ตอนที่ 95-4 ยึดเงิน

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

เนื่องเพราะเหลียนเหนียง อวิ๋นเสวียนฉั่งถึงได้ทำเรื่องเหลวไหลลงไป เขาจึงไม่กล้าไปเรือนเจี่ยวเยว์ในทันที รอจนคืนวันรุ่งขึ้น ค่อยแอบย่องไปหาเหลียนเหนียง

 

 

พอเห็นใบหน้าที่สะสวยน่ารักของนางบวมเป็นภูเขาลูกเล็กๆ ก็ตกใจ เดาว่าน่าจะเป็นลูกสาวที่เรียกนางออกไปสั่งสอน จึงรู้สึกไม่พอใจ เดิมทีคิดจะเดินไปสอบถามลูกสาว แต่พอนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานเพิ่งรับปากมารดาว่า รักชอบใครต้องมีขอบเขต จะล้ำเส้นสถานะของลูกหลานตนเองไม่ได้ จึงถอนหายใจยาวๆ ออกมา ใจอ่อนลง

 

 

เหลียนเหนียงผ่านโลกมาพอสมควร ก็ยิ่งไม่กล้าฟ้องเรื่องคุณหนูใหญ่ จึงได้แต่ร้องไห้เสียงดังเรียกร้องความเห็นใจอยู่พักหนึ่ง จากนั้นค่อยใช้นิ้วสัมผัสที่มุมปากของเจ้าบ้านเบาๆ พลางว่า

 

 

“แล้วทำไมท่านพี่ถึงได้บาดเจ็บเช่นนี้ล่ะเจ้าคะ”

 

 

เหงือกและฟันของอวิ๋นเสวียนฉั่งยังบวมไม่หาย ตอนเข้าประชุมท้องพระโรงก็ต้องก้มหน้าก้มตา เกรงว่าฝ่าบาทกับเพื่อนร่วมงานจะพบเห็นเข้า ตอนนี้ก็ยิ่งขายหน้าอนุไม่ได้ จึงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

 

 

ทั้งสองต่างกอดผู้ซึ่งถูกตบจนหน้าบวมเป็นซาลาเปาซึ่งกันและกันอยู่สักพัก โดยต่างไม่คิดเปิดเผยเรื่องนี้ต่อกัน แต่แล้วเหลียนเหนียงก็ร้องไห้ออกมาอีก

 

 

“ท่านพี่จะแต่งฮุ่ยหลานเข้ามาใช่หรือไม่”

 

 

อวิ๋นเสวียนฉั่งพยักหน้า “น่าจะไม่กี่วันนี้ล่ะ”

 

 

เหลียนเหนียงไม่อยากยินยอม ด้วยตอนนี้ตนเป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียว อนุฟางนั่นก็แก่เกินแกง ไม่ใช่คู่แข่งอีก แต่ฮุ่ยหลานเป็นวัยรุ่นที่กำลังเบ่งบาน มีนางเพิ่มขึ้นอีกคน อุปสรรคก็เพิ่มมากขึ้น จะยอมได้อย่างไรเล่า ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากเกิดเรื่องกับเถาฮวา ฮุ่ยหลานก็ไม่ญาติดีกับตนอีก ทุกครั้งที่พบหน้าตน สายตาที่มองมาล้วนอยากฉีกตนเป็นชิ้นๆ แทบไม่ทัน ตอนเดินสวนกันในเรือนก็เอาแต่สะบัดหน้าหนี ครั้งนี้ถ้านางได้เลื่อนขั้น ย่อมต้องปะฉะดะกับตนแน่

 

 

และแล้ว เหลียนเหนียงก็บีบน้ำตา พลางโอบเอวบุรุษไว้ “ท่านพี่จะมีผู้หญิงคนใหม่อีกแล้ว อย่าลืมเหลียนเหนียงนะเจ้าคะ”

 

 

“จะลืมได้อย่างไรกัน ข้าต้องการปลอบประโลมใจท่านแม่เท่านั้น”

 

 

ความรักของอวิ๋นเสวียนฉั่งที่มีต่อเหลียนเหนียงยังไม่ผ่านช่วงเวลาสุกงอม กับฮุ่ยหลานเขาก็ไม่ค่อยคุ้นเคย ย่อมต้องเอนเอียงมาทางเหลียนเหนียง พูดไปพูดไป เขาก็รู้สึกแต่ว่า มีมือเล็กๆ ไต่มาที่เอว แล้วยังเจ้าเลห์ เที่ยวจับไปเรื่อย พลันโลหิตสูบฉีด ทนไม่ไหว หัวเราะออกมาเบาๆ

 

 

“นางมารน้อย” เพิ่งปลดเข็มขัดออก ก็ได้ยินเสียงพี่ตงดังมาจากด้านนอก

 

 

“นายท่านเจ้าคะ คุณหนูใหญ่มาจากเรือนตะวันตก ถามว่าตอนนี้ท่านจะไปเยี่ยมผู้อาวุโสหรือไม่ ถ้าไม่ไป นางก็จะป้อนยาก่อนนอนให้ผู้อาวุโสทาน”

 

 

อวิ๋นเสวียนฉั่งถูกลูกสาวขัดจังหวะ แต่กลับโมโหไม่ได้ จึงได้แต่ตอบอย่างตะกุกตะกักไป

 

 

“ไปเดี๋ยวนี้ล่ะ” ว่าแล้วก็ดึงกางเกงขึ้นด้วยหน้าตาเศร้าสลด ก่อนออกจากเรือนเจี่ยวเย่ว์ไป

 

 

 

 

ด้านถงฮูหยิน ที่นอนพักอยู่บนเตียงและทานยาไปสองชุด แต่อาการกลับแย่ลง เดิมทีวันนั้นนางยังแสร้งทำเป็นป่วยอยู่บ้าง เพื่อให้ลูกตกใจ แต่ผ่านไปสองวัน กลับปวดหัวตัวเบา แน่นหน้าอก อยากอาเจียนก็อาเจียนไม่ออก กินข้าวก็กินไม่ลง กระทั่งลุกจากเตียงไม่ได้ในที่สุด

 

 

ด้านอวิ๋นเสวียนฉั่งที่ใช้ให้ม่อไคไหลไปบอกมู่หรงไท่ในวันรุ่งขึ้นว่า ให้มาหารือเรื่องแต่งงานเป็นการส่วนตัวที่บ้าน แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถแบ่งร่างเพื่อทำสองเรื่องพร้อมกัน จึงได้แต่วางเรื่องมู่หรงไท่ไว้ชั่วคราว

 

 

อวิ๋นเสวียนฉั่งเชิญหมอใหญ่ชื่อดังในเมืองหลวงมาตรวจดูอาการมารดา หมอบอกว่า วันนั้นหญิงชราโมโหจนจุกอก บวกกับอากาศเย็นลงอย่างรวดเร็ว พอโดนลม ร่างกายก็ต่อต้านอย่างรุนแรง จึงจัดยาให้ทานสักสองสามชุด แต่อาการของถงฮูหยินก็ยังไม่ดีขึ้น

 

 

เมื่อมารดาป่วยหนัก แม้อวิ๋นเสวียนฉั่งเพิ่งได้เป็นเจ้ากรมและงานยุ่งอย่างไร ก็ต้องขอลามาดูแลมารดาที่บ้านสองวัน หวงน้าสี่ อวิ๋นหว่านชิ่นกับอวิ๋นจิ่นจ้ง อนุฟางและคนอื่นๆ ก็ผลัดกันมาดูแลถงฮูหยินอยู่ข้างเตียง

 

 

เดิมทีอวิ๋นเสวียนฉั่งคิดบอกให้เหลียนเหนียงมาช่วงดึก เพื่อให้นางผูกพันกับมารดามากขึ้น มารดาจะได้คลายปมในใจลง แต่ลูกสาวกลับพูดเบาๆ ว่า

 

 

“ท่านพ่อคิดว่าท่านย่ายังป่วยไม่หนักพอหรือไง”

 

 

อวิ๋นเสวียนฉั่งจึงค่อยๆ ยอมแพ้ ล้มเลิกความคิดนี้ไป แต่กลับได้ยินลูกสาวพูดขึ้นอีกว่า

 

 

“ถ้าท่านพ่อต้องการให้อนุคนหนึ่งมาจริงๆ ก็ย้ายฮุ่ยหลานมารับใช้จะดีกว่า”

 

 

เนื่องจากถงฮูหยินป่วยหนัก แม้ฮุ่ยหลานยังไม่ได้ถูกรับเข้าเป็นอนุ แต่ก็ถูกคนในบ้านมองว่าเป็นอนุไปแล้ว นางถูกย้ายจากนอกเรือนให้เข้ามาอยู่ในเรือนหลัก พอฟังคำอธิบายจากคุณหนูใหญ่ นางก็ทำตามแต่โดยดี มาที่เรือนตะวันตก อยู่ในห้องปีกข้างชั่วคราว และปรนนิบัติถงฮูหยินทุกวันทั้งกลางวันและกลางคืน

 

 

ฮุ่ยหลานแม้พูดจาอ่อนหวานไม่เท่าเหลียนเหนียง แต่กลับเป็นคนจริงใจ ทำอะไรไม่หวังผลตอบแทน แย่งคนเขาทำงานไปหมด ไม่กลัวเสียเปรียบ ป้อนยาให้หญิงชราทานทุกวัน เช็ดตัว เปลี่ยนเสื้อผ้า เทโถปัสสวะ ทำได้เรียบร้อยทุกอย่าง บางครั้งถงฮูหยินอาเจียน หรือปัสสวะรดที่นอน ฮุ่ยหลานก็ไม่แสดงอาการรังเกียจหรือขมวดคิ้วแม้แต่น้อย

 

 

พอเหลียนเหนียงได้ยินว่าฮุ่ยหลานปรนนิบัติถงฮูหยินเป็นอย่างดี และคนป่วยอย่างถงฮูหยินก็มักชมเชยฮุ่ยหลานเสมอ ในใจก็เกิดเมฆดำปกคลุมแสงอาทิตย์ ทั้งมืดมนและหม่นหมอง จึงพยายามแอบพัวพันกับอวิ๋นเสวียนฉั่งให้แน่นแฟ้นขึ้น ยิ่งเจ้านายคนอื่นๆ ในบ้านไม่เห็น นางก็ยิ่งกระทำการกุมหัวใจชายให้อยู่หมัด ให้เขาดิ้นไม่หลุด

 

 

แม้ผู้หญิงในบ้านสกุลอวิ๋นจะผลัดกันมาดูแลอย่างไร ยาก็ทานไปแล้วหลายชุด อาการของถงฮูหยินก็ยัง

 

 

หมิ่นเหม่ ไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้น ระหว่างนี้ อวิ๋นเสวียนฉั่งได้บอกให้ม่อไคไหลไปเชิญหมอมีชื่อที่อยู่นอกเมืองมา

 

 

ท่านหนึ่ง พอท่านหมอตรวจดูอาการเสร็จ ก็เขียนใบสั่งยาให้ ซึ่งก็มีผลพอๆ กันกับยาก่อนหน้านี้ ทานแล้วอาการ

 

 

ก็ไม่ได้ดีขึ้นมากมาย

 

 

วันนี้หลังเที่ยง อวิ๋นหว่านชิ่นเป็นคนป้อนยาให้ท่านย่าทานตามกำหนด อวิ๋นเสวียนฉั่งก็เดินเข้ามา แล้วนั่งลงข้างโต๊ะกลมนอกมุ้ง

 

 

ระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วัน ทำเอาถงฮูหยินผอมลงไปมาก ใจสู้แต่ไม่มีแรง ทานยาไม่กี่คำก็กินแรงไปเจ็ดถึงแปดส่วนแล้ว

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นทีไร ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าใจ ขณะจะคิดหารือกับบิดาว่า พอจะสามารถไหว้วานให้คนไปหาหมอที่ดีหน่อยมาหรือไม่นั้น นอกธรณีประตูก็มีเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบดังมา สักพัก ม่อไคไหลก็พูดเสียงเบาอยู่นอกม่าน

 

 

“นายท่าน มีแขกมาเยี่ยม”

 

 

อวิ๋นเสวียนฉั่งขมวดคิ้ว “แม่ข้าป่วยขนาดนี้ ข้าไหนเลยจะมีกะใจต้อนรับแขกอีก ใครกันล่ะ”

 

 

เสียงแสดงความสงสัยของม่อไคไหลดังมา

 

 

“หมอหลวงเหยาแห่งสำนักหมอหลวงพาผู้ช่วยหนุ่มแบกกระเป๋ายามาคนหนึ่ง บอกว่า…มาตรวจดูอาการให้ท่านผู้อาวุโส”

 

 

อะไรนะ? หมอหลวงเหยา…เหยากวงเหย้า?

 

 

เหยากวงเหย้าเป็นหมอหลวงประจำวังหลวงที่มีฝีมือการรักษาที่ยอดเยี่ยมท่านหนึ่ง มีตำแหน่งเป็นขุนนางชั้นสามแห่งสำนักหมอหลวง แต่ไหนแต่ไรมาจะตรวจสุขภาพและตรวจโรคให้กับชนชั้นสูงระดับพระมเหสีขึ้นไปเท่านั้น ทำไมถึงได้มาตรวจดูอาการให้ถงฮูหยินที่จวนสกุลอวิ๋นได้ล่ะ

 

 

อย่าว่าแต่มีฝีมือการรักษาที่ยอดเยี่ยมเลย แม้แต่หมอหลวงธรรมดาในสำนักหมอหลวง คิดจะตรวจสุขภาพให้ขุนนางและคนในจวนขุนนาง ก็จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากหัวหน้าสำนักหมอหลวง หรือได้รับพระบรมราชานุญาติจากฝ่าบาทก่อน ตนกับเหยากวงเหย้าก็ไม่สนิทกัน เหตุใดจู่ๆ เขาถึงมาตรวจโรคให้ถงฮูหยินได้เล่า

 

 

อวิ๋นเสวียนฉั่งตกตะลึง จึงลุกพรวดขึ้น

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นก็สงสัยเช่นเดียวกัน จึงวางชามยาลง แล้วหันหน้าไปที่ประตู

 

 

“พ่อบ้านม่อ ยังไม่รีบเชิญหมอหลวงเหยาเข้ามาอีก!”