ตอนที่ 95-3 ยึดเงิน

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

เรือนตะวันตก

 

 

ยังไม่ทันชั่วน้ำเดือด บ่าวบ้านสกุลอวิ๋นก็เชิญท่านหมอประจำโรงหมอหน้าปากซอยมาถึงบ้านแล้ว

 

 

ท่านหมอรีบรุดมายังเรือนตะวันตก หลังจากตรวจชีพจรและถามรายละเอียดเพิ่มเติม ก็บอกว่าคนแก่ถูกกระทบกระเทือนทางจิตใจจึงโกรธ และพอหัวชนเสาถึงได้สลบไป ตอนนี้เมื่อทำให้ฟื้นขึ้นมาได้ ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร พอเขียนใบสั่งยาซึ่งมีส่วนผสมของสมุนไพรที่ทำให้เลือดลมไหลเวียนเสร็จ ก็กำชับว่า หมู่นี้พยายามอย่าทำให้นางโกรธขึ้นมาอีก ให้ตามใจคนแก่ทุกอย่าง จากนั้นก็เรียกบ่าวในบ้านให้ตามตนกลับไปเอายาที่แผนกยา

 

 

อวิ๋นเสวียนฉั่งได้ยินดังนี้ ก็วางใจลง คนแก่หรือมารดาตน ชนถูกศีรษะอย่างแรง ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมา แล้วรู้ถึงหูคนนอก ตนก็จะมีความผิดฐานอกตัญญู โดยแม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังไม่กล้าละเลยเจี่ยไทเฮาแม้แต่น้อย  เกรงว่าผู้คนจะหยิบยกเป็นหัวข้อสนทนาขึ้นมา

 

 

รอจนท่านหมอกับบ่าวจากไป อวิ๋นเสวียนฉั่งค่อยมองดูถงฮูหยินที่เอนกายอยู่ในมุ้งบนเตียง พอเห็นสีหน้าที่หมองหม่น ก็รู้ว่ายังโกรธอยู่ จึงรีบก้าวเข้าไป คุกเข่าลง พร้อมสีหน้าขมขื่น พลางว่า

 

 

“ท่านแม่ ครั้งนี้เป็นเพราะลูกไม่ทันระวังเอง ลูกอกตัญญู ขอท่านแม่อย่าถือโทษโกรธลูกเลย จะเสียสุขภาพไปเปล่าๆ”

 

 

ถงฮูหยินหันมอง พลันน้ำตาไหล

 

 

“เลี้ยงลูกชายมีประโยชน์อะไร ข้าเป็นหม้ายตอนอายุสิบเก้า แล้วก็ไม่ได้แต่งงานใหม่อีก ข้าประหยัดมัธยัสถ์ ผู้หญิงตัวคนเดียวทำมาหาเลี้ยงลูกชายสองคนในท้องไร่ท้องนาไม่กี่ผืนที่สามีผู้ล่วงลับทิ้งเอาไว้ให้ ข้าเห็นว่าเจ้าเป็นคนฉลาด ชอบอ่านหนังสือ จึงคิดหาวิธีสารพัด ยัดเจ้าให้เข้าเรียนหนังสือในโรงเรียนเอกชน เนื่องจากต้องจ่ายค่าแป๊ยเจี๊ยะให้อาจารย์ ข้ากับพี่ใหญ่เจ้าจึงยอมอดข้าว ไม่กินมื้อเช้ากับมื้อเที่ยงสองมื้อเป็นเวลาสองเดือนเต็มๆ…จนในที่สุด เจ้าได้เป็นใหญ่เป็นโต แต่กลับขัดแย้งกับแม่ เพราะอนุเพียงคนเดียว ข้าอยู่ไปยังจะมีความหมายอะไรอีก เจ้าไปหาเชือกปอสักเส้น ให้ข้าแขวนคอไปหาพ่อเจ้าดีกว่า…”

 

 

ว่าแล้วก็สะเทือนอารมณ์ ฮึดฮัดขึ้นมาอีก หวงน้าสี่ตกใจ รีบเข้ามาปรามนางไว้ ก่อนส่งสายตาให้น้องรองระวังคำพูดด้วย

 

 

อวิ๋นเสวียนฉั่งหน้าถอดสี ตนยังจะพูดอะไรได้อีก มารดาเป็นคนแข็ง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คิดอยากตายขึ้นมา และถ้าคิดไม่ตก ตัดช่องน้อยแต่พอตัวในบ้านของตนเข้า ก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว จึงตัดสินใจ ออกแรงทั้งหมดที่มี ตบหน้าตัวเองไปสองที ตบจนฟันแทบจะหลุดอยู่รอมร่อ แต่ก็ยังทนเจ็บ พลางว่า

 

 

“ท่านแม่ ล้วนเป็นความผิดของลูก! ล้วนเป็นความผิดของลูก! เป็นลูกเองที่อกตัญญู!”

 

 

พอถงฮูหยินเห็นเขาตบหน้าตัวเองจนเลือดกบปาก อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว ใบหน้ายังมาบวมเปล่งอีก ขายหน้าสุดๆ จึงได้แต่ทอดถอนใจ

 

 

“ช่างเถอะ ข้าก็ไม่ได้โทษเจ้า ในเมื่อเจ้าไม่ให้ข้าตาย พรุ่งนี้ข้าก็แค่กลับบ้าน แล้วแต่นี้เป็นต้นไป เราสอง

 

 

แม่ลูกก็ขาดกัน ไม่ต้องไปมาหาสู่กันอีก! ข้าก็คิดเสียว่า ไม่เคยมีลูกชายอยู่ในเมืองหลวง เจ้าก็คิดเสียว่า ไม่เคยมี

 

 

แม่กับพี่ชายอยู่ที่ไท่โจว!”

 

 

อวิ๋นเสวียนฉั่งเตรียมโขกศีรษะให้มารดาอยู่แล้ว ด้วยสำนึกเสียใจที่ตอนแรกไม่น่ามือไว ขัดใจมารดา เช่นนี้ถ้ามารดากลับไท่โจวไป ต่อให้มารดาไม่พูด เพียงพี่สะใภ้ช่างพูดที่เปรียบดังโทรโข่งเคลื่อนที่ เปรยเรื่องนี้ขึ้นมา ตนมิต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงหรือ ช้าเร็วก็ต้องเดือดร้อนอยู่ดี จึงได้แต่โขกศีรษะขอร้อง

 

 

“ท่านแม่ ต่อไปถ้าท่านพูดว่าหนึ่ง ลูกก็ไม่กล้าพูดว่าสองแล้ว เพียงขอให้ท่านอย่าได้พูดถึงเรื่องตายหรือตัดลูกตัดแม่อะไรอีก ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ลูกได้รับแต่งตั้งให้เป็นท่านเจ้ากรม ตำแหน่งยังไม่มั่นคงดี มีคนมากมายอยากให้ลูกผิดพลาด…ขอร้องล่ะท่านแม่! ลูกคุกเข่าให้ท่าน โขกศีรษะให้ท่าน ยังไม่พออีกหรือ!”

 

 

เมื่อครู่ถงฮูหยินพูดไปเพราะความโกรธ ด้วยกลัวว่าลูกชายจะไม่เห็นตนอยู่ในสายตาอีก ตอนนี้พอเห็นว่าลูกชายสัญญาว่าต่อไปจะไม่กล้าไม่เชื่อฟัง ก็นับว่าบรรลุจุดประสงค์แล้ว พอเห็นลูกชายพูดเช่นนี้ ก็ขยับริมฝีปาก แต่กลับไม่พูดอะไร

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นมาถึงหน้าประตูแต่แรก จึงมองความรู้สึกของถงฮูหยินออก รู้ว่านางให้อภัยบิดาแล้ว แต่เพิ่งพูดจาแข็งกร้าวออกไป จะกลับคำทันทีก็กระไรอยู่ อวิ๋นหว่านชิ่นจึงก้าวเข้าไป นั่งลงตรงหัวเตียง แล้วพูดอย่างอ่อนโยนกับอวิ๋นเสวียนฉั่งที่คุกเข่าอยู่แทบเท้าตน

 

 

“ท่านพ่อ ท่านย่าพูดมากมายเสียขนาดนี้ ปากคอแห้งหมดแล้ว”

 

 

อวิ๋นเสวียนฉั่งคิดลุกไปรินน้ำที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างๆ แต่มารดายังไม่ได้บอกให้ลุก ตนก็ไม่กล้าลุก จึงได้แต่ใช้เข่าคลานไปกับพื้น หวงน้าสี่ทนไม่ไหว จนต้องแอบหัวเราะออกมาขณะเห็นท่าทางตลกๆ ของเขา

 

 

พออวิ๋นหว่านชิ่นรับถ้วยน้ำมา และป้อนให้ถงฮูหยินดื่มไปหลายอึก ค่อยพูดเสียงเบา

 

 

“เมื่อรู้ว่าผิดแล้วยอมแก้ไข ย่อมเป็นสิ่งที่ดี ชิ่นเอ๋อร์จำคำที่ท่านย่าเคยสอนจิ่นจ้งได้ ยิ่งไปกว่านั้น…” เบนสายตาไปมองบิดา “ท่านพ่อมิใช่รับปากท่านย่าแล้วหรือว่า ท่านย่าพูดอะไร ก็จะทำตามทุกอย่าง”

 

 

พอถงฮูหยินเห็นหลานสาวพูดจาประนีประนอม ก็ยิ่งพอใจ แม้ยังโกรธอยู่บ้าง ก็ยอมก้าวลงบันไดแต่โดยดี

 

 

“เจ้าควรจะดีใจนะ ที่มีลูกสาวที่รู้กาลเทศะและละเอียดอ่อนเช่นนี้ ลุกขึ้นเถิด”

 

 

อวิ๋นเสวียนฉั่งจึงโล่งอก ยกชุดยาวแล้วลุกขึ้นยืน ยังไม่ทันพูดอะไร มารดาก็พูดขึ้นก่อน ด้วยถงฮูหยินมิใช่คนที่จะยอมใครได้ง่ายๆ นางหลุบตาลงพลางว่า

 

 

“…เจ้าเป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนัก ส่วนข้าเป็นเพียงแม่หม้ายในชนบทคนหนึ่ง ข้ามิได้หวังว่าต่อไปถ้าข้าพูดอะไรแล้วเจ้าต้องทำตามเสียทุกอย่างจริงๆ เพียงแต่ตอนนี้มีอยู่สองเรื่อง ที่อยากให้เจ้ารับฟัง”

 

 

“ขอเพียงท่านแม่บอก ลูกย่อมตั้งใจฟังคำตักเตือน ไม่กล้าไม่ทำตาม” อวิ๋นเสวียนฉั่งรีบรับปาก

 

 

“เรื่องแรก อย่าหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องกามารมณ์จนลืมว่าเจ้ามีวันนี้ได้อย่างไร เจ้าไม่เห็นคนแก่อย่างข้าอยู่ในสายตาก็แล้วกันไป แต่จิ่นจ้งเล่า เขาเป็นลูกชายเจ้า ถ้าไม่ใช่เพราะหลายปีมานี้เจ้าเอาแต่ตามใจไป๋ฮูหยิน นางจะทะเยอทะยานอยากทำร้ายทายาทสืบสกุลหรือ ชิ่นเอ๋อร์ก็เหมือนกัน การแต่งงานของนางถือเป็นเรื่องใหญ่ อย่าว่าแต่ทำให้นางผิดหวังเรื่องผู้ชายเลย เจ้ายังเอาแต่หารือกับอนุ แล้วพออนุพูดแค่คำสองคำ เจ้าก็คิดที่จะยัดเยียดลูกสาวคนโตที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวให้กับผู้ชายหลายใจนั่นอีก ขนาดถามก็ยังไม่คิดถามลูกสาวเจ้าสักคำ ถ้าไม่เรียกว่าลืมตัวแล้วจะเรียกว่าอะไร ผู้หญิงหลังบ้าน เจ้ารักใครชอบใครเป็นเรื่องของเจ้า ข้าไม่มีสิทธิยุ่งเกี่ยวเพียงอยากให้เจ้าสัญญาว่า ถึงรักชอบแค่ไหน ก็ล้ำเส้นสถานะลูกหลานสกุลอวิ๋นไม่ได้เป็นอันขาด ถ้าใครริอาจทำร้ายลูกหลานสกุลอวิ๋นข้าแม้เพียงนิดเดียว ข้าจะโบย ขาย หรือไม่ก็ฆ่าคนผู้นั้นทันที จะไม่ยกโทษให้แต่อย่างใด” หญิงชราพูดอย่างเฉียบขาดและลึกซึ้ง

 

 

“แน่นอนอยู่แล้ว แน่นอนอยู่แล้วท่านแม่” อวิ๋นเสวียนฉั่งเหงื่อตก

 

 

“เรื่องที่สอง ฮุ่ยหลานที่รับใช้อยู่นอกเรือนหลัก เจ้าหาฤกษ์ดีสักวัน แต่งเข้าเป็นอนุเถิด”

 

 

ข้อเรียกร้องที่สองของหญิงชรากลับตรงจุด เรียบง่าย ไม่อ้อมค้อมแม้แต่น้อย ก่อนเสริมขึ้นอีกประโยค

 

 

“จัดให้สมศักดิ์ศรี ให้สิทธิประโยชน์ตามสถานะ สูงกว่าเหลียนเหนียงได้ แต่ต่ำกว่าเหลียนเหนียงไม่ได้”

 

 

คำพูดนี้พอหลุดจากปาก เหลียนเหนียงที่วิ่งมาแอบฟังข้างเรือนตะวันตกทั้งๆ ที่หน้ายังไม่หายบวม พลันมึนงง ขยำม่านผ้าสำลีตรงหน้า หญิงชราต้องการให้ท่านพี่รับฮุ่ยหลานเป็นอนุ ยังต้องการให้มีสถานะเทียบเคียงเสมอตน?

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นกลับยกมุมปากขึ้นยิ้ม ท่านย่านี่ ใช่ว่าจะยอมให้ใครมาตอแยได้ง่ายๆ เหมือนกัน

 

 

อวิ๋นเสวียนฉั่งนึกหน้าฮุ่ยหลานไม่ออกในทันที สักพักถึงจะนึกขึ้นได้ แต่ก็ไม่กล้าถามมาก แต่งก็แต่ง ตอนนี้หญิงชราพูดอะไรเขาก็เชื่อฟังหมด จึงตอบอย่างเคารพนบนอบ

 

 

“ขอรับ ท่านแม่”

 

 

เหลียนเหนียงปล่อยผ้าม่านลง แล้วกัดฟันแน่น

 

 

ถงฮูหยินกำชับเสร็จ ก็รู้สึกเพลียเพราะพูดมาก พอเห็นเจ้ารองรับปากรับคำ จึงพูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างอ่อนล้า “เรียบร้อยแล้ว เจ้ากลับไปเถิด”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นท่านย่าหน้าซีดและเหน็ดเหนื่อย ก็รีบเข้าพยุงร่วมกับหวงน้าสี่ให้นอนราบ ห่มผ้านวม แล้วดึงมุ้งลง ก่อนหันกายไปพูดเบาๆ กับบิดา

 

 

“ลูกจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนท่านย่า รอให้บ่าวยกยาที่ตุ๋นเสร็จมา ลูกจะป้อนยาให้ท่านย่าทานแล้วค่อยไป ท่านพ่อวางใจได้”

 

 

อวิ๋นเสวียนฉั่งในตอนนี้ได้แต่ฝากความหวังในการเอาอกเอาใจมารดาไว้กับลูกสาว จึงพยักหน้าหงึกๆ ก่อนออกจากเรือนตะวันตกไป