อวิ๋นหว่านชิ่นในวัยเยาว์ มานอนพักในห้องปีกข้างอยู่หลายปี วิ่งเล่นเข้านอกออกใน ปีนป่ายขึ้นลง ไหนเลยจะไม่รู้ว่าตรงนี้มีช่องลับอยู่ พอเจอ นางก็คลำหากลไกไปทั่ว จนเปิดช่องลับได้ แถมยังบอกมารดาอีกด้วย
ทว่าสวี่ฮูหยินคล้ายรู้อยู่แต่แรกแล้ว แม้ตอนนั้นช่องลับในห้องปีกข้างจะไม่มีอะไรเก็บซ่อนไว้ แต่นางก็ยังจุ๊ปาก ห้ามตนพูดมาก ด้วยเกรงว่าอวิ๋นเสวียนฉั่งจะไม่พอใจและตำหนิที่ลูกสาวรื้อข้าวรื้อของในห้อง
อวิ๋นเสวียนฉั่งมีช่องลับเล็กๆ เช่นนี้อยู่ในจวนไม่น้อย ข้าวของล้ำค่าย่อมวางไว้ในช่องลับที่เรือนหลัก ส่วนช่องลับในเรือนเจี่ยวเย่ว์ เป็นช่องลับสำรองเท่านั้น จึงว่างเปล่ามาตลอด ต่อมาพอย้ายห้องหนังสือไปอยู่ที่เรือนหลัก ห้องปีกข้างถูกทิ้งร้าง ช่องลับก็แทบจะถูกลืมไปด้วย
เมื่อชาติที่แล้ว ก่อนลาโลก ขณะอวิ๋นหว่านชิ่นกำลังค้นหาหลักฐานเพื่อเอาผิดกับคนในบ้าน ก็นึกถึงหลักฐานที่มีน้ำหนักมากสุด จึงเขียนหนังสือร้องเรียนฝ่าบาทว่า บ้านสกุลอวิ๋นได้สร้างช่องลับไว้เก็บสมบัติส่วนตัว พร้อมทั้งบอกวิธีการเปิดแนบท้าย โดยบรรยายไว้อย่างละเอียด ทำให้องครักษ์กับเหล่าขุนนางค้นเจอได้ไม่ยาก
สำหรับขุนนางที่แอบสะสมทรัพย์สินไว้ โอรสสวรรค์ทุกยุคทุกสมัยล้วนไม่อาจยอมรับ จึงลงโทษประหารคนบ้านสกุลอวิ๋น
ตอนนี้อวิ๋นหว่านชิ่นกลับมาอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าอีกครั้ง ช่องลับในผนังไม่ได้ต่างจากที่นางเคยเห็นในวัยเยาว์มากนัก ผนังที่อวิ๋นเสวียนฉั่งออกแบบให้สร้างเป็นช่องลับ ล้วนเป็นผนังที่หนาเป็นอย่างมาก ช่องลับนี้ดูแล้วไม่เด่นสะดุดตาเท่าไหร่…แต่พอดึงออกมา กลับลึกราวสองศอก สูงราวสามศอก แบ่งเป็นช่องเล็กๆ หลายช่อง โดยถ้าเอาเงินทองมาเก็บ ก็เก็บได้ไม่น้อยทีเดียว แต่ที่เห็นตรงหน้า มีเพียงสองช่องเท่านั้นที่มีของวางเอาไว้
ช่องหนึ่ง เห็นชัดว่าเป็นตั๋วแลกเงินฉบับหนึ่ง
จำนวนสี่พันตำลึงเงิน ของสถาบันการเงินชางหลง
วันออกตั๋วคือเมื่อวาน คนรับตั๋วไม่ได้ชื่อเหลียนเหนียง เหมือนเป็นชื่อที่อุปโลกน์ลอยๆ ขึ้นมา นับว่าอนุรองผู้นี้ฉลาดไม่เบา ที่พยายามอุดช่องโหว่ทุกอย่าง
สถาบันการเงินชางหลง ไม่มีใครในเมืองหลวงไม่รู้ว่าเป็นสถาบันการเงินใต้ดิน ที่ดำเนินการฟอกเงิน ฟอกของผิดกฎหมาย
เมื่อเป็นทรัพย์สินที่มู่หรงไท่แอบมอบให้ เหลียนเหนียงไหนเลยจะกล้าใช้ให้บ่าวในบ้านไปดำเนินการอย่างโจ่งแจ้งเล่า
มุมปากอวิ๋นหว่านชิ่นปรากฏรอยยิ้มเย็นชา พับตั๋วแลกเงิน เก็บไว้ในอกเสื้อ แล้วจึงหันไปมองอีกช่องหนึ่ง เป็นช่องในสุด เมื่อเทียบกับตั๋วแลกเงินใบนั้นแล้ว ของในช่องนี้โดดเดี่ยวมาก แทบจะไม่รู้สึกว่ามีอยู่ด้วยซ้ำ คล้ายเป็นของอะไรชิ้นหนึ่งที่มีผ้าเก่าๆ ห่อไว้
นางหยิบขึ้นมาดู พบว่าเป็นของนิ่มๆ ที่มีผ้าเนื้อดีที่ห่อไว้ด้านนอก เห็นเชื้อราขึ้นเป็นจุดๆ จึงไม่ใช่ของที่
เพิ่งเอามาเก็บอย่างแน่นอน
และไม่น่าใช่เหลียนเหนียงที่เอามาเก็บ แต่เป็นของที่วางไว้นานแล้ว ตอนที่นางพบเจอช่องลับนี้ขณะยังเล็กนั้น ไม่เห็นมีอะไรอยู่ด้านใน นั่นก็หมายความว่า ของชิ้นนี้ น่าจะถูกนำมาวางไว้ตอนนางโตพอควรแล้ว
รู้สึกว่า เดิมทีของชิ้นนี้ถูกคนใช้ผ้าเนื้อดีห่อไว้ในเป็นรูปสี่เหลี่ยม แต่ตอนนี้ผิดรูปไปเล็กน้อยและมีรอยย่น น่าจะเป็นเหลียนเหนียงที่นำตั๋วแลกเงินมาเก็บแล้วพบเห็นเข้า จึงเปิดออกดู พอเห็นว่าไม่ใช่ของดีอะไร ก็ห่อลวกๆ แล้ววางไว้ที่เดิม
ขณะสูดหายใจเข้า จมูกรับกลิ่นของอวิ๋นหว่านชิ่นพลันทำงาน หัวใจจึงเต้นขึ้นมา รู้สึกตื่นเต้นยิ่งกว่าตอนย่องเข้าไปหาของในห้องนอนเหลียนเหนียงเสียอีก
นางเปิดห่อผ้าที่ทั้งเก่าทั้งเหลืองออกทีละชั้น จนปรากฏผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งตรงหน้า
ลายปักบนผืนผ้าเป็นฝีมือการปักแบบทางใต้ ฝีเข็มละเอียด สีสันสดใส วิธีการปักเสมือนจริง เส้นด้ายที่ใช้มีผิวสัมผัสแบบเส้นไหมที่หนอนไหมคายออกมา
ตามที่อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ เส้นไหมที่หนอนไหมคายออกมา ทั้งเรียบและเหนียว มีความแวววาวตามธรรมชาติ คงทน เก็บไว้นานแค่ไหนก็จะดูใหม่เสมอ ทว่าหนอนไหมชนิดนี้มีวงจรชีวิตสั้น พอโตเต็มวัย ก็จะคายเส้นไหมออกมาตามกำหนดเวลาเพียงน้อยนิดจนหมด แล้วตายไป
ผ้าเช็ดหน้าเนื้อดีผืนนี้ ถือได้ว่าเป็นของล้ำค่าที่เหล่าคุณหนูหาซื้อไม่ได้ง่ายๆ อย่างแน่นอน โดยต่อให้เป็นที่นิยมในเมืองหลวง ก็ใช่ว่าลูกหลานในตระกูลใหญ่ๆ จะใช้กันได้ ถึงมีเงิน ก็ต้องต่อแถวรอหนอนไหมคายเส้นไหม หลายครั้งที่พบเจออวี้โหรงจวง ก็จะเห็นผ้าเช็ดหน้าแบบนี้ในมือนาง ได้ยินว่าไทเฮาทรงมอบให้นางเมื่อปีกลาย
ลายปักบนผ้าเช็ดหน้าเหมือนจริงมาก ปักอยู่บนผ้าสีเหลืองทองอ่อนๆ เป็นรูปดอกเหมยหนึ่งดอกเบ่งบานอย่างงามสง่าบนกิ่งเหมย พร้อมบทกวีลายมือกำกับอยู่มุมล่าง หมายความดังนี้
ดอกเหมยที่ปลายกิ่งทระนงในหิมะ ผู้ซึ่งอยู่ใต้ต้นเหมยชุ่มชื่นใจ
ใจดุจพระพุทธรูปในวิหาร วิญญาณล่องลอยออกนอกผลึกใส
ลายมือล้ำเลิศ ตัวอักษรทุกตัวตั้งตรงดุจไม้ไผ่ ไหลลื่นดุจสายลมในฤดูใบไม้ผลิ
จุดที่สำคัญสุดคือ ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ไม่ใช่แบบที่สตรีใช้ แต่เป็นแบบที่บุรุษใช้
อวิ๋นหว่านชิ่นสงสัยเป็นอย่างยิ่ง ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ต่อให้มีฝีมือการปักที่ยอดเยี่ยมเพียงใด ราคาแพงแค่ไหน อย่างไรก็เป็นเพียงผ้าเช็ดหน้า ไม่น่าถึงกับต้องมาเก็บรักษาไว้อย่างมิดชิด เห็นชัดว่า คุณค่าทางใจของผ้าเช็ดหน้า สำคัญกว่าราคา
และผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ย่อมไม่ใช่ของบิดา เพราะบิดาใจจดใจจ่ออยู่แต่กับความคิดที่ว่า ทำอย่างไรถึงจะได้เลื่อนตำแหน่ง น้อยนักที่จะปล่อยอารมณ์ได้งามสง่าได้เช่นนี้ ผู้ที่ใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ เห็นชัดว่าเป็นคนอ่อนไหว สง่างาม และใส่ใจรายละเอียดในชีวิตมาก อีกอย่าง ลายมือบนผ้าเช็ดหน้า ก็ไม่ใช่ของบิดา
เมื่อไม่ใช่ของบิดา และเหลียนเหนียงไม่ได้เอามาเก็บไว้ ช่องลับนี้มีแต่ตนกับมารดาเท่านั้นที่รู้ เกรงว่า
แปดถึงเก้าในสิบส่วน น่าจะเป็นมารดาที่เอามาเก็บ
เป็นของๆ มารดา…และเป็นผ้าเช็ดหน้าแบบบุรุษ
อวิ๋นหว่านชิ่นเอะใจขึ้นทันที จึงดูบทกวีบนผ้าเช็ดหน้าให้ดีๆ อีกรอบ บทกวีสั้นๆ เพียงยี่สิบตัวอักษร ไหนเลยจะบอกอะไรได้
และในตอนนี้เอง ห้องปีกข้างด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าดังตึงตัง เมี่ยวเอ๋อร์มาตามนาง ด้วยการกดเสียงให้ทุ้มต่ำ ก่อนเรียก
“คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่…”
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่มีเวลาคิดมากอีก ได้แต่เก็บผ้าเช็ดหน้าสีทองอ่อนลงไปในอกเสื้อ ก่อนหันไปกดตาซ้ายของสิงโตในภาพเขียน ลิ้นชักที่ยื่นออกจึงค่อยๆ หดกลับคืน เป็นหนึ่งเดียวกับผนังสีขาวตามเดิม นางค่อยดันตู้เสื้อผ้ากลับไปปิดช่องลับไว้ รีบออกจากห้อง แล้วลากเมี่ยวเอ๋อร์ให้ออกมาจากเรือนเจี่ยวเย่ว์ก่อน
พอออกมาได้ไกลพอสมควร เมี่ยวเอ๋อร์ก็หอบแฮ่กๆ ก่อนพูดหน้าตาตื่น
“คุณหนูใหญ่ แย่แล้ว เกิดเรื่องที่เรือนตะวันตก เมื่อกี๊ชูซย่าวิ่งมาบอกว่า ผู้อาวุโสเป็นลม!”