ตอนที่ 94 พิธีรำลึกนักกวี

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 94 พิธีรำลึกนักกวี

ในวันพรุ่งนี้เป็นวันชิวเหวย และเป็นอีกวันหนึ่งที่บรรดาผู้ร่ำเรียนหนังสือในราชวงศ์หยูตั้งตารอคอยและตื่นเต้นและเป็นกังวลใจ

เวลาหลายปีมานี้ที่พวกเขามานะบากบั่นพยายามเล่าเรียนก็เพื่อชิวเหวยที่จะจัดขึ้นสามวันต่อจากนี้

หากมีรายชื่อปรากฏบนกระดานนั้น ก็เป็นโอกาสทองที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ทั้งชีวิต และเส้นทางต่อจากนี้จะโรยไปด้วยกลีบกุหลาบ !

แต่หากไม่มีรายชื่อบนกระดานแล้วละก็…จะเอาหน้าที่ไหนกลับไปพบพ่อแม่และบรรพบุรุษได้ ?

ดังนั้น ไม่มีใครรู้ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปีไหน ก่อนหน้าชิวเหวยหนึ่งวัน จะมีผู้คนจำนวนมากมาสักการะ ณ หลานถิงจี๋ เนื่องจากที่แห่งนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งเทพเหวินฉวี่ซิงจะลงมาพำนักเป็นบางครา หากได้พรจากท่านคงจะสามารถเขียนบทความดีๆและได้มีรายชื่อปรากฏบนกระดานก็เป็นได้

ดังนั้นทางด้านหลังหลานถิงจี๋จึงได้มีแท่นสำหรับสักการะบูชารำลึกถึงนักกวีที่จากไปโดยเฉพาะ ถัดจากแท่นบูชาคือหอคอยประณีตงดงาม หอคอยนี้มิได้ทำขึ้นมาจากไม้  แต่สร้างด้วยหินสีน้ำเงินที่มีหน้าต่างหลายบานเปิดอยู่ ภายในหอคอยเป็นโพรงโล่ง เพื่อเผากระดาษบทความให้แก่ผู้รู้หนังสือเหล่านั้น

บัดนี้มีผู้คนจำนวนมากเดินทางมายังหลานถิงจี๋ หนึ่งในนั้นมีจางเหวินฮั่น โจวเทียนโย่วและฟางเหวินซิงรวมอยู่ด้วย พวกเขาเดินทางมาร่วมงานชิวเหวยในวันพรุ่งนี้ บัดนี้พวกเขายืนอยู่ด้านนอกกลุ่มคนมากมาย และกำลังพูดคุยถึงเรื่องราวในปีที่ผ่าน ๆ มาอีกทั้งยังรอการเดินทางมาของเยี่ยนซีเหวิน

เยี่ยนซีเหวินได้รับคัดเลือกเป็นจอหงวนในปีที่ผ่านมา แน่นอนว่าเขาไม่จำเป็นต้องมาร่วมตั้งหน้าตั้งตารอคอยวันชิวเหวยอย่างยากลำบากเช่นนี้

แต่ในนามของตัวแทนชายหนุ่มผู้มากความสามารถแห่งเมืองหลวง งานรำลึกกวีเช่นนี้เขาต้องเดินทางมาร่วมงานอย่างแน่นอน จะมีจุดประสงค์อื่นไปมิได้ นอกเสียจากเดินทางมาให้กำลังใจและอวยพรให้แก่บรรดาศิษย์รุ่นน้องเหล่านี้ ขอพรให้เทพเหวินฉวี่ซิงส่องแสงสว่างมายังพวกเขาด้วย

สิ่งนี้ถือเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจอย่างหนึ่ง ซึ่งสืบทอดกันมาแต่โบราณ มิมีใครรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ถึงกี่ปี อีกทั้งตำนานของเทพเหวินฉวี่ซิงที่เล่าต่อกันไป ทำให้ผู้ที่เดินทางมาร่วมแข่งขันนี้เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง และต้องการเดินทางมาชมด้วยตาของตนเอง

ไม่นานต่อมา เยี่ยนซีเหวินก็เดินทางมาพร้อมกับเยี่ยนเสี่ยวโหลวผู้เป็นน้อง เยี่ยนเสี่ยวโหลวปิดบังใบหน้าของนางไว้ด้วยผ้าขาวบาง ส่วนเยี่ยนซีเหวินมีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส

“ขออภัยอย่างยิ่งที่ให้พวกเจ้าต้องรอนาน เมื่อครู่ข้าได้ไปจัดแจงโต๊ะอาหารที่หอซื่อฟาง มื้อกลางวันนี้ข้าจะเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารพวกเจ้าเอง”

ฟางเหวินซิงเมื่อได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมาและกล่าวว่า “มองดูแล้วเจ้าคงมีเรื่องน่ายินดีเป็นแน่ เพียงแต่มิทราบว่าเป็นเรื่องหมั้นหมายกับแม่นางชูหลานหรือเรื่องหน้าที่การงานกัน ?”

เยี่ยนซีเหวินหัวเราะเสียงดังออกมาแล้วส่ายหัว “ทางด้านชูหลานนั้นยังไม่ราบลื่นนัก เรื่องนี้ค่อยเป็นค่อยไปเถิด”

หากเป็นเช่นนี้ก็หมายความว่าเขาได้รับเลื่อนตำแหน่งเป็นแน่ ผู้คนมากมายล้วนอิจฉา แต่ก็พากันมาร่วมยินดี

สมัยราชวงศ์หยูนี้ ระบบราชการมิได้เข้าประจำการได้ง่าย ๆ ต้องรอเป็นเวลานานทีเดียว หากคนเก่ายังไม่ออกไป คนใหม่ก็ยากที่จะเข้ามาแทนที่

ได้ยินมาว่าบางคนรออยู่ตั้งแต่อายุ 22 ปีกระทั่ง 48 ปี ใช้เวลาถึง 26 ปีเต็มจึงจะได้รับตำแหน่ง

แน่นอนว่ามิใช่เช่นนี้ทุกคนไป แต่ถึงแม้จะเป็นเยี่ยนซีเหวินเอง ก็ยังต้องรออยู่ถึงหนึ่งปีเต็ม

หากโจวเทียนโย่วและจางเหวินฮั่นสอบติด พวกเขาอาจต้องรอถึงสามปีห้าปีก็มิใช่เรื่องแปลกอันใด

“พวกเจ้าเองอย่าเพิ่งรีบร้อนไป สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมีรายชื่อปรากฏบนกระดานทอง บัดนี้องค์ฮ่องเต้กำลังสอบสวนคดีทุจริตสิ่งของบรรเทาสาธารณภัย คาดว่าคงมีข้าราชการจำนวนไม่น้อยที่ถูกลงโทษ จากที่ข้ามองดูแล้วนี่เป็นเพียงขั้นแรก ขั้นต่อไปคงจะจัดการกับพวกขุนนาง ดังนั้นพวกท่านจะมีอนาคตยาวไกลอย่างแน่นอน ! ”

พวกเขารู้ดีว่าองค์ฮ่องเต้ทรงส่งคนออกไปตรวจสอบเรื่องการทุจริตนี้ อีกทั้งประกาศนำเสนอนโยบายยังคงติดอยู่ที่กระดานนั้น เพียงแต่พวกเขามิได้คิดอย่างรอบคอบเช่นเดียวกับเยี่ยนซีเหวิน เมื่อในวันนี้เยี่ยนซีเหวินเอ่ยขึ้นมา พวกเขาก็เห็นด้วยว่าจะมีผู้คนจำนวนมากถูกถอดถอน ดังนั้นจะมีตำแหน่งว่างจำนวนไม่น้อย เมื่อคิดได้ดังนี้พวกเขาก็พากันดีอกดีใจ

เยี่ยนเสี่ยวโหลวรู้สึกว่าคำพูดเหล่านี้ช่างไม่น่าสนใจเสียจริง จึงได้เอ่ยกับพี่ชายแล้วปลีกตัวออกไปตามลำพัง นางเดินไปยังหินเชียนเปยสือและมองดูกวีที่ถูกสลักไว้ในบรรทัดที่หนึ่งนั้น

“เมื่อครู่ข้าเห็นต่งซิวเต๋ออยู่ที่หอซื่อฟาง” เยี่ยนซีเหวินขมวดคิ้วแล้วเอ่ยว่า “เมื่อลองนึกดูก็ไม่ได้พบเจอเขามานานพอควร ก่อนหน้านี้ข้าคิดว่าเขามัวแต่ร่ำเรียนวิชาเพื่อเตรียมตัวสำหรับชิวเหวยนี้เสียอีก มองดูแล้วคาดว่ามิน่าใช่”

คุณชายรองแห่งตระกูลต่งนี้พวกเขารู้จักดี เนื่องจากเป็นพี่ชายของต่งชูหลาน แต่มีไม่กี่คนนักที่ได้พูดคุยใกล้ชิด เนื่องจากมีความสนใจที่แตกต่างกัน

พวกเขานั้นมีจิตใจมุ่งมั่นในการร่ำเรียน แต่คุณชายรองผู้นี้กลับมุ่งมั่นในเรื่องของสาวงาม

การที่เขามีความชื่นชอบนี้ก็มิใช่เรื่องแปลก เนื่องจากในบรรดานักกวีจำนวนไม่น้อยก็มีความชื่นชอบเช่นนี้ อีกทั้งยังสามารถสร้างสรรค์บทกวีที่งดงามจากสตรีเหล่านี้ได้อีกด้วย เพียงแต่คุณชายรองนี้ไม่ได้มีเงินทองมากมายนัก

สิ่งนี้ทำให้เป็นอุปสรรคอยู่บ้าง แต่โชคยังเข้าข้างคุณชายรองแห่งตระกูลต่ง คนผู้นี้มีรูปร่างหน้าตาผิวพรรณดี เมื่อครั้นไปยังหงจาวซิ่ว เซวี๋ยเฟยเฟยมักช่วยเหลือเขาอยู่เสมอ

“เรื่องที่เจ้าเป็นห่วงเป็นใยนี้เขาคงมิอาจเข้าใจได้ นี่เป็นเรื่องที่มิอาจช่วยได้…อ้อ เจ้าได้ถามเขาเกี่ยวกับแม่นางชูหลานหรือไม่ ?”

เยี่ยนซีเหวินยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “ถามดูแล้ว เขากล่าวว่า ชูหลานมีชายในดวงใจอยู่แล้ว”

เป็นไปได้อย่างไรกัน ?

ในเมืองหลวงนี้จะมีชายหนุ่มคนไหนมากความสามารถไปกว่าเยี่ยนซีเหวินได้ ?

ในแคว้นหยูนี้ นอกเสียจากเชื้อพระวงศ์ จะมีตระกูลใดแข็งแกร่งเท่าตระกูลเยี่ยนงั้นหรือ ?

ทุกคนล้วนสงสัย ฟางเหวินซิงจึงเอ่ยว่า “เขาได้บอกหรือไม่ว่าเป็นผู้ใด ? ข้าอยากจะรู้เสียจริงว่าเป็นผู้ใดเก่งกาจมาจากไหน!”

“เขาบอกว่า……เป็นฟู่เสี่ยวกวน !”

……

……

ฟู่เสี่ยวกวน !

บัดนี้ทุกคนได้เงียบเสียงลง แต่ละคนล้วนไม่อยากเชื่อหูตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟางเหวินซิงและจางเหวินฮั่น

เวลานี้ห่างจากเทศกาลไหว้พระจันทร์มาเพียงเดือนกว่า ณ งานกวีในค่ำคืนนั้น คำพูดของฟางเหวินซิงและเยี่ยนซีเหวินลอยเข้ามาในหูพวกเขาทันใด

“หากเขาชนะ ข้าจะทำตามเขาทุกประการ แต่หากเขาแพ้ ก็จะไม่มีสิทธิ์ก้าวเข้ามาในเมืองหลวงอีกแม้แต่ก้าวเดียว ! ”

“ตกลง ข้าเยี่ยนซีเหวินให้สัญญาว่าหากเขาชนะ ข้าจะทำความเคารพเขาเมื่อพบเจอ แต่หากเขาแพ้ก็จงอย่าก้าวเข้ามาในเมืองหลวงนี้อีก ! ”

แน่นอนว่าฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้ชนะ ชาวบ้านนอกแห่งหลินเจียงผู้นี้ เขาเดินทางมาเมืองหลวงแล้วงั้นหรือ ? เขาจะทำอย่างไรดี ?

“ข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าฟู่เสี่ยวกวนเดินทางมาเมืองหลวงหรือไม่ แต่เขาก็มีสิทธิ์ในการเดินทางมา เนื่องจากพวกเราแพ้พนันแก่เขา แพ้อย่างราบคาบเสียด้วย เอาละ เรื่องนี้ปล่อยเอาไว้ก่อน พิธีรำลึกใกล้เริ่มขึ้นแล้ว”

จางเหวินฮั่นยังคงใจลอย ในแววตาของเขาแฝงไปด้วยความอาฆาตแค้น

เรื่องที่จางเพ่ยเอ๋อน้องสาวเขาปลิดชีพลงในแม่น้ำนั้นเขารู้ดี เมื่อครั้นบิดาของเขาเขียนจดหมายมา ได้บรรยายเกี่ยวกับเรื่องน้องสาวเขาว่าต้นเหตุทั้งสิ้นนี้มาจากฟู่เสี่ยวกวน

สองพี่น้องมีความผูกพันกันมาก แต่น้องสาวของเขาบัดนี้ได้จากไปอย่างมิมีวันหวนกลับ แค้นครั้งนี้เขาต้องชำระให้จงได้ !

……

……

ฟู่เสี่ยวกวนนำนโยบายนี่เขียนจนแล้วเสร็จไปติดไว้ที่กำแพงนั่น และเดินทางมายังหินเชียนเปยสือพร้อมกับซูม่อและชุนซิ่ว

เขามองดูบทกวีที่สลักอยู่บนนั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วน แต่ไม่มีชื่อของผู้มีชื่อเสียงด้านกวีสลักอยู่แม้แต่ชื่อเดียว เขารู้สึกแปลกใจยิ่ง การเดินทางข้ามมิตินี้ช่างแปลกประหลาดเสียจริง

เขาเดินมาหยุดที่ตรงหน้าหินเชียนเปยสือ พิจารณามองดูทำนองแห่งสายน้ำที่อยู่บรรทัดบนสุดนั้นแล้วหัวเราะเบา ๆ แล้วเอ่ยว่า “ให้ตายเถอะ มองไปแล้วไม่ต่างอะไรกับป้ายหน้าหลุมศพเสียเลย ทำลายทิ้งเสียดีหรือไม่ ? ”

เยี่ยนเสี่ยวโหลวที่กำลังอ่านกวีอยู่อย่างเงียบ ๆ คนเดียวนั้น เมื่อได้ยินเสียงที่เอ่ยออกมาก็หยุดการอ่านลงและขมวดคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ