“อะไรนะ?” อวิ๋นหว่านชิ่นตกใจ ทำไมถึงเป็นลมไปได้ล่ะ ว่าแล้วก็ดึงมือเมี่ยวเอ๋อร์ วิ่งไปหาท่านย่า
ต้องบอกว่า ขณะที่อวิ๋นหว่านชิ่นสืบหาเบาะแสในห้องหนังสือเดิมของบ้านนั้น เรือนตะวันตกก็มีละครที่น่าดูชมฉากหนึ่ง
พอเหลียนเหนียงกับพี่ตงมาถึง แล้วก้าวเข้าไปในเรือนตะวันตก ก็เห็นหญิงชรานั่งไขว่ห้างหน้าเครียดอยู่บนตั่ง
ได้ยินว่า ขนาดฮูหยินรองอย่างไป๋เสวี่ยฮุ่ย หญิงชรายังกล้าด่าว่าตบตี แล้วตอนนี้ยังมีคนหัวไวอย่างหวงน้าสี่ยืนอยู่ข้างๆ กำลังเหล่ตาเล็กๆ มองมาที่ตนอีก
เหลียนเหนียงจึงขนลุกไปทั้งตัว กลัวว่าจะทำอะไรผิดพลาด
การคารวะช่วงเที่ยงผ่านพ้นมาแล้ว ช่วงเย็นยังมาไม่ถึง แล้วหญิงชราเรียกตนมาทำไมกัน จึงกลอกตาไปมา ก่อนก้าวไปข้างหน้าตรงๆ ย่อตัวลงอย่างนิ่มนวล แล้วยิ้มน่ารัก
“คารวะฮูหยินอาวุโส เหลียนเหนียงกำลังเตรียมตัวมาคารวะ ไม่คิดว่าฮูหยินอาวุโสจะส่งคนไปเรียก เหลียนเหนียงทำอะไรชักช้า หวังว่าท่านจะให้อภัย”
แม้ถงฮูหยินโกรธที่ม้าผอมตัวนี้ริอาจปิดบังเรื่องสำคัญกับตน แต่ก็ไม่ได้คิดจะเริ่มต้นด้วยการต่อว่านาง เพียงยิ้มเย็นชาส่งสัญญาณ ให้โอกาสนางสารภาพ เผื่อจะลดโทษให้ จึงพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
“เจ้ามาคารวะข้าทุกวัน วันละสามเวลาเช้า กลางวัน เย็น แต่ละครั้งไม่เคยขาดตกบกพร่อง มาถึงก็รินน้ำชาและทำตามขนบธรรมเนียม รายงานเรื่องราวประจำวันไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ให้ฟัง เจ้ากตัญญูกับคนแก่จากใจจริงเช่นนี้ ยังจะมีความผิดอะไรที่ข้าต้องให้อภัยอีก”
เหลียนเหนียงไหนเลยจะรู้ว่า ในใจของถงฮูหยินมีเปลวไฟที่ก่อขึ้นจากตนและกำลังรอที่จะปะทุออกมา พอได้ยินคำเยินยอ จึงวางใจลง ตนคงคิดมากไปเอง น้ำเสียงจึงยิ่งเจียมเนื้อเจียมตัว ขณะก้มศีรษะให้ต่ำลงไปอีก
“ฮูหยินอาวุโสชมเกินไป การกตัญญูจากใจจริงเป็นหน้าที่ข้าอยู่แล้ว…”
ยังพูดไม่ทันจบ ถงฮูหยินก็เดือด นี่นางยังคงเสแสร้งแกล้งทำ บ้าเยอไปตามน้ำ หน้าด้านมาก ให้โอกาสแล้ว ยังไม่รับ เช่นนั้นก็อย่าโทษว่าตนไม่เกรงใจก็แล้วกัน
จึงหยิบไม้ทุบหัวเข่าที่อยู่ใกล้มือขึ้น เขวี้ยงลงกับพื้นอย่างแรง
เดิมทีถงฮูหยินคิดเขวี้ยงลงกับพื้นข้างเท้า เพื่อแสดงฤทธิเดชให้เห็นเท่านั้น โดยไม่คิดว่าหมู่นี้โรคข้ออักเสบของตนกำเริบ ทำให้ปวดไปทั้งตัว กระดูกมือและเท้าเคลื่อนไหวไม่คล่องอยู่เป็นทุนเดิม คนแก่พลันทำไม้ทุบหัวเข่าหลุดจากมือ ด้วยควบคุมแรงไม่อยู่
เหลียนเหนียงที่ยืนอยู่ตรงหน้า พอเห็นไม้ทุบหัวเข่ายาวราวหนึ่งศอก ทำจากไม้ไผ่ที่ทั้งแข็งทั้งเย็นลอยผิดทิศทางมา ก็กรีดร้องออกมาคำหนึ่ง ก่อนที่ไม้ทุบหัวเข่าจะทุบถูกแขนเล็กๆ ของนาง
ลูกหลงครั้งนี้ไม่เบา! พริบตาที่ไม้ทุบหัวเข่าตกลงบนพื้น เหลียนเหนียงก็จับแขนบางๆ ของตนไว้ แล้ว
ถลึงตามอง พลางกัดริมฝีปาก น้ำตาหยดแหมะ คุกเข่าลงทันที
“ข้าทำผิดอะไร ขอฮูหยินอาวุโสโปรดชี้แจงให้ทราบด้วย”
พี่ตงที่ยืนอยู่ด้านข้างก็สะดุ้งตกใจ ด้วยนายหญิงเป็นคนโปรดของนายท่าน และนายท่านก็มักบอกให้ตนคอยอยู่ข้างกาย ดูแลนางให้ดีๆ ถ้าขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย ตนต้องรับผิดชอบ จึงรีบก้าวเข้าไป เลิกแขนเสื้อของเหลียนเนียงขึ้นไปครึ่งแขน พลางพูดเสียงเย็นชาเล็กน้อย
“อนุรอง แขนของท่านบวมแล้วเจ้าค่ะ”
ถงฮูหยินเห็นดังนี้ก็ยิ่งโมโห เหลียนเหนียงคิดว่าตนเป็นคนโปรดที่ว่าไม่ได้ แตะต้องไม่ได้แล้วจริงๆ? ตั้งแต่ตนเป็นย่าคนมา ขนาดสะใภ้ใหญ่ตนยังมีสิทธิด่าว่าตบตี นับประสาอะไรกับม้าผอมที่ตนซื้อมาให้ลูกชาย เรื่องที่นางทำให้ลูกชายควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้จนเอวเคล็ด จนเกือบต้องอับอายขายหน้าบ่าวในบ้านนั้น ถงฮูหยินยังจำขึ้นใจ แต่ไม่มีโอกาสจะพูด วันนี้จึงรวบบัญชีเก่าใหม่ไว้ด้วยกัน แล้วตั้งกฏสั่งสอนในคราวเดียวพอดี
พอเห็นสีหน้าถงฮูหยินไม่สู้จะดี เหลียนเหนียงก็กลัวว่าตนจะถูกด่าถูกตีอีก จึงส่งสายตาให้พี่ตงออกไป เพื่อแอบไปดูว่าท่านพี่กลับจากที่ทำงานแล้วหรือยัง ถ้ากลับมาแล้ว ก็ให้รีบบอกให้ท่านพี่มาช่วยตนด้วย
พี่ตงก็รู้โดยไม่ต้องบอก ค่อยๆ ถอยตัวเองออกไป พอขยับเท้าถึงริมม่าน และย่องออกไปได้ ก็วิ่งฉิว
ในเรือน
หวงน้าสี่มองดูสีหน้าของแม่สามี จากนั้นก็เปล่งเสียงจุ๊ๆๆ ก่อนว่า
“เหลียนเหนียง เจ้ายังกล้าพูดอีกหรือว่าเจ้ากตัญญูจากใจจริง! อะไรคือจริงใจกับท่านแม่ ตอนข้าอยู่บ้านนอก ตักข้าวมาหุงเพิ่มช้อนนึง ซื้อเสื้อใหม่มาเพิ่มตัวนึง ก็ต้องรายงานให้ท่านแม่ทราบ นี่ถึงจะเรียกว่าจริงใจ เรียกว่ากตัญญู ส่วนเจ้าน่ะ คุณชายรองบ้านมู่หรงมาขอเจ้าสาวอีกครั้ง คิดที่จะแต่งกับคุณหนูใหญ่ใหม่ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ เจ้าก็ยังไม่บอกท่านแม่สักคำ จึงกลายเป็นว่า การที่เจ้ามาวันละสามเวลา คำพูดที่เจ้าพูดทุกครั้ง ล้วนเป็นการเสแสร้งแกล้งทำ สิ่งที่ควรพูดกลับไม่พูด ไม่มีคำพูดใดเลยที่ออกจากใจจริง แบบนี้จะไม่ให้ท่านแม่ไม่โกรธได้อย่างไรเล่า กล้าคิดนะว่าท่านแม่อยู่ที่นี่ในฐานะแขก เจ้าเห็นว่าท่านแม่จะช้าจะเร็วก็ต้องไป จึงไม่สนใจใยดีอย่างนั้นรึ”
ใจเหลียนเหนียงเต้นโครมคราม ตื่นตกใจชั่วขณะ ที่ตนไม่บอกฮูหยินอาวุโสนั้น เป็นเพราะข้อแรก แม้แต่ท่านพี่เองก็ยังไม่บอก แล้วช้างเท้าหลังอย่างตน จะบอกก่อนได้อย่างไร ข้อสอง แม้ตนมาอยู่ในบ้านสกุลอวิ๋นได้ไม่นาน แต่ก็ดูออกว่า คุณหนูใหญ่เอาอกเอาใจหญิงชราที่มาจากบ้านนอกนางนี้เป็นอย่างดี ถ้าบอกนางไป นางก็ต้องบอกคุณหนูใหญ่ และถ้าคุณหนูใหญ่ไม่ยอม นางก็ต้องช่วยขอร้องท่านพี่ให้คุณหนูใหญ่ แล้วถ้าท่านพี่โอนอ่อนผ่อนตามแม่หม้ายนางนี้ เรื่องก็เป็นหมันกันพอดี
แต่ถ้ารอให้ท่านพี่กับคุณชายรองมู่หรงนั่นแอบตกลงกันเรียบร้อยก่อน นางก็จะแผลงฤทธิ์ไม่ได้อีก
พอรู้ว่าที่แท้ถงฮูหยินโกรธตนเพราะเรื่องนี้ ใบหน้าเล็กๆ ของเหลียนเหนียงจึงซีดขาว จับแขนตัวเองไว้ ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมรับ
“ผู้อาวุโสเข้าใจผิดแล้ว นี่ เรื่องนี้ ข้าเองก็ไม่รู้เรื่อง ท่านพี่ไม่ได้บอกข้าเลย!”
อย่างไรก็ตาม ท่านพี่ก็ต้องยืนข้างตน ช่วยตนโกหกถงฮูหยินอยู่แล้ว เลี่ยงสถานการณ์ตรงหน้าให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน!
“หึ! เจ้าไม่รู้เรื่อง!”
ถงฮูหยินเห็นนางยังคงพูดปดต่อหน้าตน เห็นว่าตนเป็นเด็กสามขวบชัดๆ จึงยิ้มเย็นชา
“เจ้ารองจะเคยบอกเจ้าหรือไม่นั้น ข้าไม่รู้ แต่ข้าเพิ่งให้คนไปสอบถามดู ถึงได้รู้ว่าวันที่คุณชายรองมู่หรงมา เจ้าเข้าไปรินน้ำชาในห้องรับแขก!”
เหลียนเหนียงคิดไม่ถึงว่าหญิงชราจะล่วงหน้าไปก่อนตนหนึ่งก้าว จึงหน้าซีด พึมพำออกมาสองสามคำ แต่พูดเป็นประโยคไม่ออก พอเห็นสายตาถงฮูหยินทอประกายระยิบ คมกริบดุจเคียว คล้ายสามารถลงมือถอนรากถอนโคนวัชพืชอย่างตนได้ทุกเมื่อ ไฉนตนยังกล้าพูดอีก จึงกัดริมฝีปากแน่นอยู่อย่างนั้น รอท่านพี่มาช่วยอย่างเดียว
นับว่านางโชคดี ที่เวลานี้เป็นเวลาที่อวิ๋นเสวียนฉั่งเลิกงานกลับถึงจวนพอดี ขณะกำลังนั่งคุยอยู่กับม่อไคไหลที่ห้องโถงด้านหน้า ก็เห็นพี่ตงวิ่งหอบแฮ่กๆ เข้ามา
“นายท่าน กลับมาได้พอดีเลย…”
อวิ๋นเสวียนฉั่งพลันขมวดคิ้ว “วิ่งหน้าตาตื่นมา มีเรื่องอะไรอีกล่ะ”
พี่ตงพูดไปหอบไป “อนุรองถูกผู้อาวุโสเรียกตัวไปเรือนตะวันตก ยังไม่ทันถามอะไรก็หยิบไม้ทุบหัวเข่ามาตีอนุรอง จนแขนของอนุรองบวมไปหมดแล้วเจ้าค่ะ!”