อวิ๋นหว่านชิ่นหยิบตั๋วแลกเงินของสถาบันชางหลงออกจากอกเสื้อ แล้วใช้นิ้วเรียวยาวคีบแกว่งไปมา
“ลาภลอยหล่นจากฟากฟ้า น่าจะเป็นเพราะข้าโชคดี ไม่ทันระวัง เก็บตั๋วแลกเงินมูลค่าสี่พันตำลึงเงินได้หนึ่งฉบับ ข้าว่า ก็เป็นเรื่องเข้าใจผิดเช่นเดียวกัน” ว่าแล้วก็เก็บกลับเข้าอกเสื้อ
เหลียนเหนียงมองตาถลน ตนซ่อนตั๋วแลกเงินไว้อย่างมิดชิด ทำไมนางถึงหาพบ! ตนเพิ่งจับเงินจำนวนนี้ได้ไม่ทันไร อวิ๋นหว่านชิ่นก็มาฉกไปต่อหน้าต่อตาเสียแล้ว เหมือนถูกเฉือนเนื้อไปหนึ่งดาบ ขณะร้อนรน รีบยกมือขึ้นคว้าตามสัญชาติญาณ กลับได้แต่มองนิ่ง แค้นใจที่แย่งคืนมาไม่ได้
“คุณหนูใหญ่…ตั๋วแลกเงินฉบับนี้…”
“ทำไม จะบอกว่าตั๋วแลกเงินฉบับนี้เป็นของเจ้า?” อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มมุมปาก “ถ้าเช่นนั้น ข้าก็ต้องไปเรียกคนสกุลอวิ๋นทั้งหมดมา เจ้าก็บอกพวกเขาเองแล้วกันว่า เอามาจากไหน ดีไหม”
พอคำพูดนี้หลุดจากปาก หัวใจของเหลียนเหนียงก็ตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ตนได้เงินก้อนใหญ่มาไว้ในครอบครอง แต่ก็ต้องสูญเสียไป เพราะดูเบาอวิ๋นหว่านชิ่น เอากลับคืนมาไม่ได้แล้ว
นั่นเป็นเงินสี่พันตำลึงเงินเต็มๆ แท้ๆ เชียวนา เหลียนเหนียงหน้าซีดแล้วก็เขียว ไม่ง่ายเลยที่เสียค่าโง่แล้วต้องกล้ำกลืนความแค้นไว้ ฝืนพูดต่อ
“ไม่ใช่ของข้า” ทุกคำพูดประดุจคมมีดกรีดเข้าเนื้อ
สักพัก พอสงบจิตสงบใจลง ค่อยพูดเสียงเบา “ไม่ทราบว่าตอนนี้ ข้าไปได้หรือยัง”
ไป? คิดว่าใช้เงินสี่พันตำลึงปิดปาก จ่ายแล้วก็จบงั้นหรือ
อวิ๋นหว่านชิ่นลุกขึ้นยืน เหลือบมองห้องบูชาบรรพชน แล้วเหลือบมองกระท่อมที่อยู่ด้านหลังห้องบูชาบรรพชน เห็นชายคามุมหนึ่งของกระท่อมรางๆ ให้ความรู้สึกเปลี่ยวเหงาวิเวกวังเวง ซึ่งก็คือสถานที่ๆ ไป๋เสวี่ยฮุ่ยถูกกักบริเวณในปัจจุบัน ก่อนหันมามองเหลียนเหนียง
“ในห้องบูชาบรรพชนเคยขังคนไว้คนหนึ่ง กระท่อมด้านหลังนั่นตอนนี้ก็ขังคนไว้คนหนึ่ง เจ้าเลือกดูได้ว่า…อยากอยู่ห้องไหน”
เหลียนเหนียงใจเต้นแรง ขณะชำเลืองมองประตูสีดำของห้องบูชาบรรพชนที่ถูกปิดไว้ ขนาดมอมอแซ่เถา คนสนิทที่ติดตามไป๋ฮูหยินมานานหลายปี ยังถูกอวิ๋นหว่านชิ่นโยนใส่ห้องบูชาบรรพชน จนมีสภาพคล้ายคนก็ไม่ใช่ ผีก็ไม่เชิง คงตกใจกลัวแล้วสติแตก กลายเป็นคนกึ่งบ้ากึ่งบอไป นางแม้เป็นคนใหม่มาทีหลัง แต่ก็เคยได้ยินเรื่องนี้เหมือนกัน ยังมีกระท่อมหลังห้องบูชาบรรพชนที่ตอนนี้กักตัวไป๋ฮูหยินไว้อีก…เม็ดเหงื่อจึงผุดขึ้นบนหน้าผาก
“คุณหนูใหญ่หมายความว่าอะไร ข้า…ที่ไหนข้าก็ไม่เลือกทั้งสิ้น”
เพิ่งพูดจบ เมี่ยวเอ๋อร์ก็ก้าวเข้าด้านหลังของเหลียนเหนียง ก่อนพันเชือกอย่างหนาที่เตรียมมาไว้แต่แรกกับรอบเอวและแขนของนางทันที ผูกปมให้แน่น แล้วผลักนางไปยังประตูอันเย็นยะเยียบของห้องบูชาบรรพชน
“ไม่ ไม่…คุณหนูใหญ่…”
เหลียนเหนียงเป็นหญิงสาวผิวบางกระดูกอ่อน ถูกเลี้ยงดูในสมาคมม้าผอมให้รักษาผิวพรรณเพื่อปรนนิบัติผู้ชายมาโดยตลอด ไหนเลยจะขัดขืนพละกำลังและความปราดเปรียวของเมี่ยวเอ๋อร์ได้ ต่อให้ดิ้นจนผิวตรงข้อมือถลอกก็ไม่มีทางดิ้นหลุด พอเห็นประตูห้องบูชาบรรพชนจ่ออยู่ตรงหน้า จึงร้องไห้พร้อมร้องขอชีวิต ที่นี่คือที่ๆ ถวายของเซ่นป้ายวิญญาณ เคยขังจนหญิงชรากลายเป็นบ้ามาแล้ว ตนเป็นคนขี้ขลาด ขังวันเดียวก็ไม่ได้!
พออวิ๋นหว่านชิ่นเห็นเหลียนเหนียงกำลังจะถูกผลักเข้าไปอยู่รอมร่อ ค่อยเอ่ยปากขึ้น ด้วยน้ำเสียงยิ้มเยาะอยู่ในที
“เมี่ยวเอ๋อร์ อนุรองเป็นคนโปรดอยู่นา ถ้าเจ้าขังนางไว้ในนี้ เดี๋ยวท่านพ่อมาถามหาคนกับข้าเข้า ข้าจะทำเช่นไรเล่า”
เมี่ยวเอ๋อร์จึงหยุด พอคลายมือลง เหลียนเหนียงก็รีบสะบัดเชือกสะเปะสะปะ พลางวิ่งหนี เดิมทีคิดวิ่งออกนอกลาน แต่แล้วก็หยุดนิ่ง ตนจะวิ่งไปไหนได้ วิ่งไปฟ้องท่านพี่หรือ ถึงตอนนั้นถ้าถูกถาม เรื่องที่ตนรับส่วยจากผู้ชายนอกบ้านก็จะแดงขึ้นทันที ตนจึงยังคงหนีไปไหนไม่ได้! ทำให้ยิ่งแค้นอวิ๋นหว่านชิ่นทวีคูณ
อวิ๋นหว่านชิ่นมองนางนิ่ง พลางก้าวเข้าหา แล้วยื่นมือช้อนใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาของนางขึ้น
เล็บเย็นๆ ของเด็กสาวไม่มีไออุ่น เมื่อสัมผัสถูกจึงรู้สึกหนาว ขณะแตะเข้าที่แก้มอันนุ่มนิ่มทั้งสองข้างของเหลียนเหนียง ถ้าข่วนลงไป เกรงว่าผิวหน้าจะถลอกจนเลือดไหลซิบๆ ทำให้เหลียนเหนียงขนลุกขนพอง
“คุณหนูใหญ่ ข้าผิดไปแล้ว กรุณาไว้ชีวิตข้าเถิด ข้าไม่รู้ว่าคุณหนูใหญ่ไม่ชอบคุณชายรองมู่หรงนั่น จึงพูดไปเช่นนั้นเอง ไหนเลยจะรู้ว่าท่านพี่ให้ความสำคัญ คิดเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา…ต่อไปข้าไม่กล้าแล้ว!”
พูดจบก็ดิ้นไปมา แต่ไม่กล้าดิ้นแรง กลัวว่าจะถูกเล็บของอวิ๋นหว่านชิ่นข่วนจนเป็นแผลเข้า
“เมื่ออนุรองยอมรับผิดจากใจจริงเช่นนี้ ข้าจะไร้น้ำใจก็กระไรอยู่” อวิ๋นหว่านชิ่นพูดช้าลง โดยเน้นทีละคำ“แต่ ผู้ที่มาถึงห้องบูชาบรรพชน ล้วนต้องถูกลงโทษ ในเมื่ออนุรองไม่ยอมเลือกสักที่ ก็ต้องจัดการตัวเอง”
อวิ๋นหว่านชิ่นค่อยๆ คลายมือลง แต่เหลียนเหนียงยังไม่รู้สึกโล่งอกเสียทีเดียว กลับยิ่งกระวนกระวายใจ วันนี้ถ้าคุณหนูใหญ่ไม่ได้ระบายความแค้น ตนคงไม่ไหนไม่ได้ เด็กสาวนางนี้น่ากลัวจริงๆ คิดคำนวณเก่งมาก ทั้งๆ ที่รู้ว่าตนรับเงินจากมู่หรงไท่มา แต่ก็ไม่ตีฆ้องร้องป่าว ทำเช่นนี้ ถึงจะฮุบเงินจำนวนมหาศาลไว้เป็นของตัวเองได้
เหลียนเหนียงสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนยกมือเล็กๆ ขึ้น ตบหน้าตนเองอย่างไม่แรงและไม่เบาจนเกินไป พร้อมน้ำตาไหลพราก
“หรือผู้กระทำความผิดไม่ต้องคุกเข่า” อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้ม “เมื่อครู่ตอนอนุรองถูกท่านย่าทำโทษ ก็ยังคุกเข่านี่นา”
รอยยิ้มดุจดอกไม้บาน แต่กลับเป็นดอกฝิ่นพิษ เหลียนเหนียงกัดริมฝีปาก แล้วคุกเข่าลงบนพื้นหินเย็นๆ พอยกมือขึ้น ก็มีเสียงดังลอยมา
“อย่าให้เบาจนเกินไปล่ะ มิฉะนั้นข้าจะมองความจริงใจของอนุรองไม่ออก” ว่าแล้วก็หัวเราะอย่างน่ารัก
น่าชัง
เหลียนเหนียงคุกเข่าพลางแค้นใจจนแน่นหน้าอก แต่ก็ยกมือขึ้น ตบใบหน้านุ่มนิ่มของตนอย่างแรง เสียง ‘เพียะ’ แก้มแดงไปครึ่งซีก เสียง ‘เพียะ’ อีกครั้ง แก้มอีกครึ่งซีกบวมตาม
ลานหน้าห้องบูชาบรรพชนเงียบสงัด เสียงตบหน้าจึงดังเป็นพิเศษ
อวิ๋นหว่านชิ่นกลับไปนั่งบนเก้าอี้ทรงกลม เอนหลังพิงพนัก วางศอกทั้งสองข้างลงบนที่เท้าแขน แล้วมองดูเงียบๆ
เหลียนเหนียงสะอึกสะอื้นไห้พลางตบหน้าตัวเองไปเจ็ดแปดครั้ง แล้วจึงยกเปลือกตาขึ้นมอง
“คุณหนูใหญ่ ได้แล้วหรือยัง…”
“ทำไม อนุรองจะขอพักครึ่งเวลาหรือ ก็ดี อย่างไรข้าก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว อนุรองพักก่อนค่อยตบต่อเถิด”
เด็กสาวนั่งเอนหลังอยู่บนเก้าอี้ทรงกลมในท่าที่สบายสุดๆ เหมือนเจ้าบ้านอย่างไรอย่างนั้น
เหลียนเหนียงสูดอากาศเย็นเข้าปอด ไหนเลยจะกล้าพักอีก ยกมือขึ้นตบปากตัวเอง ติดต่อกันสิบกว่าครั้งเห็นจะได้ เมื่ออวิ๋นหว่านชิ่นไม่ได้บอกให้หยุด จะกล้าหยุดได้อย่างไร ถ้าหยุด ก็จะมีข้ออ้างเพิ่มโทษให้ตนอีก
เสียงตบหน้าเพียะๆ ต่อเนื่องกันราวครึ่งชั่วยาม จนเหลียนเหนียงหน้าอ้วนหัวบวม จนใบหน้าเล็กๆ เท่าฝ่ามือที่งามดุจหยกดุจดอกไม้พองออก แต่นางก็ไม่กล้ายึกเยื้อแต่อย่างใด ตบไปร้องไห้ไป และในตอนนี้เอง เสียงของคุณหนูใหญ่ก็ดังมา
“…ชีวิตข้าทั้งชีวิตไม่ถึงกับต้องให้อนุรองพูดจาพร่ำเพรื่อ ใส่สีตีไข่เข้าไปหรอก ต่อไปถ้าทำตัวเป็นอนุที่ว่านอนสอนง่าย เก็บเลห์เพทุบายที่มีอยู่เต็มท้องลง ข้าย่อมเว้นสถานะในบ้านสกุลอวิ๋นให้…แต่ถ้าคิดใช้วิธีทำร้ายคนกับข้า ระวังข้าจะ…ฉีกเนื้ออนุรองเป็นชิ้นๆ ก็แล้วกัน”
พูดจบก็หัวเราะ เสียงหัวเราะดุจระฆังเงิน ทั้งน่ารักทั้งดังกึกก้อง กระทั่งยังมีความไร้เดียงสาตามธรรมชาติอยู่บ้าง แต่ก็เหมือนดังมาจากขุมนรกก็มิปาน หน้าอกเหลียนเหนียงกระเพื่อมขึ้นลง แต่พอเงยหน้าขึ้น คุณหนูใหญ่ก็พาเมี่ยวเอ๋อร์เดินจากไปแล้ว
ระหว่างทาง เมี่ยวเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมอง แล้วถาม
“เหตุใดคุณหนูใหญ่ถึงไม่เปิดโปงเหลียนเหนียงไปตรงๆ เจ้าคะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นหันมากระพริบตาปริบๆ “จากสถานะของนางในตอนนี้ เจ้าว่า ต่อให้ท่านพ่อรู้ว่านางรับสินบนจากคนนอก แล้วจะทำอย่างไร”
เอ่อ นี่ก็พูดถูกเผง! เมี่ยวเอ๋อร์เข้าใจเจตนาของคุณหนูใหญ่แล้ว ความรักอยู่ในช่วงร้อนแรง ย่อมต้องปกป้องสุดที่รักเข้าไว้ จะขายเหลียนเหนียงทอดตลาดได้อย่างไรกัน อย่างมากก็ด่าว่าสักตั้ง เรื่องก็จบลง
“ตั๋วแลกเงินอยู่ในมือข้า จะรีบร้อนไปทำไม ถ้าเปิดโปงนาง ก็เท่ากับเปิดเผยทรัพย์สิน ต้องถูกริบเข้ากองกลาง มิเท่ากับให้ท่านพ่อได้เปรียบหรอกหรือ”
ให้เขาได้ทั้งผู้หญิง ได้ทั้งเงิน ฝันไปเถอะ แล้วอวิ๋นหว่านชิ่นก็เปลี่ยนเรื่อง
“ไป ไปดูท่านย่าที่เรือนตะวันตกกัน”