นครองราชย์ของเขาจัดว่าแน่นอน จีเฉิงเสวี่ยจะเถลิงราชสมบัติขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไปของจักรวรรดิวายุแผ่วในเร็ววันนี้

“มอบผลไม้นี้ให้เถ้าแก่ปู้รึ… ข้าไม่เห็นว่าทำไมจะไม่ได้!” จีเฉิงเสวี่ยตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง

ปู้ฟางพยักหน้าอย่างมีความสุข จากนั้นก็ตบบ่าจีเฉิงเสวี่ย “ข้ารู้อยู่แล้วว่าที่ช่วยเจ้าไปนั้นไม่เสียของ…” ชายหนุ่มคิด

ฝาโลงศพถูกปิดกลับไปตามเดิม ผู้ฝึกตนขั้นราชันยุทธการที่เปลือยท่อนบนทั้งแปดคนยกโลงขึ้นอีกครั้ง พวกเขาเดินไปตามทางแล้วออกจากประตูจัตุรัสมายาสวรรค์

ทันทีที่ก้าวสู่ถนนสายหลักของนครหลวง บรรดาประชาชนที่ยืนอยู่สองข้างทางก็มองไปที่โลงศพทองแดงอย่างเงียบเชียบ ความเงียบนี้เต็มไปด้วยความโศกเศร้าอาดูรและความเคารพยำเกรง

จักรพรรดิฉางเฟิ่งเป็นเจ้าผู้ครองอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ ควรค่าแก่การเคารพสูงสุดเป็นอย่างยิ่ง

หิมะที่พัดวนอยู่ในอากาศดูราวกับเปลี่ยนเป็นกลีบดอกไม้ที่ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า คลอไปกับบทเพลงไว้อาลัยที่วงดนตรีหลวงกำลังบรรเลง

พิธีศพดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ถนนสองข้างทางเต็มไปด้วยประชาชนมากมาย บางคนก็ตาบวมจากการร้องไห้ บางคนก็ลงไปก้มหน้าคำนับอยู่กับพื้นแม้อากาศจะหนาวเหน็บ…

ต่างอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเมื่อเห็นภาพที่เกิดขึ้น

ดวงตาของจีเฉิงเสวี่ยเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ การกระทำของประชาชนทำให้จิตใจของเขาเอ่อล้นด้วยความรู้สึกมากมาย เขาตกใจเป็นอันมากที่บิดาซึ่งดูทั้งเคร่งและน่ายำเกรงในสายตาเขา กลับเป็นที่รักและเคารพของประชาชนทุกหนแห่ง นี่คือพลังแห่งผู้ปกครองนครสูงสุดอย่างแท้จริง

เขาเอง… ก็อยากเป็นจักรพรรดิที่เป็นที่เคารพรักของประชาชนเช่นนี้เหมือนกัน!

ปู้ฟางกลับมาถึงร้านแล้วก็ทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ทันที ชายหนุ่มเหนื่อยมากเสียจนไม่อยากจะขยับตัว หลังจากที่ใช้อภิมหาวงแหวนปราณหายนะเศียรมังกรไป พลังปราณในเส้นปราณของเขาก็เหือดหายไปจนหมด สภาพเขาตอนนี้แย่เหมือนกับอดอาหารมาสามวันเต็มเลยทีเดียว

แต่แม้จะทรมานกาย ปู้ฟางก็ยังพอใจกับผลลัพธ์ เนื่องจากในที่สุดเขาก็ได้ครอบครองผลไม้ตื่นรู้สามสาย!

ผลไม้นี้เป็นถึงผลไม้พลังปราณระดับเจ็ด เป็นสมบัติแสนล้ำค่าที่หาที่ไหนไม่ได้ในท้องตลาด และยังเป็นวัตถุดิบหลักของสุราที่เขากำลังจะหมักต่อไป

ปู้ฟางหยิบผลไม้ตื่นรู้สามสายออกมา กลิ่นของมันกระจายตัวไปทั่วร้านทันที ลายเมฆสามสายบนผิวผลไม้ดูเหมือนกลุ่มเมฆขาวบนท้องฟ้าที่กำลังลอยไปตามลม ทำให้ชายหนุ่มต้องไล่สายตาไปตามลวดลายนั้นอย่างอดมิได้ เมฆแต่ละสายดูเหมือนจะปล่อยกลิ่นประหลาดออกมาไม่เหมือนกัน เขาสูดหายใจลึกเอากลิ่นนั้นเข้าปอด รู้สึกได้ถึงพายุพลังปราณภายในกายที่พลันเพิ่มขึ้น

เท่าที่รับรู้มาจากเสียงเล่าลือ มีความเป็นไปได้มากที่ผู้ฝึกตนระดับหกขั้นจักรพรรดิยุทธการ จะสามารถบรรลุเป็นขั้นนักพรตยุทธการได้เมื่อได้กินผลไม้ตื่นรู้สามสายเข้าไป ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ผลไม้ชนิดนี้มีมูลค่าสูงหาใดเทียบ

ชายหนุ่มลากร่างอันอ่อนล้าของตนเดินเข้าครัวไปแล้วเปิดประตูตู้ เขาหยิบสมุนไพรโลหิตปักษาเพลิงที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บแล้วใส่เอาไว้ในตู้ จากนั้นก็วางผลไม้ตื่นรู้สามสายไว้ข้างกัน

ตู้ที่ระบบมอบให้นี้มีคุณสมบัติในการคงสภาพวัตถุดิบที่ยอดเยี่ยมเหนือจินตนาการ ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถป้องกันการสลายตัวของพลังปราณได้อีกด้วย จึงเหมาะที่จะเก็บสมุนไพรและผลไม้พลังปราณเหล่านี้เป็นอันมาก

หลังจากที่ยืดเส้นยืดสายเสร็จเรียบร้อย ปู้ฟางก็จัดการล้างมือให้สะอาด เขาดูอีกครั้งให้แน่ใจว่าเศษดินและสิ่งสกปรกถูกชำระล้างออกไปจนหมด จากนั้นจึงถกแขนเสื้อขึ้นเพื่อเริ่มทำอาหารกิน

พลังปราณเที่ยงแท้ภายในกายของเขาเหือดแห้งไปหมด จึงทำให้รู้สึกเหมือนอดอาหารมาพักใหญ่ เขารู้สึกได้ว่าตนเองจะลุกไม่ไหวแน่นอนในวันพรุ่งนี้ หากไม่ทำอาหารกินเพื่อฟื้นฟูพลังกาย

แม้ชายหนุ่มจะเหนื่อยล้าเหลือแสน แต่เขาก็พิถีพิถันเสมอเมื่อต้องทำอาหาร การเคลื่อนไหวขณะเตรียมวัตถุดิบก่อนการประกอบอาหารของเขาพลิ้วไหวราวกับเมฆที่ลอยไปตามสายลมและสายน้ำที่หลั่งไหลไปตามลำธาร

เสียงผัดในกระทะดังขึ้นเป็นจังหวะสะท้อนก้องไปทั่วห้องครัว จากนั้นกลิ่นหอมเข้มก็ลอยออกมาจากบริเวณที่ใช้ประกอบอาหาร กลิ่นนั้นหอมจนทำให้ใครก็ตามต้องพากันน้ำลายไหลและท้องร้องดังโครกจนอายม้วน

ไม่นานนักข้าวผัดไข่หอมกรุ่นร้อนเป็นไอหนึ่งจานที่ดูเหมือนราดด้วยซอสสีทองอร่าม ก็ถูกวางลงบนโต๊ะ

ปู้ฟางเช็ดหยดน้ำออกจากมือแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ ก่อนจะถอนหายใจยาวออกมา เขามองไปที่ชามข้าวผัดไข่ที่สวยงามจนเหมือนภาพวาดจากจิตรกรฝีมือดี ใบหน้าเต็มไปด้วยความพึงพอใจกับสิ่งที่ตนเองสรรสร้าง อาหารนั้นมีไว้เพื่อทำให้ผู้คนมีความสุข การได้ทำอาหารที่สร้างความปีติยินดีให้เบ่งบานในหัวใจของผู้คนเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมเหนือสิ่งอื่นใด

หลังจากชื่นชมผลงานตนเองเสร็จเรียบร้อย ปู้ฟางก็เริ่มกินอย่างกระตือรือร้น ชายหนุ่มใช้ช้อนกระเบื้องตักข้าวผัดไข่ขึ้นมาเต็มช้อน ไข่ข้นที่สุกเพียงร้อยละแปดสิบไหลเป็นทางทันทีที่เขายกช้อนขึ้น กลิ่นหอมของไข่ผสมกับกลิ่นของข้าวระเบิดออกมา พุ่งเข้าใส่โพรงจมูกของเขา

“กินกี่รอบข้าก็ไม่เบื่อเจ้าข้าวผัดไข่นี่เสียที” ปู้ฟางอุทานออกมา

ข้าวผัดไข่หนึ่งชามถือว่าไม่มากนักสำหรับปู้ฟางที่กำลังหิวจัด หลังจากที่กินเสร็จเรียบร้อย ชายหนุ่มก็รู้สึกถึงความอบอุ่นที่แพร่กระจายไปทั่วร่าง ดูเหมือนว่าพลังปราณเที่ยงแท้กำลังไหลวนอยู่ในท้องของเขา ส่วนกระแสพลังปราณในเส้นปราณก็เริ่มกลับมาหมุนวนอย่างมีชีวิตชีวาอีกครั้ง ขณะที่กระเพาะของเขาย่อยพลังปราณเที่ยงแท้ในข้าวผัดไข่

“กลับมารู้สึกปกติเสียที” ปู้ฟางคิดพร้อมยิ้มกริ่ม จากนั้นเขาก็เก็บถ้วยชามให้เรียบร้อยแล้วเดินกลับขึ้นห้องที่ชั้นสองไป เขาอาบน้ำอาบท่าเสร็จแล้วก็ขึ้นเตียงเตรียมตัวนอน

ตอนนั้นเป็นเวลากลางคืนแล้ว จันทร์เสี้ยวสองดวงฉายแสงสีเงินเย็นล้อกันในท้องฟ้าสีหมึกเบื้องบน

เมื่อจบพิธีศพของจักรพรรดิฉางเฟิ่ง จีเฉิงเสวี่ย จักรพรรดิองค์ใหม่ ก็ทำหน้าที่เฝ้าสุสานหลวงเป็นเวลาสามวันตามประเพณี จากนั้นก็เดินทางกลับไปประทับที่วังหลวง อวี่อ๋องหรือจีเฉิงอวี่ถูกถอดยศอ๋อง และถูกสะกดพลังปราณไว้จนหมดสิ้น โทษของเขาคือการเฝ้าสุสานหลวงเป็นเวลาสามปีด้วยกัน ระหว่างสามปีนี้ อวี่อ๋องไม่ได้รับอนุญาตให้ออกมาโดยเด็ดขาด

การร่วงจากอำนาจของจีเฉิงอวี่นั้นเกิดขึ้นโดยไม่มีใครทันตั้งตัว ทำให้ประชาชนอดไม่ได้ที่จะสงสารในชะตากรรมของเขา

หลังจากที่จีเฉิงเสวี่ยขึ้นครองราชย์ เขาก็ตั้งให้องค์ชายรัชทายาทถือตำแหน่งอ๋องไร้ราชกิจ เขาห้ามองค์ชายรัชทายาทควบคุมกำลังทหารและมีส่วนในกิจการบ้านเมือง บางทีนี่อาจจะเป็นทางลงที่ดีที่สุดสำหรับจีเฉิงอันก็เป็นได้

เมื่อจักรพรรดิองค์ใหม่เถลิงราชสมบัติเรียบร้อย จักรวรรดิวายุแผ่วก็กลับมาเดินหน้าอีกครั้ง ระหว่างช่วงรอยต่อที่จักรพรรดิฉางเฟิ่งสวรรคต ราชสำนักตกอยู่ในความโกลาหลทุกหย่อมหญ้า แต่บัดนี้ก็กลับมาสงบเรียบร้อยตามเดิมแล้ว

หัวหน้าขันทีเหลียนฟู่ไม่กลับมายังนครหลวงอีก แต่เลือกใช้เวลาที่เหลือของชีวิตอยู่ที่สุสานหลวงเพื่อเฝ้าสุสานของจักรพรรดิฉางเฟิ่งต่อไป นี่ถือเป็นปณิธานที่เขาตั้งใจจะทำจนวาระสุดท้าย

การตัดสินใจนี้ทำให้จีเฉิงเสวี่ยรู้สึกนับถือจนพูดไม่ออก และตัดสินใจไม่เรียกใช้เหลียนฟู่อีก

สำหรับตัวจีเฉิงเสวี่ยนั้น ข้อเสียที่ใหญ่หลวงที่สุดในการเป็นจักรพรรดิ คือการที่เขาไม่ได้ไปกินข้าวที่ร้านของเถ้าแก่ปู้อีก เขาไปกินเนื้อตุ๋นตำรับจีนจานโปรดและดื่มสุราหัวใจหยกเยือกแข็งแกล้มกันไม่ได้อีกต่อไป เอกสารที่กองรอเป็นตั้งให้จัดการ ทำให้จีเฉิงเสวี่ยยุ่งเสียจนไม่มีเวลาปลีกตัวออกจากวังหลวง

แถมปู้ฟางก็ให้ซื้อกลับบ้านได้เพียงขนมปังหอยนางรม หากเขากินขนมปังหอยนางรมทุกวัน… คงได้อาเจียนออกมาเป็นน้ำทะเลแน่นอน ด้วยเหตุนี้จีเฉิงเสวี่ยจึงเฝ้าคิดถึงอาหารที่ร้านของปู้ฟางอยู่ร่ำไป

เวลาผ่านไประยะหนึ่ง จักรวรรดิวายุแผ่วกลับมาสงบสุขอีกครั้งด้วยความพยายามของจีเฉิงเสวี่ยและขุนนางมากมาย หลายอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางตามที่ควรจะเป็น

ทุกอย่างกำลังดำเนินไปในทางที่ถูกต้อง

ฤดูหนาวค่อยๆ ผ่านพ้นไป ส่วนงานเทศกาลฤดูใบไม้ผลิของจักรวรรดิ… ก็ค่อยๆ คืบเข้ามาใกล้

……………………….