ตอนที่ 96-2 ตรวจโรค

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

อวิ๋นหว่านชิ่นพลันมีสติขึ้นมาเล็กน้อย ดวงตาใสๆ เบิกกว้าง ใบหน้าขาวซีดปรากฏรอยยิ้ม

 

 

“ลำบากหมอหลวงเหยาแล้ว ข้ารู้สภาพร่างกายตัวเองดีว่า เหลือเวลาอีกไม่มาก อย่าเสียแรงกับข้าเลย สิ้นเปลืองสมุนไพรล้ำค่าไปเปล่าๆ…ขอหมอหลวงช่วยขอบพระทัยฝ่าบาทในพระมหากรุณาธิคุณแทนข้าด้วย”

 

 

เหยากวงเหย้าหน้ามุ่ย ใบหน้าอ้วนๆ ของเขาคล้ายเด็กน้อยที่รู้สึกไม่พอใจ

 

 

“ฮูหยินน้อยอายุยังน้อย ทำไมไม่มีใจสู้เลยสักนิด หมอแก่ขนาดนี้ยังไม่บ่นว่าเหนื่อยสักคำ แต่เจ้ากลับไม่อดทนเสียนี่! ไหนบอกว่าลำบากหมอแล้ว หรืออยากจะให้หมอเสียแรงเปล่าที่ช่วยชีวิตเจ้าไว้!”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ว่าหมอหลวงเหยาพูดให้กำลังใจตน เพราะอยากให้ตนมีความหวังในการมีชีวิตอยู่ต่อ น้ำรื้นๆ ขึ้นมาคลอดวงตา สักพัก จึงตัดสินใจต่อลมหายใจ ด้วยการกัดโสมพันปีที่อยู่ในปากแน่น

 

 

แม้ปากพูดให้กำลังใจฮูหยินน้อยที่ตกอยู่ในสภาพอ้างว้างเดียวดาย แต่เหยากวงเหย้าก็รู้อยู่แก่ใจดีว่า สติแจ่มใสของนางในตอนนี้ เป็นสติของคนใกล้ตาย จึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพยายามต่อชีวิตให้นาง

 

 

 

 

พอดึงอารมณ์ความคิดคืนกลับ อวิ๋นหว่านชิ่นก็ยากที่จะสงบจิตสงบใจ นึกถึงแต่วันสุดท้ายในชาติที่แล้วของตน

 

 

วันนั้น เป็นวันที่นางเห็นพระอาทิตย์ตกดินเป็นครั้งสุดท้าย

 

 

เนื่องจากหมอหลวงเหยามาจวนโหวเป็นครั้งแรกและได้เห็นกับตาตัวเองว่าฮูหยินน้อยน่าสงสารจริงๆ ก่อนกลับจึงมองหน้าสิงฮูหยินอย่างขุ่นเคือง พลางพูดกับนางไม่กี่ประโยค ซึ่งสิงฮูหยินก็คิดว่าตาเฒ่าผู้นี้เป็นคนตรงๆ ที่หัวรั้นแค่นั้น ถ้าไม่เห็นแก่หน้าเขา ก็ต้องเห็นแก่หน้าฝ่าบาทที่อยู่เบื้องหลังเขา จึงไม่กล้าดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับสะใภ้รอง ต้องฝืนใจปล่อยชูซย่าให้กลับไปรับใช้ข้างกายนาง

 

 

พลบค่ำของวันนั้น พระอาทิตย์สีทองหลบลงไปในปุยเมฆเหมือนทุกๆ วัน ก่อนค่อยๆ ลับตาไป กลางคืนกำลังจะมาเยือน เงาที่อ่อนแรงของแสงอาทิตย์สะท้อนลงบนหน้าต่างกระดาษ เบาหวิวและวังเวง เหมือนลางบอกเหตุที่ไม่สู้จะดีว่า เจ้าของห้องก็เหมือนพระอาทิตย์ตกดินอย่างไรอย่างนั้น พลังชีวิตค่อยๆ หมดลง จนหายจากโลกไปในที่สุด

 

 

หมอห่วงใยเราเหมือนพ่อแม่เรา นี่คือความรู้สึกของหมอดีๆ ที่มีต่อผู้ป่วย พวกเขาเกิดมาพร้อมความรู้สึกพิเศษเช่นนี้ เหยากวงเหย้าดูแลอวิ๋นหว่านชิ่นระยะหนึ่ง แต่ก็เห็นนางเหมือนหลานสาวในบ้านของตนเอง พอรู้ว่าเส้นตายของหญิงสาวมาถึง ก็เปลี่ยนท่าทีที่ร้อนรนในอดีต เป็นยืนนิ่ง ส่ายศีรษะถอนหายใจอยู่นอกมุ้ง

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ว่าเหยากวงเหย้าช่วยยืดเวลาให้ตนมากที่สุดเท่าที่จะมากได้แล้ว จึงปลอบใจเขาไปไม่กี่ประโยค จากนั้น พลังชีพก็หมดลง เข้าสู่ห้วงแห่งการสลบสไลอีกครั้ง

 

 

ขณะยังมีสติสัมปชัญญะเหลืออยู่ นางเห็นรางๆ ว่ามีคนเข้ามากระซิบข้างหูเหยากวงเหย้า จากนั้นเหยากวงเหย้าก็ก้าวเข้ามาใกล้มุ้ง กระซิบข้างหูตนว่า

 

 

“ฮูหยินน้อยอดทนต่ออีกหน่อย มีคนจะมาเยี่ยม อย่าเพิ่งหลับ อย่าปิดตา มิเช่นนั้นคนๆ นั้นมาแล้วเจ้าจะ

 

 

มองไม่เห็น…” เขาพูดไม่ปะติดปะต่ออีกหลายประโยค แต่อวิ๋นหว่านชิ่นก็ค่อยๆ ไม่ได้ยิน

 

 

ค่ำวันนั้น เป็นครั้งสุดท้ายที่อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นเหยากวงเหย้า เพราะหลังจากคืนนั้น ตนก็หลุดพ้นจากทะเลแห่งความทุกข์อย่างสิ้นเชิง ไม่รู้ว่าผู้ที่เหยากวงเหย้าบอกว่าจะมาเยี่ยมเป็นใคร หรือหมอหลวงเหยาแต่งเรื่องขึ้นเอง เพราะต้องการให้ตนยืนหยัดต่อ

 

 

โดยหลังจากนั้น หมออาวุโสที่มีนิสัยตรงไปตรงมาและซนเหมือนเด็กๆ ก็มักยกเหตุผลต่างๆ นาๆ มาพูดข้างหูตน ให้ตนอดทนกับความเจ็บปวดและพยายามยืนหยัดไว้

 

 

ครั้งหนึ่ง เขาขู่อวิ๋นหว่านชิ่นว่า ตอนนี้ดอกโบตั๋นกำลังบานสะพรั่ง สวยงามยิ่ง ถ้าไม่ยอมหายป่วยไวๆ

 

 

จะอดออกไปกินลม ชมดอกไม้ ยังมีอีกครั้งหนึ่ง ยิ่งห่างไกลจากความเป็นจริง เขาว่า เขาซื้อน้ำตาลปั้นของคนแซ่จางที่อยู่ทางตะวันออกของเมืองมาด้วย แต่ต้องหายป่วยก่อนถึงจะกินได้

 

 

ชาตินี้พอพบหมอหลวงเหยาอีกครั้ง อวิ๋นหว่านชิ่นจึงตื่นเต้นมาก

 

 

ท่านหมออาวุโสผู้นี้ มีลักษณะแบบเดียวกันกับที่นางเคยพบเมื่อชาติที่แล้ว หน้ากลมอารมณ์ดี เข้าหาง่าย

 

 

อวิ๋นเสวียนฉั่งเพิ่งพูดจบ นางก็ถกกระโปรงและย่อตัวลง

 

 

“ข้าน้อยคารวะใต้เท้าเหยา”

 

 

แล้วจึงเงยหน้าขึ้น มองเหยากวงเหย้าต่อหน้าบิดา พลางยิ้มให้อย่างไม่สนใจใดๆ

 

 

อวิ๋นเสวียนฉั่งอึ้ง รีบว่า “นี่คือลูกสาวข้า หว่านชิ่น หลายวันมานี้นางอยู่ดูแลย่าของนางอยู่ข้างเตียงตลอด พอหมอหลวงเหยามา จึงหลบฉากไปไม่ทัน เสียมารยาทแล้ว”

 

 

เหยากวงเหย้าจ้องมองเด็กสาว เนื่องจากอยู่แต่ในบ้าน นางแต่งตัวเรียบง่ายแต่สง่างาม มวยผมต่ำแบบเด็กสาวอยู่บ้านนิยมมวยกัน สวมชุดผ้าฝ้ายกระโปรงจีบสีม่วงอมชมพูปักลายกุ๊นขอบ น่ารักอ่อนโยน แต่รวมๆ แล้วดูสูงส่งทันสมัย กิริยาท่าทางโดดเด่นจนดูไม่เข้ากับแนวอาคารหลังคากระเบื้องเขียวชายคาแดงที่อยู่ด้านหลัง ทั้งๆ ที่ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน แต่กลับยิ้มให้ตนจากใจจริง

 

 

ทว่าเหยากวงเหย้าไม่มีเหตุผลที่ต้องสนิทกับนาง

 

 

“อืม เคยได้ยิน! คุณหนูสกุลอวิ๋นที่หลายวันก่อนค้างคืนในตำหนักฉือหนิง หลังงานเลี้ยงสังสรรค์! ตอนข้าไปตรวจชีพจรให้ไทเฮา ทรงตรัสถึงอะไร น้ำเซียงหรู น้ำดอกหอมหมื่นลี้ ยาเม็ดดอกเหมยแตะลิ้น ซึ่งเป็นส่วนผสมของสมุนไพรบำรุงร่างกายทั้งสิ้น ทรงถามข้าว่าดีหรือไม่ ถามไปถามมา ถึงได้รู้ว่า คุณหนูอวิ๋นเคยพูดให้ไทเฮาฟัง”

 

 

อวิ๋นเสวียนฉั่งดีใจมาก เพียงแต่ยังเกรงใจอยู่ “ลูกสาวไม่ประสา ขอใต้เท้าเหยาอย่าถือเป็นสาระ”

 

 

ความรู้สึกดีที่อวิ๋นหว่านชิ่นมีให้กับเหยากวงเหย้า เป็นไปตามธรรมชาติที่ห้ามไม่อยู่ และนางก็รู้นิสัยของเขาดี จึงไม่เกรงใจ ย่อตัวลงอีกครั้ง พลางยิ้มสดใส

 

 

“ความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่เป็นสาระเช่นนี้ กลับได้ยินไปถึงสำนักหมอหลวง ข้าน้อยไฉนเอามะพร้าวห้าวไปขายสวน นี่เป็นการดึงหมวกบนศีรษะของอาจารย์ปู่ลงมาเห็นๆ”

 

 

“ชิ่นเอ๋อร์” อวิ๋นเสวียนฉั่งเอ็ดเสียงต่ำ

 

 

แต่เหยากวงเหย้ากลับไม่ถือสา รู้สึกว่าเด็กสาวกับตนเข้ากันได้ดี จึงหัวเราะเสียงดังออกมา

 

 

“กุลสตรีที่ตรงไปตรงมา น่ารักดี ไม่เป็นไรหรอก”

 

 

ถ้าจะพูดถึงคนอย่างเหยากวงเหย้า ก็นับว่าเขาเป็นคนแปลกคนหนึ่งในต้าเซวียนเหมือนกัน เติบโตขึ้นในครอบครัวหมอ แต่เหมือนหมอเทวดาซนๆ ที่มาจากนอกโลก ทุ่มเททั้งชีวิตให้กับวิชาการแพทย์ ตอนเป็นหนุ่มก็ไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างบันเทิงเริงรมย์เหมือนเพื่องพ้องน้องพี่ทั่วไป มีภรรยาเพียงคนเดียว ต่อมาภรรยาป่วยเสียชีวิต เขาก็ยิ่งค้นคว้าวิจัยทักษะด้านการแพทย์ โดยไม่แต่งงานใหม่อีก ตอนนี้เขาไม่มีลูกสักคน มีวิชาแพทย์เป็นเพื่อน แต่กลับใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

 

 

และในตอนนี้เอง คนข้างกายเขาก็กระแอมไอเบาๆ ออกมาสองครั้ง ก่อนพูด

 

 

“หมอหลวงเหยา ท่านยังจะตรวจดูอาการผู้อาวุโสอยู่หรือไม่”

 

 

เสียงดังจากปากของผู้ช่วยหนุ่ม

 

 

เป็นเสียงที่ใสมาก พอได้ยิน ก็รู้ว่าผู้พูดอายุไม่ถึงสิบห้าสิบหก ซึ่งระหว่างนี้เสียงจะยังไม่แตกหนุ่มดี คำพูดที่ใช้ก็ถือว่าสุภาพและให้ความเคารพ แต่น้ำเสียงเป็นแบบชนชั้นสูงที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก มีลักษณะของคำสั่งอยู่บ้าง…