อวิ๋นหว่านชิ่นชำเลืองมองผู้ช่วยหนุ่มซึ่งมือไม้ยาว รูปร่างผอมสูง เมื่อยืนคู่กับใต้เท้าหมอหลวง จะเห็นคนหนึ่งสูงคนหนึ่งเตี้ย คนหนึ่งอ้วนคนหนึ่งผอม เปรียบเทียบได้อย่างชัดเจน ผู้ช่วยหนุ่มสวมชุดยาวสีขาว สวมหมวกทรงสี่เหลี่ยมที่กดลงจนต่ำ แม้ปิดใบหน้าไปครึ่งหนึ่ง แต่ก็ยังคงดูออกว่า หนุ่มน้อยผิวขาวเนียน หน้าตาหล่อเหลา เอ๊ะ คล้ายคุ้นๆ อยู่บ้าง…เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกคุ้น แต่กลับนึกชื่อไม่ออกชั่วขณะ…
“ใต้เท้าเหยา ท่านนี้คือ?” อวิ๋นเสวียนฉั่งยิ้มพลางถามขึ้น
เหยากวงเหย้ายิ้มค้าง เหลือบมองคนข้างๆ “ผู้ช่วยหมอในสำนักหมอหลวงน่ะ ครั้งนี้มาเป็นเพื่อนหมอออกตรวจนอกสถานที่”
ผู้ช่วยหมอมีสถานะต่ำต้อย โดยข้าราชการในสำนักหมอหลวงจะเริ่มไต่เต้าจากชั้นเจ็ด แล้วสามารถใช้น้ำเสียงเช่นนี้พูดกับอาจารย์หมอหรือ อวิ๋นหว่านชิ่นนึกสงสัยในใจ พลางสำรวจมองท่าทีของเหยากวงเหย้าให้ถ้วนถี่ ขณะเดียวกัน บิดาก็ขมวดคิ้ว แล้วว่า
“ยังไม่ทันได้ถามเลยว่า เหตุใดหมอหลวงเหยาถึงมาตรวจโรคให้มารดาผู้น้อยถึงจวนได้ ใช่ผู้สูงศักดิ์ท่านนั้นกำชับมาหรือไม่ แต่…แต่จะทำให้หมอหลวงเหยาลำบากใจหรือเปล่า”
จู่ๆ เหยากวงเหย้าก็หันมองผู้ช่วยข้างกาย แล้วจึงหันมายิ้ม ขณะพูดกับอวิ๋นเสวียนฉั่ง
“ใต้เท้าเจ้ากรมวางใจเถิด ไม่ลำบากใจหรอก ผู้สูงศักดิ์ได้บอกสำนักหมอหลวงเรียบร้อยแล้ว ไม่มีปัญหา! ตรวจโรคสำคัญกว่า อย่ามัวชักช้าเสียเวลาอีกเลย”
แม้อวิ๋นเสวียนฉั่งยังคงสงสัยอยู่บ้าง แต่พอเห็นเหยากวงเหย้าพูดเช่นนี้ จะถามมากก็ไม่สู้จะดี จึงรีบพาคนทั้งสองเข้าไป
ในห้อง เหยากวงเหย้านั่งลงตรงนอกมุ้ง ข้างเตียงถงฮูหยิน
สะใภ้ใหญ่พับแขนเสื้อให้ถงฮูหยิน พยุงนางให้นั่งเอนหลังพิงหมอนหนุนใบใหญ่ แล้วหงายข้อมือนางขึ้น วางไว้บนหมอนใบเล็ก
หลังจากเหยากวงเหย้าตรวจชีพจรเสร็จ ก็นั่งนิ่ง อวิ๋นเสวียนฉั่งรีบถาม
“ท่านแม่ข้าเป็นอย่างไรบ้าง ที่ผ่านมามีหมอชื่อดังมาตรวจดูอาการนางอยู่หลายคน ยาอะไรก็ทานมาหมดแล้ว แต่ไม่ดีขึ้นเลย”
เหยากวงเหย้าไม่ได้ตอบอวิ๋นเสวียนฉั่ง เพียงถามถงฮูหยิน “ตอนนี้ผู้อาวุโสรู้สึกอย่างไรบ้าง”
ถงฮูหยินตอบอยู่ในมุ้ง “มือเท้าไม่มีแรง อกและคอเหมือนมีเม็ดบ๊วยติดอยู่ ไม่ขึ้นไม่ลง อาเจียนไม่ออก กลืนลงไม่ได้ กินอะไรนิดหน่อย ก็พะอืดพะอม แต่อาเจียนเป็นบางครั้ง สองสามวันมานี้ ยังเจ็บหน้าอกอีก และไอบ้างเป็นครั้งคราว”
“อ้อ แล้วตอนอาเจียน ส่วนใหญ่อาเจียนตอนไหน ของที่อาเจียนออกมา เป็นของที่กินเข้าไปหรือเปล่า”
“ล้วนเป็นตอนเช้า แต่ก็ไม่ถึงกับอาเจียนรุนแรง อย่างมากก็มีน้ำย่อยออกมาไม่กี่คำ” หญิงชราถอนหายใจ “ใต้เท้า กระเพาะข้าอักเสบหรือเปล่า ยาที่พวกหมอกว่าครึ่งให้ทาน ล้วนเป็นยารักษาโรคกระเพาะ แต่ทานแล้วก็ไม่เห็นจะได้ผล”
เหยากวงเหย้านิ่ง ก่อนวิเคราะห์ตามหลักการ
“ชีพจรของผู้อาวุโสเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง เหมือนนกจิก คล้ายยิงหนังยาง ไม่เหมือนคนเป็นโรคกระเพาะที่ชีพจรจะเต้นแรงและสับสน ถ้ากระเพาะอักเสบ ดูจากอาการผู้อาวุโสแล้ว ต้องอาเจียนและท้องร่วง แต่จากที่เห็น น่าจะเป็นเพราะผู้อาวุโสถูกกระทบกระเทือนทางจิตใจ กลุ้มใจจนจุกอก กลายเป็นของเสียสะสม ทำให้รู้สึกว่ามีเม็ดบ๊วยติดอยู่ในลำคอ ขยอกไม่ออก กลืนไม่ลง พอไม่สบายตัว ก็กินไม่ลงตาม มือเท้าจึงไม่มีแรง ยิ่งสะสมความเครียดไว้ในอกมาก ก็จะยิ่งทำให้เลือดลมไม่หมุนเวียน ส่งผลต่อหัวใจและปอด ทำให้มีอาการเจ็บหน้าอกและไอ”
ว่าพลาง เหยากวงเหย้าก็สั่งให้ผู้ช่วยหนุ่มเปิดกระเป๋ายา คลี่ถุงผ้าเก็บเข็มเงินออก หยิบเข็มเงินอังเปลวเทียนเพื่อฆ่าเชื้อ แล้วจึงใช้ผ้าเช็ดให้สะอาด ก่อนฝังลงตรงจุดฝังเข็มกลางทรวงอกและบริเวณใกล้เคียง ในจุดซานจงกับจุดอวิ๋นเหมิน
การฝังเข็มในสองจุดนี้ ช่วยกระตุ้นเส้นโลหิต ให้โลหิตไหลเวียนสะดวก ขจัดลมเครียดที่สะสมไว้
ตอนเข็มเงินหมุนลึกเข้าไปในผิวหนังทีละนิด เห็นชัดว่า ขณะจ้องมองเข็มเงินที่ยาวและแวววาว เริ่มแรกถงฮูหยินรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย แต่พอรู้ว่าไม่เจ็บปวด ก็วางใจลง
เหยากวงเหย้าค่อยๆ ถอนเข็มเงินออก แล้วหันไปบอกบ่าวบ้านสกุลอวิ๋นให้นำผ้าขนหนูร้อนมา จากนั้นก็ทำการประคบอุ่นตามเนื้อตัวถงฮูหยินซ้ำไปมาอยู่หลายครั้ง จนนางรู้สึกว่ามือเท้ามีแรงขึ้นมาบ้าง ข้างในเริ่มร้อน เลือดลมเดินคล่อง ลำคอโล่ง ไม่รู้สึกอึดอัดเหมือนเมื่อก่อนอีก ตลอดทั้งร่างคล้ายโลหะที่สนิมหลุดออก กลับมาใช้งานได้ดังเดิม จึงดีใจขึ้นมา
“หมอหลวงจากในวังแตกต่างจริงๆ ข้ารู้สึกสบายตัวขึ้นมาก”
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่สงสัยในความสามารถของเหยากวงเหย้าแม้แต่น้อย ชาติก่อน ขนาดนางเป็นดั่งตะเกียงน้ำมันหมดใกล้ตายแบบนั้น เขาก็ยังยืดเวลาให้นางไปอีกระยะ หลอกยมบาลไปได้หลายวัน ตอนนี้นางจึงเพียงถามอย่างนอบน้อม
“ใต้เท้าเจ้าคะ ท่านย่าเพิ่งมีอาการดีขึ้น เกรงว่าคงทานของมันของทอดไม่ได้ แต่ถ้าทานเพียงข้าวต้มกับผัก ก็ไม่เพียงพอที่จะฟื้นฟูพละกำลังอีก นานวันเข้าอาจทำให้ผู้สูงอายุยิ่งผอมลง สูญเสียพลังปราณ ซึ่งในบ้านก็พอจะมียาเม็ดบำรุงร่างกายอยู่บ้าง โดยในเม็ดยามีส่วนผสมของโสม สูตี้หวง ไป๋ซู่ เฉินผี เป็นต้น สามารถบำรุงลมปราณ บำรุงหัวใจ บำรุงประสาท รักษาอาการขาดอาหารและอ่อนเพลียได้ ไม่ทราบว่าพอจะให้ท่านย่าทานก่อนอาหารสักเม็ดสองเม็ดได้หรือไม่”
เด็กสาวมีความละเอียดอ่อน คิดอ่านได้อย่างลึกซึ้ง ฟังจากที่นางพูด คล้ายเป็นคนในแวดวงหมอก็มิปาน ซ้ำยังเข้าใจหลักการรักษาอีก เหยากวงเหย้ารู้สึกทึ่งมาก แต่พอนึกถึงเรื่องที่ไทเฮาเคยพูดให้ฟัง ก็ไม่แปลกใจแล้ว ถ้านางสามารถพูดศัพท์อย่าง น้ำเซียงหรู น้ำดอกหอมหมื่นลี้ ยาเม็ดดอกเหมยแตะลิ้น เหล่านี้ออกมาได้ การเข้าใจหลักการรักษาก็ถือเป็นเรื่องปกติ จึงยิ้มอย่างผ่อนคลายและให้กำลังใจนาง
“ทำตามที่คุณหนูพูดได้เลย”
การฝังเข็มจึงสิ้นสุดลง หวงน้าสี่เข้ามาพยุงให้หญิงชรานอนพักผ่อน ส่วนคนอื่นๆ ก็เดินออกจากห้อง มายังห้องโถง
เหยากวงเหย้ากำชับวิธีดูแลคนป่วยกับอวิ๋นเสวียนฉั่ง โดยมีอวิ๋นหว่านชิ่นยืนฟังหูผึ่งอยู่ด้านข้าง
และในตอนนี้เอง เมี่ยวเอ๋อร์ก็มาถึงเรือนตะวันตก มาเปลี่ยนผลัดดูแลผู้อาวุโสกับคุณหนูใหญ่ตามเคยเหมือนทุกวัน แต่วันนี้นางไม่รู้ว่ามีแขกมา พอเห็นแขกที่ห้องโถง ก็โค้งกายให้อวิ๋นเสวียนฉั่ง เหยากวงเหย้าและคนอื่นๆ ก่อนก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา ขณะจะเดินเข้าไปในห้องถงฮูหยิน สายตาที่ไม่ได้ตั้งใจมองของเมี่ยวเอ๋อร์ ก็ไปหยุดอยู่ที่หนุ่มน้อยในชุดขาวข้างกายเหยากวงเหย้า จนต้องหยุดฝีเท้าลง แล้วเพ่งดูอีกที เป็นผู้ที่นางเคยเห็นในงานเลี้ยงสังสรรค์จริงๆ จึงสูดหายใจเข้าลึกๆ
พออวิ๋นหว่านชิ่นเห็นเมี่ยวเอ๋อร์ยืนตะลึง ก็แอบส่งสายตาให้ ก่อนเรียกเสียงต่ำ “เมี่ยวเอ๋อร์”
เสียงของอวิ๋นหว่านชิ่นทำให้หนุ่มน้อยสะดุ้ง จึงหันมองตามเสียง พอเมี่ยวเอ๋อร์เห็นดวงตาสวยๆ ใสกระจ่างของเขา ก็แน่ใจได้ว่าตนจำไม่ผิด จึงพูดติดอ่าง
“ป แปด องค์ชายแปด..” พลันนึกไม่ออกว่าควรทำความเคารพอย่างไร
องค์ชายแปด..?
เสียงไม่ดัง แต่ก็ไม่เบา พออวิ๋นเสวียนฉั่งได้ยินจึงตกใจ องค์ชายแปด? ผู้ช่วยหนุ่มที่มาด้วยกันกับเหยากวงเหย้าคือเยี่ยนอ๋อง ซย่าโหวซื่อหนิง?