ผ้าม่านถูกเลิกขึ้น อวิ๋นหว่านชิ่นสาวเท้าก้าวเข้ามา
อวิ๋นเสวียนฉั่งหันมอง ดวงตาลูกสาวแม้สงบนิ่ง แต่แฝงแววเหยียดหยามอย่างบอกไม่ถูก คล้ายตนทำอะไรไม่ถูกต้องอย่างไรอย่างนั้น
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่พูดอะไรมาก ก้มศีรษะให้บิดา ก่อนก้าวเข้าหาถงฮูหยิน นั่งยองๆ ลงอีกข้าง แล้วประคองนางไว้ร่วมกับหวงน้าสี่
“ชิ่นเอ๋อร์มาแล้ว รีบดูท่านย่าเร็ว โอย ทำไงดีล่ะคราวนี้ พวกเราไม่ทันระวังแป๊บเดียว นางก็ล้มหัวชนเสาไป อายุมากขนาดนี้ ถ้าชนถูกอะไรเข้า กลับบ้านนอกไปลุงเจ้าต้องเอาข้าตายแน่…”
เดิมทีหวงน้าสี่สะอึกสะอื้นอยู่ พอเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นมา ก็ยิ่งร้องไห้เสียงดัง
อวิ๋นเสวียนฉั่งหน้าแดงถึงใบหู รู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะ จึงพึมพำออกมา
“ท่านแม่ฟื้นหรือยัง น่าจะยัง…”
“ป้าสะใภ้ รบกวนยกตัวท่านย่าขึ้นไปไว้บนเตียงพร้อมกันกับข้า”
อวิ๋นหว่านชิ่นพูดทีละคำกับหวงน้าสี่ ขัดจังหวะพูดของอวิ๋นเสวียนฉั่ง
ทำให้อวิ๋นเสวียนฉั่งต้องกลืนคำพูดอีกครึ่งหนึ่งลงไปอย่างกระอักกระอ่วนใจ แต่ก็พูดอะไรไม่ได้ คล้ายตนเป็นส่วนเกินก็มิปาน ได้แต่ถอยหลังไปสองก้าว แล้วจ้องมองลูกสาว พี่สะใภ้ กับมอมออีกคนหนึ่ง ร่วมกันยกร่างมารดาขึ้น ให้นอนราบกับเตียง
อวิ๋นเสวียนฉั่งจากไปไม่ได้ แต่ข้างกายมารดาก็มีคนล้อมรอบอยู่เต็ม จะเข้าไปใกล้ก็ไม่สู้จะดี เขาแบมือทั้งสองข้างขึ้น แต่ทำอะไรไม่ได้ และเสียงเรียบๆ ของลูกสาวก็ดังมา
“ถ้าท่านพ่อว่างอยู่ รบกวนรินน้ำเย็นบนโต๊ะมาหนึ่งถ้วย แล้วหยิบพัดใบตาลในลิ้นชักมาให้หน่อย”
ดุจได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ อวิ๋นเสวียนฉั่งรีบกระวีกระวาดรินน้ำหยิบพัดให้ลูกสาว
เหลียนเหนียงถูกรัศมีของอวิ๋นหว่านชิ่นคุกคามจนหดตัวไปอยู่ที่มุมประตูด้านหนึ่งโดยไม่กล้าส่งเสียงใดๆ ยิ่งเห็นท่าทางที่ทำอะไรไม่ถูกของท่านพี่ ก็ยิ่งไม่กล้าแสดงความไม่พอใจออกมา
ท่านย่าทำไร่ทำนาในชนบทอยู่ทุกวัน ร่างกายจึงแข็งแรงมาก นอกจากโรคข้ออักเสบ ก็ไม่เป็นโรคอะไรที่คนแก่มักจะเป็นกันอย่าง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคเส้นเลือดสมองตีบ อวิ๋นหว่านชิ่นลูบบริเวณหลังศีรษะของท่านย่าอย่างระมัดระวัง ก็ไม่พบว่าเกิดการบวมหรือมีรอยแผล ลองใช้นิ้วอังลมหายใจที่จมูก ลมหายใจเข้าออกก็ถือว่าปกติ พอแนบหูลงบนทรวงอกท่านย่า ก็ได้ยินเสียงหัวใจเต้นแรงและสม่ำเสมอ เกรงว่าน่าจะโกรธจนมึน ถึงได้สลบไป ค่อยวางใจลงได้บ้าง
“ป้าสะใภ้อย่าเพิ่งร้องไห้ ท่านค่อยๆ ใช้พัดใบตาลพัดเบาๆ เข้าที่ใบหน้ากับลำคอของท่านย่าก่อน”
ว่าแล้วอวิ๋นหว่านชิ่นก็ปลดกระดุมเสื้อกันหนาวของถงฮูหยินออก เผยให้เห็นลำคอและเนินหน้าอก
เล็กน้อย ก่อนล้วงยาหม่องสะระแหน่ที่ทำไว้เมื่อวันก่อนออกมา แตะแล้วนวดเข้าที่ขมับทั้งสองข้างของนาง
แล้วค่อยเสียบหมอนหนุนหนานุ่มใบหนึ่งเข้าที่หลังศีรษะนาง
เมื่อถงฮูหยินสูดอากาศบริสุทธ์เข้าปอด สมองสดชื่นขึ้น หนังตาก็ขยับ จึงลืมตาขึ้นเล็กน้อย
พอหวงน้าสี่เห็นแม่สามีฟื้นตื่น ก็ร้องเสียงดัง “ท่านแม่ แม่เจ้า ท่านฟื้นจนได้…”
อวิ๋นเสวียนฉั่งรีบก้าวเข้าไปดูด้วยความดีใจ “ท่านแม่ไม่เป็นไรใช่ไหม”
เมื่อครู่ถงฮูหยินโกรธสุดๆ สมองพลันว่างเปล่า พอศีรษะชนและเจ็บ จึงหมดสติไป ตอนนี้แม้สติฟื้นคืนมาได้กว่าครึ่ง แต่พอได้ยินเสียงลูกชาย ก็โกรธขึ้นมาอีก คิดว่าถ้าแล้วกันไปเช่นนี้ ตนยังจะมีศักดิ์ศรีอะไรในบ้านอีก จึงกัดฟัน หลับตาลง แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นมือของท่านย่าที่ตนจับอยู่ สั่นเล็กน้อย ก็รู้แล้วว่านางกำลังคิดสั่งสอนบิดา จึงนำก้านสำลีสะอาดที่ท่านย่าใช้เช็ดหู จุ่มน้ำเย็น แล้วปาดไปมาบนริมฝีปากถงฮูหยิน ให้ชุ่มชื้น พลางพูดอย่างสงบนิ่ง
“ท่านย่าเจ้าคะ ท่านหมอกำลังจะมา ไม่เป็นไรแล้ว ท่านหลับตาพักผ่อนไปก่อน”
ถงฮูหยินได้ยินแล้ว ก็ยิ่งแกล้งทำเป็นนอนนิ่ง ไม่มองลูกชายแม้หางตา ไม่สนใจใยดีแต่อย่างใด
อวิ๋นเสวียนฉั่งไหนเลยจะกล้าจากไป พอเห็นมารดามีทีท่ากับตนเช่นนี้ ก็ไม่กล้าเข้าใกล้ ได้แต่ยืนถูมือไปมาอยู่ตรงประตู รอฟังคำสั่งทุกเมื่อ
พออวิ๋นหว่านชิ่นเห็นถงฮูหยินไม่เป็นไรแล้ว ก็หันไปบอกหวงน้าสี่ให้คอยดูไว้ ส่วนตนก็ลุกเดินไปที่ประตู แต่ก่อนออกจากห้อง ได้หยุดฝีเท้าลง แล้วหันมองเหลียนเหนียงที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ตรงมุมประตู พลางพูดด้วยเสียงที่ไม่ดังและไม่เบาจนเกินไป
“รบกวนอนุรองตามข้าออกมาหน่อย”
เหลียนเหนียงตกใจ เสียวสันหลังวาบ ขนลุกซู่ขึ้น สายตาของเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็ง ยะเยือกกว่าตอนที่เพิ่งเดินเข้ามาหลายเท่า ทำให้นางต้องหันมองท่านพี่โดยไม่รู้ตัว
นางไม่อยากออกจากห้องนี้เลย
อวิ๋นเสวียนฉั่งกำลังเสียใจไม่หาย จึงจ้องมองแต่ถงฮูหยินที่นอนอยู่บนเตียง จนแทบไม่กล้ากระพริบตา ตนเพิ่งได้นั่งในตำแหน่งท่านเจ้ากรม เก้าอี้ยังไม่มั่นคงดี ไม่รู้ว่ามีสายตามากน้อยเท่าไหร่ที่จ้องตาเป็นมันอยู่ ถ้าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ตนต้องแย่แน่ๆ
พริบตานี้ไหนเลยจะสนใจอนุคนโปรดคนใหม่อีก ตอนนี้ถ้ายังปกป้องเหลียนเหนียงต่อหน้าผู้คน มิต้องทำให้มารดาโกรธอีกครั้งหรือ ดังนั้น ต่อให้เหลียนเหนียงหันมามอง มุ่งมั่นที่จะสบตาด้วย อวิ๋นเสวียนฉั่งก็ได้แต่เก็บสายตาคืนกลับ ไม่ขัดขวางอะไรลูกสาว
เหลียนเหนียงไม่มีทางเลือก ได้แต่เดินตามอวิ๋นหว่านชิ่นกับเมี่ยวเอ๋อร์ออกจากห้องไป ขณะเดินตามอยู่หลังสุด ก็ก้มหน้าตลอด เหมือนเมียน้อยอย่างไรอย่างนั้น ไม่กล้าแม้แต่สูดหายใจเข้า
เหลียนเหนียงเดินตามทั้งสองออกจากเรือนตะวันตก อ้อมระเบียงทางเดินรอบอาคาร ผู้ที่เดินนำอยู่ด้านหน้าไม่พูดจาตลอดทาง บรรยากาศตึงเครียดสุดๆ รอจนเงยหน้าขึ้น ค่อยเห็นผนังเขียวกระเบื้องดำของห้องชั้นเดียวอยู่ตรงหน้า ดูหมองหม่นชอบกล ไม่เหมือนที่พักอาศัยคน ลานหน้าห้องยิ่งไม่มีเสียงคน มีเพียงต้นไหวที่
ใบร่วงเกือบหมดอยู่ต้นหนึ่ง
เหลียนเหนียงหันมองซ้ายขวา ตั้งแต่มาบ้านสกุลอวิ๋น แม้นางไม่เคยมาที่นี่ ก็พอจะรู้ว่า ที่นี่คือห้องบูชาบรรพชน ซึ่งอยู่ตรงมุมเล็กๆ ด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจวน จึงตกใจในทันที
“คุณหนูใหญ่ เรื่องที่เกิดกับผู้อาวุโสในวันนี้ จะโทษข้าทั้งหมดไม่ได้นา หลายวันที่ผ่านมา ข้ายกน้ำร้อนน้ำชาให้ผู้อาวุโสและปรนนิบัติท่านเป็นอย่างดี…”
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ฟังใดๆ ทั้งสิ้น เพียงยกเก้าอี้ทรงกลมในลานมาตัวหนึ่ง ใช้มือปัดฝุ่นและใบไม้บนเก้าอี้ออก ก่อนนั่งลง แล้วค่อยพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ คล้ายพูดกับคนนอกก็มิปาน
“อ้อ แล้วที่เจ้าพูดจามั่วซั่ว ไม่พอใจในสิ่งที่ตนมี ปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ ยุท่านพ่อเรื่องการแต่งงานของลูกสาวบ้านสกุลอวิ๋น ผิดหรือเปล่าล่ะ”
เหลียนเหนียงตะลึงงัน ยืนกอดแขนทั้งสองข้างท่ามกลางลมหนาว สั่นไปทั้งตัว
“คุณหนูใหญ่ ข้า…ท่านเข้าใจข้าผิดแล้ว…” ฟันกระทบกันพลางคร่ำครวญว่าตนเองไม่ผิด
นางเปรียบดังดอกไม้สีขาวดอกเล็กๆ หนึ่งดอก ที่ทำให้ผู้คนที่อยู่รอบข้าง กลายเป็นคนพาลไปหมด
ลักษณะเช่นนี้ ไหนเลยจะเหมือนนางทำร้ายผู้อื่น กลับเหมือนผู้อื่นทำร้ายนางมากกว่า! มิน่าเล่าเพียงไม่กี่วัน เถาฮวาก็ถูกนางกระทำจนต้องตกต่ำและใช้ชีวิตอยู่อย่างอ้างว้าง