เหยากวงเหย้าปีนี้อายุหกสิบสอง เดิมทีเหลืออีกไม่กี่ปีเขาก็จะเกษียณ กลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบสุขที่บ้านเกิด แต่เนื่องจากฝีมือทางการแพทย์ที่เยี่ยมยอด ละเอียดอ่อน ทำให้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าเชื้อพระวงศ์และพระมเหสี หนิงซีฮ่องเต้จึงรั้งตัวไว้ให้อยู่ในสำนักแพทย์ต่อ และพอได้อยู่ ก็กลายเป็นอยู่ยาวไป
โดยสองสามปีมานี้ เหยากวงเหย้าไม่ได้ออกตรวจรักษาเหล่าเชื้อพระวงศ์และพระมเหสีเป็นหลักอีก เขาใช้เวลากว่าครึ่งไปกับการอยู่ในสำนักหมอหลวงค้นคว้าวิจัยความรู้ที่มีอยู่ทั้งชีวิต จดบันทึกรวบรวมประสบการณ์จากการทำงานด้านการแพทย์มาอย่างโชกโชน สอนหมอรุ่นใหม่ในสำนักหมอหลวง และใช้เวลาที่เหลือตรวจสุขภาพให้กับชนชั้นสูงในวังไม่กี่ท่านเท่านั้น
ซึ่งในวังหลวง ตั้งแต่เจี่ยไทเฮาจนถึงหนิงซีฮ่องเต้ รวมทั้งเจี่ยงฮองเฮาที่ไม่ชอบแสดงออกทางสีหน้าท่าทาง มเหสีรองเหวยที่ชอบวางอำนาจและปากร้าย ก็ล้วนแล้วแต่เคารพยกย่องหมอหลวงเหยากันทั้งสิ้น
ขณะบ่าวบ้านสกุลอวิ๋นเดินนำเหยากวงเหย้ากับหมอผู้ช่วยเดินเข้ามาในเรือนตะวันตกนั้น อวิ๋นเสวียนฉั่งก็พาลูกสาวกับคนในเรือนออกมายืนต้อนรับอยู่ที่ชานเรือน
ถ้าพูดถึงสถานะ อวิ๋นเสวียนฉั่งในตอนนี้มีสถานะสูงกว่าเหยากวงเหย้าหนึ่งชั้น แต่เหยากวงเหย้าทำงานอยู่ในวังหลวง ได้รับการยกย่องและใกล้ชิดกับคนในวังมาตลอด จึงเป็นธรรมดาที่อวิ๋นเสวียนฉั่งต้องให้ความเคารพและคารวะหมอหลวงท่านนี้ ซึ่งพอเห็นคนมา เขาก็รีบเก็บความเศร้าเสียใจที่มีอยู่ แล้วก้าวเท้าเข้าไป ประสานมือพลางยิ้ม
“รบกวนหมอหลวงเหยาที่อุตส่าห์มาด้วยตนเอง ทำไมถึงไม่บอกล่วงหน้าสักคำ จะได้เตรียมการต้อนรับเสียแต่เนิ่นๆ ข้าเสียมารยาทแล้ว!”
อวิ๋นหว่านชิ่นยืนอยู่ด้านหลังบิดา จึงสำรวจมองหมอหลวงเหยาอย่างเงียบๆ เขาสวมชุดผ้าไหมคอกลมสีเขียว แขนกว้างปลายแขนสอบ ปักลายนกยูงตรงหน้าอก เป็นเครื่องแบบที่หมอหลวงใส่ทำงานตามปกติ แม้เป็นข้าราชการเช่นกัน แต่หมอหลวงก็แตกต่างจากข้าราชการจากกรมกองอื่นๆ โดยไม่ว่าจะอายุมากแค่ไหน ผมขาวโพลนอย่างไร แต่สติยังคงแจ่มใสเสมอ
เขาเป็นคนผิวขาว ตัวเล็ก รูปร่างท้วม เวลายิ้มคล้ายพระสังกัจจายน์ ท่าทางผ่อนคลายสบายๆ เป็นผู้สูงอายุที่แก้มแดงเหมือนแก้มเด็ก จึงยิ่งทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกประทับใจ
พอมองถึงตรงนี้ ใบหน้าของอวิ๋นหว่านชิ่นพลันกระตุก ใจเต้นค่อนข้างแรง ร่างโน้มไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว เท้าจึงก้าวตามสองก้าว
เหยากวงเหย้าเป็นสหายเก่าเมื่อชาติที่แล้ว นางจึงมิได้พบเขาเป็นครั้งแรก
เมื่อครู่ ตอนอยู่ในห้องป้อนยาให้ท่านย่า และได้ยินชื่อของเขานั้น อวิ๋นหว่านชิ่นก็เบิ่งตาโต วิญญาณคล้ายจะหลุดจากร่าง
หมอหลวงเหยา…เป็นหมอหลวงเหยา
เมื่อชาติที่แล้ว หลังจากนางร้องเรียนกับองค์ฮ่องเต้ที่วัดเซียงกั๋ว แล้วกลับถึงจวนกุยเต๋อโหว อาการป่วยก็กำเริบ ได้แต่นอนอยู่บนเตียง ลุกไม่ขึ้น แทบจะเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของชีวิตก็ว่าได้
ถ้าไม่ใช่เพราะทรงตรัสว่า
“…ให้ฮูหยินน้อยกลับจวนไปพักรักษาตัวก่อน เรื่องมู่หรงไท่ลักลอบสมรู้ร่วมคิดวางแผนดองกับบ้านสกุลอวิ๋นนั้น เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ค่อยดำเนินการตรวจสอบต่อไป”
ระหว่างทางกลับจวนโหว ฮูหยินท่านโหวอาวุโส สิงฮูหยินอยากจะสับสะใภ้รองออกเป็นหมื่นๆ ชิ้นแล้วฝังลงดินใจแทบขาด ไหนเลยอยากจะแบกนางกลับจวน
เพราะต้องการให้ฮ่องเต้เห็นความสำคัญของคนสกุลมู่หรงหรอก จึงไม่กล้าละเมิดพระบัญชาอย่างโจ่งแจ้ง แต่พอกลับถึงจวน ก็ทำการขังสะใภ้ขบถไว้ในห้อง แล้วไล่สาวใช้ออกไปให้หมด กระทั่งชูซย่าก็ถูดจับมัดแล้วขังไว้ในห้องเก็บฟืน ปล่อยให้นางร้องไห้อยู่ทั้งวัน สุดท้ายยังใส่กลอนห้องสะใภ้รอง ไม่ให้บ่าวนำยาเข้าไปให้อีก คิดให้ผู้ป่วยระยะสุดท้ายอย่างสะใภ้รองนอนตายไปเองในห้อง
ซึ่งหลังจากที่อวิ๋นหว่านชิ่นกลับถึงจวนได้ไม่นาน องครักษ์เสื้อเหลืองจากในวังก็มาขอคน และมู่หรงไท่ก็ถูกจับเข้าคุกหลวงทันที
จวนโหวจึงโกลาหลไปหมด สิงฮูหยินร้อนใจดั่งไฟเผา ท่านโหวอาวุโสมู่หรงรีบออกไปวิ่งเต้นเส้นสาย ส่วนบ่าวในเรือนของมู่หรงอันกลับมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น…จับกลุ่มซุบซิบนินทาพัลวัน สาปแช่งด่าทอทั้งคนหน้าบ้านและหลังบ้านของจวนกุยเต๋อโหวอย่างหยาบคาย
บนเตียง แม้ร่างกายของอวิ๋นหว่านชิ่นทรุดโทรมเต็มที หายใจรวยริน เจ็บปวดไปทั้งร่าง แต่ก็ไม่ปริปากบ่นและไม่เสียใจในสิ่งที่ทำลงไป
เมื่อเลือกที่จะร้องเรียนกับเบื้องบน ก็ตัดสินใจแต่แรกแล้วว่า ต้องสู้จนตกตายไปพร้อมกัน นางจึงไม่สนใจอะไรอีก พอได้ยินเสียงคนตื่นตกใจ เสียงคนก่นด่าดังต่อเนื่องอยู่ด้านนอก นางกระทั่งยังยิ้มอย่างอ่อนแรงออกมา หวังเพียงให้ตนรีบตายไปไวๆ เท่านั้น
จากกลางวันจรดกลางคืน ปากคอนางแห้งไปหมด เหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้าย อย่าว่าแต่อาหารเลย น้ำสักกา สิงฮูหยินก็ไม่เหลือเอาไว้ให้
เอาเถอะๆ จะกระหายตาย หรือป่วยตาย อย่างไรก็ตายอยู่ดี
นางพยายามทำจิตใจให้สงบ นอนคนเดียวนิ่งๆ ดั่งปลาที่ใกล้จะถูกตากแห้งในทะเลทราย
ผ่านไปหนึ่งวัน ขณะกำลังพยายามคงลมหายใจเฮือกสุดท้ายไว้ คนในจวนโหวก็เดินเข้ามา พร้อมหมอหลวงเหยาจากสำนักหมอหลวงที่ได้รับพระบัญชาให้มาตรวจดูอาการตน
เหยากวงเหย้าเป็นหมอหลวงประจำพระองค์ที่ฮ่องเต้ไว้เนื้อเชื่อใจมากที่สุด การมาจวนโหวในครั้งนี้ คนในจวนก็รู้ดีว่าเป็นเจตนาของโอรสสวรรค์ ใครจะกล้าขัดขวางเล่า ต่อให้สิงฮูหยินไม่ยอม ก็ได้แต่แค่นเสียงเย็นชาออกมาคำหนึ่ง แล้วจึงให้บ่าวพาหมอหลวงเหยากับผู้ติดตามไปที่เรือนของอวิ๋นหว่านชิ่น
เหยากวงเหย้าพาผู้ช่วยคนหนึ่ง กับหมอหญิงคนหนึ่งเข้าไปในห้อง พอเห็นฮูหยินน้อยสลบไสลอยู่บน
เตียงในสภาพริมฝีปากแห้ง ใบหน้าซีดขาว ก็ตกใจ รีบบอกให้หมอหญิงทำให้ริมฝีปากอวิ๋นหว่านชิ่นชุ่มชื้น ก่อนป้อนน้ำหวานเย็นๆ เข้าปากนางทีละน้อย
พอเหยากวงเหย้าเห็นนางสะลึมสะลือตื่นขึ้น ค่อยทำการตรวจชีพจรและถามไถ่ ถึงได้รู้ว่าฮูหยินน้อยของจวนโหวถูกวางยามาเป็นเวลานาน ถ้าให้ยากระตุ้นก็น่าจะอยู่ได้ถึงวันมะรืน ด้วยร่างกายและจิตใจบอบช้ำจนเกินจะรับไหว จึงไม่มีทางฟื้นคืนกลับได้อีก
แต่ทั้งๆ ที่รู้ว่านี่เป็นคนใกล้ตาย เหยากวงเหย้าก็ยังคงพยายามใช้ความรู้ความสามารถที่มีอยู่ทั้งหมด ป้อนยาฝังเข็ม ช่วยชีวิตนางอย่างสุดความสามารถ
เขารักษานางจนถึงยามสอง หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ พอรู้ว่าเริ่มไม่ไหวค่อยหยุดมือ บอกให้ผู้ช่วยนำโสมพันปีเข้ามา สอดเข้าไปในปากนาง ให้นางอมเพื่อเลี้ยงลมหายใจเอาไว้ และบอกให้หมอหญิงนำเตาดินเผาเข้ามา เพื่อฆ่าเชื้อเข็มเงิน แล้วทำการช่วยชีวิตนางต่อ