ภาคที่ 1 การรุกกลับของศิษย์พี่ บทที่ 79 กองทัพบุกประชิดชายแดน

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

จ้าวซื่อเฉิงมองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอ “ผังค่ายกลของเจ้า ขอข้าดูหน่อยได้หรือไม่”

ขณะที่เขาพูด เยี่ยนจ้าวเกอก็หยิบผืนผ้าผืนหนึ่งออกมาแล้ว

ผ้าผืนนั้นแม้สัมผัสกับปราณจินตราของเยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่ได้ฉีกขาด มีเพียงร่องรอยหลงเหลือไว้ ระหว่างที่เกิดเสียง ‘พึ่บพั่บ’ ผังค่ายกลหนึ่งที่ซ่อนอยู่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าจ้าวซื่อเฉิง

ราชาอาณาจักรถังตะวันออกสำรวจดูอย่างละเอียด เปรียบเทียบกับค่ายกลที่ตนเองรู้ในใจ ก่อนจะเกิดความรู้สึกกระจ่างแจ้งทันใด

“วิธีนี้ใช้ได้!” จ้าวซื่อเฉิงกล่าว “แต่การจะสร้างค่ายกลก็ยังต้องดูทรัพยากรก่อนว่าเพียงพอหรือไม่”

เยี่ยนจ้าวเกอพลันกล่าว “ที่หุบเหววายุวิญญาณมีทรัพยากรสะสมอยู่มาก หากมีที่ไม่พอก็ลองย้ายไปสั่งการจากเมืองใกล้ปราการที่อยู่ใกล้ๆ ได้พะยะค่ะ”

ในหุบเขาวายุวิญญาณอาจจะขาดสิ่งของที่จะใช้ในการสร้างค่ายกลบ้างเป็นธรรมดา

…ต่อให้ไม่ขาดแคลน เมื่ออยู่ต่อหน้ากลุ่มคนของถังตะวันออก มันก็จำเป็นจะต้องขาดแคลนเช่นกัน

หากไม่ใช่การเตรียมการเฉพาะกาล นั่นก็บ่งบอกได้ว่ามีการเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ซึ่งการเตรียมการนี้จะเป็นเพียงการรับมือเฉพาะกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นหรือ

อย่างไรเสียค่ายกลย้อนกลับนี้ก็สามารถสั่นคลอนค่ายกลชมตะวันขนาดใหญ่ได้

แม้ว่าจ้าวซื่อเฉิงจะไม่ได้คิดอะไร ก็ใช่ว่ายอดฝีมือของอาณาจักรถังตะวันออกคนอื่นๆ จะไม่รู้สึกกังขาในใจ

เมื่อตัดสินใจแล้ว ทุกๆ คนก็มุ่งหน้าเดินทางไปยังหุบเขาวายุวิญญาณอย่างเร่งด่วนใรทันที ตลอดทางก็มีข่าวส่งมารายงานไม่หยุดเช่นกัน

ณ ถังตะวันออก นอกจากเมืองชมตะวันแล้ว ที่อื่นก็ไม่ได้เกิดความโกลาหลขึ้นอย่างชัดเจนแต่อย่างใด ทว่ากิจการของเขากว่างเฉิงที่อยู่ที่ถังตะวันออกต่างก็ประสบกับการคุกคามจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์

อีกทั้งด้านนอกของหุบเขาวายุวิญญาณก็มีคนล้อมโจมตีเอาไว้แล้ว

กลุ่มคนของเยี่ยนจ้าวเกอกวาดล้างสิ่งกีดขวางออกไปอย่างรวดเร็ว และเมื่อสวีชวน ผู้อาวุโสปฏิบัติกิจได้รับข่าวก็รีบออกมาต้อนรับชายหนุ่มและจ้าวซื่อเฉิงเข้าไปในทันที

ตอนนี้เขารับหน้าที่ปฏิบัติกิจที่หุบเขาวายุวิญญาณโดยเฉพาะ ซึ่งที่นี่เองก็มีความสำคัญกว่าเมื่อก่อนมากนัก กำลังการป้องกันของที่นี่จึงแข็งแกร่งยิ่งกว่าแต่ก่อนด้วย

“ท่านผู้อาวุโสสวี ตามรายการที่ข้าให้ท่านไป ช่วยเตรียมของเหล่านี้ให้พร้อมอย่างเร่งด่วนด้วย หากขาดอะไร ก็เขียนบอกมานะขอรับ” หลังจากพบหน้ากัน เยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่มีกะจิตกะใจสนใจเรื่องมารยาทพิธีรีตองต่างๆ

สวีชวนก็เข้าใจได้ถึงลำดับความสำคัญ จึงรีบเร่งรับรายการที่เยี่ยนจ้าวเกอเขียนมา แล้วจัดการตระเตรียมสิ่งของให้อย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงรายงานสิ่งที่ยังขาดกลับไป

“ของเหล่านี้ล้วนมีที่เมืองใกล้ปราการทั้งหมด” สวีชวนพูดอย่างรวดเร็ว “ไม่รู้ว่าคลังของสำนักเราถูกยึดไปแล้วหรือไม่ แต่ต่อให้ที่สำนักเราไม่มีแล้ว ที่อื่นๆ ของเมืองใกล้ปราการนั้นต้องมีอย่างแน่นอน”

“ไม่ว่าจะเป็นหอเก็บของของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ หรือจะเขาไร้พรมแดนก็ไม่ขาดแคลนเป็นแน่!”

เยี่ยนจ้าวเกอรับใบรายการมาจากมือของสวีชวน แล้วหันกลับไปพูดกับอาหู่ว่า “อาหู่ สถานการณ์เร่งด่วน เจ้าไปสักเที่ยวแล้วกัน ระวังตัวด้วย”

จ้าวซื่อเฉิงกับเยี่ยนจ้าวเกอต้องอยู่สร้างคยกลที่นี่ ส่วนคนอื่นๆ ก็มีอาหู่เพียงผู้เดียวที่พลังความสามารถแข็งแกร่งที่สุด

อาหู่ยิ้มอย่างจริงใจครั้งหนึ่ง “คุณชายโปรดวางใจ ข้าไปเพียงครู่เดียวก็กลับแล้วขอรับ”

สิ้นคำพูดเขาก็หันหลังกลับออกไป เมื่อออกจากหุบเขาวายุวิญญาณแล้ว เขาก็มุ่งหน้าตรงไปยังเมืองใกล้ปราการอย่างรวดเร็ว

จ้าวซื่อเฉิงมองแผ่นหลังของอาหู่ที่ปลีกออกไป “แม้ว่าเยียนตี๋จะไม่ได้ถ่ายทอดวิชาลับของเขากว่างเฉิงให้เขา แต่ไม่ว่าจะเป็นเคล็ดวิชาเทพวายุนิมิตทมิฬ หรือวิชากรงเล็บภูตพยัคฆ์ ล้วนแล้วแต่เป็นวิชาวรยุทธ์ขั้นสูงสุดทั้งสิ้น”

แววตาของเยี่ยนจ้าวเผยให้เห็นถึงความอ่อนโยน “แท้จริงแล้วในปีนั้นท่านพ่อก็อยากจะรับอาหู่เป็นศิษย์ แต่อาหู่กลับยืนกรานไม่ยอมเสียเอง”

“ดังนั้นท่านพ่อจึงถ่ายทอดยอดวิชาสืบทอดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในวายุพิภพที่ล่มสลายไปในอดีต อันเป็นวิชาที่ตนเองเก็บสะสมมาให้กับอาหู่”

แท้จริงแล้วหลายปีมานี้ เยียนตี๋ปฏิบัติกับอาหู่เสมือนศิษย์เสียมากกว่า ส่วนกับเจ้าของร่างเดิมของเยี่ยนจ้าวเกอนั้น อาหู่เป็นทั้งข้ารับใช้และสหายคนสนิท

เมื่อเยี่ยนจ้าวเกอมาถึงโลกใบนี้ และได้อยู่กับชายร่างกำยำผู้นี้ ส่วนมากก็ไม่ได้ปฏิบัติกับเขาเหมือนอย่างข้ารับใช้ผู้ติดตามเช่นกัน

ระหว่างทั้งสองมักจะหยอกล้อซึ่งกันและกัน ผ่อนคลายสบายใจ

เมื่อเทียบกับบางคนที่แม้แต่หน้าก็ไม่เคยพบ ไม่เคยพูดด้วยแม้สักคำ มีอยู่เพียงในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมแล้ว ความสัมพันธ์ของตนเองและอาหู่ค่อยๆ หนักแน่นขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเหมาะเจาะพอดีกันกับเจ้าของร่างเดิม

หากไม่ใช่เพราะอาหู่ที่ดูเหมือนจะไม่มีสัมมาคารวะ ทว่าแท้จริงแล้วกลับยืนกรานจะรักษากฎระเบียบบางอย่างไว้ล่ะก็ เขาก็แทบจะเรียกได้ว่าเป็นสหายคนแรกของเยี่ยนจ้าวเกอหลังจากมาถึงโลกใบนี้เลยก็ว่าได้

ขณะที่พูดคุยกับจ้าวซื่อเฉิง เยี่ยนจ้าวเกอก็เริ่มช่วยเหลืออีกฝ่ายสร้างค่ายกลขึ้นใหม่ในหุบเขาวายุวิญญาณ

ค่ายกลนี้ เมื่อมองเผินๆ ดูคล้ายคลึงกับค่ายกลชมตะวันของอาณาจักรถังตะวันออก

ถึงกระนั้นเมื่อสังเกตอักขระวญญณแต่ละแถวของค่ายกลอย่างละเอียด ก็จะพบว่ามีจำนวนมากที่คล้ายกันแต่ไม่ใช่ อีกทั้งยังตรงกันข้ามกับค่ายกลชมตะวันทั้งหมด

เหมือนเช่นภาพสะท้อนในกระจกอย่างไรอย่างนั้น

ค่ายกลค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้น มีแสงส่องสว่างขึ้นมาเช่นกัน อักขระแต่ละแถวยื่นออกไปทั่วสารทิศ ค่อยๆ ปกคลุมหุบเขาวายุวิญญาณ

จ้าวซื่อเฉิงนั่งอยู่ใจกลางของค่ายกล มือหนึ่งกำหมัด อีกมือหนึ่งตบเบาๆ ลงไปบนพื้น

ค่ายกลฉากตัวนที่ถูกเขาชักนำ ก็เริ่มมีแสงสว่างบนอักขระเขตอาคมเจิดจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ

เพียงแต่แสงนั้นวูบวาบไม่หยุด เห็นได้ชัดว่ายังไม่เสถียรนัก

เยี่ยนจ้าวเกอรู้ดีว่านี่เป็นเพราะจ้าวซื่อเลี่ย จิ่นอ๋องก่อกวนเมืองชมตะวันอยู่

สีหน้าจ้าวซื่อเฉิงยังคงไม่เปลี่ยน เขานั่งตัวตรงสงบนิ่ง ชักนำพลังของค่ายกล ขณะเดียวกันก็กำลังปรับตัวกับการควบคุมพลังของค่ายกลย้อนกลับที่อยู่ในหุบเขาวายุวิญญาณ และผสานตนเองกับค่ายกลเข้าด้วยกัน

ขณะที่เขากะพริบตา ชุดคลุมลายมังกรที่อยู่บนร่างกายก็ค่อยๆ ปรากฏแสงสีทองขึ้น

แสงสีทองประหนึ่งเกล็ดมังกร ราวกับกำลังพาดชุดเกราะเกล็ดมังกรชุดหนึ่งให้กับจ้าวซื่อเฉิง

นั่นก็คือเกราะเกล็ดมังกรทอง อาวุธวิญญาณระดับกลาง ของล้ำค่าชิ้นแรกของอาณาจักรถังตะวันออก

ในยามปกติมันจะซ่อนอยู่ในตัวของจ้าวซื่อเฉิงไม่ปรากฏให้เห็น เมื่อถึงยามจำเป็นก็จะเปลี่ยนรูปเป็นชุดเกราะแสงสวมทับไว้บนร่างกาย

เคราะห์ดีที่มีอาวุธวิญญาณระดับกลางที่แข็งแกร่งชิ้นนี้คุ้มกันตอนอยู่ภายในหุบเหวปราการมังกร มิเช่นนั้นตอนที่ค่ายกลย้อนกลับในทันทีทันใด อีกทั้งพลังจากความผิดปกติของหุบเหวสะท้อนกลับ จ้าวซื่อเฉิงจะสามารถรักษาชีวิตเอาได้หรือไม่นั้นก็ยากจะบอก

มือซ้ายของเยี่ยนจ้าวเกอกำกระบี่เล่มหนึ่งเอาไว้ ส่วนมือขวาก็ชักนำลำแสงมรกตสายหนึ่งพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า จากนั้นก็จึงตกลงไปในใจกลางค่ายกลตรงหน้าของจ้าวซื่อเฉิง

ซึ่งนั่นก็คือกระบี่วิญญาณมังกรมรกต อาวุธวิญญาณที่เยี่ยนจ้าวเกอพกติดตัวเอาไว้

จ้าวซื่อเฉิงงอนิ้วดีดลงไปบนคมกระบี่เบาๆ ก็มีเสียงมังกรคำรามดังขึ้นในทันที

กระบี่วิญญาณมังกรมากตลอยตัวอยู่กลางอากาศ มีจิตวิญญาณเกิดขึ้นเอง ทว่าก็ไม่ได้ร่วงหล่น

ผิวหน้าของคมกระบี่ดูเรียบลื่นไร้ลาย แต่มีเงามังกรปรากฏขึ้นรางๆ วิ่งไปมาไม่หยุด

ในชุดเกราะเกล็ดมังกรทองที่อยู่บนตัวของจ้าวซื่อเฉิงก็มีเงาของมังกรทองปรากฏอยู่เช่นกัน และยังส่งเสียงคำรามออกมาดังสนั่นอีกด้วย

ชุดเกราะเกล็ดมังกรทองควบคุมค่ายกลที่จ้าวซื่อเฉิงเป็นคนชักนำ ส่วนกระบี่วิญญาณมังกรมรกตควบคุมค่ายกลย้อนกลับในหุบเขาวายุวิญญาณ

สองมังกรเรียกหากัน เขตอาคมทั้งสองตั้งคู่กัน พลังก็ค่อยๆ แข็งแกร่งมากขึ้น

ทว่าในตอนนี้เอง จอมยุทธ์เขากว่างเฉิงและจอมยุทธ์ถังตะวันออกที่อยู่ในหุบเขา ต่างก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

มีพลังที่แข็งแกร่งไหลเข้ามาจากด้านนอกของหุบเขาวายุวิญญาณ และรุกเข้ามาในหุบเขามากขึ้นเรื่อยๆ

แสงจากดวงอาทิตย์สีทองดวงหนึ่ง ลอยขึ้นระหว่างปากหุบเขาที่พาดกันเป็นทอดๆ กลิ่นอายอันน่าหวาดผวาค่อยๆ บีบเข้าใกล้กับค่ายกลที่อยู่ในหุบเขา

“สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์! มหาปรมาจารย์!”

เยี่ยนจ้าวเกอขมวดคิ้วเข้าหากัน แม้ว่าผู้ที่มาเยือนจะมีระดับวรยุทธ์น้อยกว่าจ้าวซื่อเฉิง เหยียนซวี่ และคนอื่นๆ ทว่าก็เป็นมหาปรมาจารย์จริงแท้แน่นอน!

ใบหน้าของจ้าวซื่อเฉิงสงบนิ่ง เขากำหมัดต่อยไปในอากาศ

ครั้นค่ายกลถูกกระตุ้น มันก็ส่งพลังโจมตีไปยังดวงอาทิตย์ที่ฉายแสงสีทองดวงนั้น

พลังของทั้งสองฝ่ายปะทะเข้าหากัน จากนั้นก็ระเบิดแสงเจิดจ้าทันที ส่องสว่างจนไม่สามารถมองตรงๆ ได้

จ้าวซื่อเฉิงในขณะนี้ยังไม่หายสนิทจากอาการบาดเจ็บ พลังของค่ายกลส่วนหนึ่งก็อยู่ที่เมืองชมตะวัน

มหาปรมาจารย์คนนั้นถูกสกัดกั้นเอาไว้ ไม่สามารถเข้ามาได้ ทว่าจ้าวซื่อเฉิงและพลังของค่ายกลก็ถูกยับยั้งไว้ในทันทีเช่นกัน

เมื่อต้องรับมือกับมหาปรมาจารย์ของสักนักศักดิ์สุริยันผู้นี้ การป้องกันค่ายกลก็เกิดรอยรั่วขึ้นทันทีทันใด

รอบๆ หุบเขามีเงาคนมากมาย ทันใดนั้นจอมยุทธ์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์กลุ่มหนึ่งก็รุกเขามาภายใน

หลายคนในนั้นมีกลิ่นอายที่น่าหวาดกลัว ขณะที่เคลื่อนที่ก็ราวกับจะสั่นสะเทือนอากาศที่อยู่โดยรอบกายไปด้วย

กลุ่มคนที่อยู่ในหุบเขาวายุวิญญาณต่างก็ใจหาย “ปรมาจารย์เคียงนภามากมายอะไรถึงเพียงนี้!”

เยี่ยนจ้าวเกอมองตรงไป หนึ่งในนั้นมีคนหนึ่งสวมชุดสีขาว หนวดเคราปกคลุมทั่วใบหน้า แววตาดุร้ายดุจอสรพิษ นั่นก็คือเซียวเซิงอย่างไม่ต้องสงสัย

เมื่อเซียวเซิงเข้ามาภายในหุบเขาแล้ว เขาก็กวาดสายตามองไปรอบด้าน ความสนใจก็ถูกดึงดูดไปอยู่บนตัวของเยี่ยนจ้าวเกอในพริบตาเดียว

“เยี่ยน! จ้าว! เกอ!” เซียวเซิงเน้นย้ำทีละคำ ภายในแววตาราวกับมีเปลวเพลิงลุกโหม

…………….