ตอนที่ 94-4 หญิงชราลมจับ

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

อวิ๋นเสวียนฉั่งตกใจ ไม่คิดอะไรอีก รีบเดินไปยังเรือนตะวันตกกับพี่ตง

 

 

พอเลิกม่านขึ้น ก้าวเข้าไปในเรือน มองไป ก็เป็นจริงอย่างที่ว่า ใบหน้าของเหลียนเหนียงเต็มไปด้วยคราบน้ำตา มือจับแขน คุกเข่าสะอึกสะอื้นอยู่กับพื้น น่าสงสารจับใจ ส่วนมารดาก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ บนพื้นมีไม้ทุบหัวเข่าตกอยู่

 

 

“ท่านแม่…นี่มันเรื่องอะไรกัน”

 

 

พออวิ๋นเสวียนฉั่งเห็นเหลียนเหนียงร้องไห้น้ำตาริน ก็จ้องมองมาแบบผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม เขาปวดใจมาก ทว่าก็ได้แต่ก้าวเข้าไปถามถงฮูหยินก่อน

 

 

ถงฮูหยินจะด่าว่าลูกก็ไม่สู้จะดี จึงพูดตีวัวกระทบคราด ฉวยโอกาสระบายความไม่พอใจ แค่นเสียงออกมาคำหนึ่ง ก่อนว่า

 

 

“เหลียนเหนียงของเจ้าน่ะ ดูพูดจาอ่อนหวานแบบนี้ แต่กลับร้ายกาจยิ่ง คำก็ว่า สองคำก็ว่า รับใช้คนแก่อย่างข้าด้วยความกตัญญูจากใจจริง แต่จริงๆ แล้วโกหกตลอด เรื่องใหญ่ทำเป็นไม่รู้ เรื่องเล็กก็ไม่รายงาน วันๆ มาคารวะข้าสามครั้ง เรื่องคนสกุลมู่หรงไร้ยางอาย มาขอชิ่นเอ๋อร์ใหม่ นางก็ยังไม่บอกข้า และเมื่อกี๊ข้าก็อุตส่าห์เรียบๆ เคียงๆ ถาม นางก็ยังโกหกข้าอีก บอกว่าไม่รู้เรื่อง! เจ้าว่าควรทำโทษนางไหมล่ะ!”

 

 

อวิ๋นเสวียนฉั่งรู้ว่ามารดากำลังตำหนิตนที่ไม่บอกเรื่องนี้ให้ฟัง แต่กลับบอกแต่อนุ จะตำหนิตนตรงๆ ก็ไม่ดี จึงระบายเพลิงโกรธลงบนตัวเหลียนเหนียง

 

 

เงียบไปสักพัก ก็เห็นใบหน้าที่บ่งบอกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมของเหลียนเหนียง และคล้ายกับว่านางปวดแขนมาก จนแทบคุกเข่าไม่ไหว จึงบอกให้นางลุกขึ้นยืน ก่อนหันไปพูดกับถงฮูหยิน

 

 

“ท่านแม่ เป็นเพราะข้าไม่ได้บอกท่านเอง เหลียนเหนียงกลัวว่าข้าจะตำหนินาง จึงไม่อยากพูดมาก ท่านเป็นผู้ใหญ่ใจกว้าง ยกโทษให้นางเถิด”

 

 

พอถงฮูหยินเห็นลูกชายบอกให้เหลียนเหนียงลุกขึ้นยืนโดยไม่ถามตนสักคำ ก็โมโหจนจุกอก ลุกพรวดขึ้น แต่เข่ารับแรงฉับพลันทันด่วนเช่นนี้ไม่ไหว ร่างจึงโอนเอน เกือบหกล้ม พอเห็นลูกชายจะเข้ามาพยุง ก็ใช้มือปัดออก เมื่อยืนนิ่งได้ ค่อยพูดอย่างขุ่นเคือง

 

 

“ไม่ต้องมาพยุงข้า! ข้าไม่เหมือนใครบางคนที่แสร้งทำเป็นอ่อนแอ ขอความเห็นใจเก่ง แค่คุกเข่าแป๊บเดียวก็บอกว่ารับความอยุติธรรมเทียมฟ้าเช่นนี้ไม่ไหวแล้ว! ข้ายืนของข้าเองได้! เจ้ารอง นี่เจ้าหมายความว่าอะไร ถ้าข้าไม่ยกโทษให้นาง ข้าจะกลายเป็นคนใจแคบเหมือนไส้ไก่งั้นรึ ใจแคบแล้วไง กะอีแค่ม้าผอมตัวเดียว ข้าสั่งสอนไม่ได้ก็ให้มันรู้กันไป”

 

 

อวิ๋นเสวียนฉั่งพูดอย่างลำบากใจ “ลูกไม่ได้หมายความเช่นนั้น ทำไมท่านแม่มักคิดออกทะเลไปไกลอยู่เรื่อย…”

 

 

ถงฮูหยินพูดอย่างใจเย็น “เจ้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น แต่เจ้าทำเช่นนี้ ต่อให้นางเป็นหวานใจเจ้าอย่างไร

 

 

ก็เป็นแค่ม้าผอมตัวหนึ่งที่ข้าซื้อมาแบบซื้อของตามตลาด ตอนนี้ข้าลากนางมาสอบถาม ยังไม่ทันทำอะไร เจ้าก็ยื่นมือเข้ามาขวางแล้ว ถ้าข้าตีนางไปจริงๆ เจ้ามิต้องสู้ตายกับข้าหรอกรึ! ดี เจ้าบอกว่าเจ้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น อย่างนั้นตอนนี้ข้าต้องการให้นางคุกเข่าลง แล้วตีนางสักตั้ง!”

 

 

อวิ๋นเสวียนฉั่งไม่อยากขัดใจมารดา แต่ก็ทนเห็นเหลียนเหนียงถูกตีไม่ได้จริงๆ อยากเอาใจทั้งสองฝ่าย จึงได้แต่บ่นพึมพำ

 

 

“ท่านแม่มิใช่ใช้ไม้ทุบหัวเข่า ตีแขนนางจนเป็นเช่นนี้แล้วหรือ”

 

 

เขาไม่ได้เห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ เพียงฟังคำบอกเล่าจากปากของพี่ตงที่กำลังตื่นตกใจเท่านั้น

 

 

พอคำพูดนี้หลุดจากปาก ถงฮูหยินก็ได้รับความอยุติธรรมเทียมฟ้าทันที ทำเอาอกอีแป้นจะแตกให้ได้ คนอื่นไม่ว่า แต่นี่เป็นลูกชายตนแท้ๆ เพียงเพราะม้าผอมตัวเดียว ถึงกับให้ตนกลืนความความอยุติธรรมเข้าไป เสียแรงที่สู้อุตส่าห์ลำบากลำบนเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ แต่กลับเทียบไม่ได้กับอนุคนหนึ่ง อย่าว่าแต่ตนไม่มีเจตนาตีเหลียนเหนียงเลย ต่อให้มี แล้วจะทำไม

 

 

หวงน้าสี่ก็ตกใจเช่นเดียวกัน จึงรีบว่า “น้องเขยอย่าได้เข้าใจท่านแม่ผิด! ท่านแม่ไม่ได้ตีเหลียนเหนียง แต่เป็นเพราะไม่ทันระวัง ทำไม้ทุบหัวเข่าหล่น ไปโดนตัวเหลียนเหนียงเข้า!”

 

 

ถงฮูหยินกลับใจเย็นลง เดินเข้าหาเหลียนเหนียง แล้วหยุดยืนตรงหน้านาง พลันยกมือขึ้น ตบเข้าที่ปากนางซ้ายขวา

 

 

“หาว่าข้าตีเจ้าใช่ไหม ดี ใยข้าต้องยอมให้เจ้าใส่ความด้วย เช่นนั้นก็ตบเจ้าให้สะใจไปเลยก็แล้วกัน!” เสียงเพี๊ยะๆ ดังสะท้อนไปมาในห้อง

 

 

เหลียนเหนียงถูกตบจนหน้าหัน มึนงงไปหมด แย่แล้ว พอเรียกสติคืนกลับได้ ก็ร้องโอดโอย แล้วร้องไห้ขึ้นมา “ท่านพี่…”

 

 

อวิ๋นเสวียนฉั่งเห็นมารดาโหดร้ายรุนแรงเช่นนี้ แล้วเห็นเหลียนเหนียงร้องไห้อย่างน่าเวทนา ก่อกวนจนในเรือนหนวกหูไปหมด จึงคว้ามือมารดาไว้ตามสัญชาติญาณ คิดที่จะแยกคนทั้งสองออก

 

 

ถงฮูหยินเห็นลูกชายถึงกับลงไม้ลงมือกับตน เพื่อปกป้องม้าผอม ก็เดือดดาล ทุ่มแรงสะบัดแขน จนหลุดออกจากมือลูกชาย

 

 

“ดีนี่ไอ้เจ้ารอง! มีเมียแล้วลืมแม่ก็แล้วกันไป แต่ยังมาตีแม่เพราะนังตัวดีนี่อีก ฟ้าจะผ่าเจ้าเอา…” พูดยังไม่ทันจบ ร่างก็ตุปัดตุเป๋ ยืนได้ไม่มั่นคง แขนป่ายซ้ายขวา หงายหลังล้ม หวงน้าสี่ยืนอยู่ไกล ก้าวเข้าพยุงไม่ทัน จึงร้องตะโกน “ท่านแม่…”

 

 

ถงฮูหยินถูกเสาที่อยู่ด้านหลังรองรับไว้ จะดีจะร้ายอย่างไร ร่างทั้งร่างก็ไม่ได้ล้มลงกับพื้น แต่หลังศีรษะชนเข้ากับเสาแทน ไม่รู้ว่าโกรธมากเกินไป หรือชนถูกอะไรเข้าอย่างจัง พลันตาเหลือก สลบเหมือดไป

 

 

ในห้องพลันโกลาหล หวงน้าสี่รุดเข้าข้างกายถงฮูหยิน ตรวจดูลมหายใจที่จมูก แล้วพยายามบีบนวด แต่หญิงชราก็ยังไม่ฟื้นตื่น อารามตกใจ ร้องไห้เสียงดังออกมา

 

 

เหลียนเหนียงสูดอากาศเย็นเข้าปอด หยุดน้ำตา ก่อนหดตัวไปอยู่ด้านหลังท่านพี่อย่างหญิงอ่อนแอ

 

 

อวิ๋นเสวียนฉั่งคิดไม่ถึงว่าตนจะผลักมารดาล้มลงโดยไม่ได้ตั้งใจเช่นนี้ จึงยืนตะลึงงัน กว่าจะได้สติ แล้วร้องเรียกคน “ใครก็ได้ เข้ามาเร็ว ไปเรียกท่านหมอมา รีบไปเรียกท่านหมอมา!”

 

 

บ่าวที่อยู่นอกเรือนเข้ามาแอบดูกันตั้งแต่ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายแล้ว ตอนนี้พอได้ยิน ก็รีบขานรับ และสาวเท้าไปตามหมอ เหลียนเหนียงนึกอะไรขึ้นได้ ก็รีบวิ่งตามออกไป ก่อนเอ็ด

 

 

“ออกไปแล้ว อย่าได้เที่ยวพูดจาซี๊ซั๊วล่ะ! ถ้าท่านหมอถาม ก็บอกว่าผู้อาวุโสไม่ทันระวัง หกล้มไปเอง ถ้าเจ้ากล้าพูดจาเหลวไหล กลับมาโดนไม้แน่!”

 

 

อวิ๋นเสวียนฉั่งที่อยู่ในห้องได้ยินทุกถ้อยกระทงความ ก็รู้ว่าเหลียนเหนียงคิดอะไรอยู่ เพราะถ้าผู้อื่นรู้ว่าตนปฏิบัติกับมารดาเช่นนี้ ชื่อเสียงย่อมไม่เหลือหรอ! ขณะกระวนกระวายใจ จึงอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเหลียนเหนียงด้วยความพึงพอใจ

 

 

เมื่อเหลียนเหนียงได้รับสายตาชื่นชมจากท่านพี่ ก็แอบยกมุมปากขึ้น แต่ยังไม่ทันหันกายเดินเข้าไปในห้อง ก็รู้สึกว่าด้านหลังมีลมพัดมาวูบหนึ่ง เป็นคุณหนูใหญ่นั่นเองที่พาสาวใช้เดินตรงเข้ามา พร้อมสายตาเย็นชาที่คมวาว ดุจฝนในฤดูใบไม้ร่วงและหิมะในฤดูหนาวก็มิปาน

 

 

ทำให้เหลียนเหนียงรู้สึกเหมือนได้พบเจอดาวพิฆาต รอยยิ้มจึงจางหาย ก้มหน้าลง ถอยไปยืนด้านข้าง