ตอนที่ 95 เจ้าก็คือฟู่เสี่ยวกวน

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 95 เจ้าก็คือฟู่เสี่ยวกวน

เยี่ยนเสี่ยวโหลวหันหน้าไปเหลือบสายตามองฟู่เสี่ยวกวน นางมิรู้จัก รูปร่างท่าทางดูไม่เหมือนพวกไร้มารยาท แต่กลับมีดวงตามืดบอด !

เขากล่าวว่านี่เหมือนกับป้ายหน้าหลุมศพ !

ทั้งยังคิดจะกำจัดบทกวีอันเป็นนิรันดร์นี้ไปอีกด้วย !

นี่เป็นการดูถูกฟู่เสี่ยวกวนอย่างยิ่ง !

ดวงตาของเยี่ยนเสี่ยวโหลวราวกับกระบี่ทิ่มแทงไปทางฟู่เสี่ยวกวน บางทีอาจจะเป็นเพราะได้ฝึกฝนคัมภีร์พระสูตรเก้าหยางมา หรืออาจจะเป็นกลิ่นน้ำหอมที่ลอยมาตามสายลม ฟู่เสี่ยวกวนจึงหันไปมองเยี่ยนเสี่ยวโหลว

สตรีผู้นี้มีรูปร่างสูงโปร่ง สวมใส่ชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อน พาดผ้าคลุมสีเขียวคลุมไหล่เอาไว้ ใบหน้านั้นมีผ้าคลุมอยู่จึงมิเห็นใบหน้า แต่คิ้วใบหลิวและดวงตาเย็นชาคู่นั้นที่จ้องเขม็งมาทางเขากลับงดงามยิ่งนัก คาดว่าคงเป็นหญิงงามแห่งเมืองหลวง

ฟู่เสี่ยวกวนดึงสายตากลับมา คาดว่าคำพูดที่เอ่ยไปเมื่อครู่คงทำให้สตรีผู้นี้โมโห เขาถูจมูกไปมาและหันหลังเดินออกไป

เยี่ยนเสี่ยวโหลวอยากจะต่อว่าชายหนุ่มผู้นี้อย่างยิ่ง มีหลายประโยคที่ติดอยู่ที่ปากแต่มิได้กล่าวออกไป มิใช่ว่ากลัว แต่นางเป็นสตรี ทั้งยังเป็นบุตรีของตระกูลคหบดี ได้รับการสั่งสอนมาอย่างเข้มงวด การมิพูดคุยกับชายหนุ่มแปลกหน้า ก็เป็นหนึ่งในนั้น

กลุ่มของฟู่เสี่ยวกวนทั้งสามคนเดินไปรอบ ๆ จนมาถึงสถานที่จัดงานวรรณกรรม

เขามิรู้ว่าคนเหล่านั้นกำลังทำอะไรกัน เขาเองก็มิรู้ว่าจะไปที่ไหนกันต่อ จึงรั้งรอต่งซิวเต๋ออยู่ที่นี่

เพียงไม่นานต่งซิวเต๋อก็เดินเข้ามา ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“น้องเขย จองที่นั่งที่หอซื่อฟางเรียบร้อยแล้ว เพื่อมิให้เป็นการเสื่อมเสียชื่อเสียงของเจ้า ข้าเลยจองห้องส่วนตัวที่ใหญ่ที่สุด เจ้ามีความคิดเห็นว่าเยี่ยงไรบ้าง?”

“คนเดียวที่เข้าใจข้าคือพี่รอง ท่านจัดการธุระได้ยอดเยี่ยม ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวพลางชี้ไปยังกลุ่มคนมากมายที่อยู่เบื้องหน้า พร้อมกับเอ่ยถาม “พวกเขากำลังทำอันใดกันอยู่หรือ ? ”

ต่งซิวเต๋อแค่นเสียงหัวเราะ “เหอะ ๆ กลุ่มคนโง่นั้นมาสักการะเทพเหวินฉวี่ซิง กล่าวว่าเป็นพิธีทางวรรณกรรม จะต้องเผาบทกวีที่ตนเองประพันธ์ขึ้นมาให้แก่เทพเหวินฉวี่ซิง เพื่อขอให้มีรายชื่อบนป้ายทองคำ สำหรับข้า เทพเหวินฉวี่ซิงเป็นเรื่องเหลวไหล ข้ามิเข้าใจ เหตุใดต้องศึกษาตำราเท่านั้นจึงจะมีอนาคต เหตุใดจึงทำสิ่งอื่นมิได้ หากมารดาของข้าเชื่อข้า และให้ข้าไปทำการค้า จวนต่งจะมาตกอยู่ในสภาวะยากจนจนน่าระอาเยี่ยงนี้รึ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะขึ้นมาทันพลัน พี่รองนั้นมิเลว เข้ากันกับข้าได้ เพียงแค่… “ท่านกล่าวว่าจวนของท่านขาดแคลนเงินทองอย่างนั้นหรือ ? ”

“อ่า…ไม่” ต่งซิวเต๋อปากเปราะ และรีบเอ่ยเป็นพัลวัน “เรื่องความจนและความรวยนั้นอยู่ที่ว่าจะเปรียบเทียบกันเยี่ยงไร เมื่อเทียบกับตระกูลเยี่ยน ตระกูลชือ ตระกูลเฟ้ยและตระกูลที่มีอิทธิพลทั้งหก ตระกูลต่งของข้าย่อมยากจนที่สุด”

สมองของคนผู้นี้ถือว่าใช้การได้ดีเยี่ยม ฟู่เสี่ยวกวนจึงเอ่ยถามขึ้นมาอีกว่า “เยี่ยงนั้นพี่รองมีกิจการใดที่หมายตาเอาไว้หรือไม่ ? ”

เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ต่งซิวเต๋อก็มีแรงขึ้นมา ลดเสียงลงต่ำ และกล่าวด้วยท่าทีมีเลศนัย “ข้าจะบอกกับเจ้า หากจะกล่าวถึงกิจการที่ทำเงินได้ ข้าได้เฝ้าสังเกตมาอย่างเนิ่นนาน จนได้ข้อสรุปออกมา แต่เจ้าอย่าได้เล่าให้ผู้อื่นได้ฟังเชียว เงินจากสตรีและเด็กสาวนั้น ถือว่าได้กำไรมากที่สุด ! ”

ทันใดนั้นสายตาที่ฟู่เสี่ยวกวนใช้มองต่งซิวเต๋อก็ได้เปลี่ยนไป ต่งซิวเต๋อกล่าวอีกว่า “เจ้ามิเชื่อรึ ? ข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง เหวินเซียงโหลวร้านชาดแป้งน้ำที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง นี่คือกิจการของตระกูลชือ ข้าเคยเฝ้าดูอยู่ด้านนอกร้านของเขาอยู่เนิ่นนานถึงค่อนวัน จำนวนของสตรีและเด็กสาวที่เข้าออกรวมได้เป็น 3,729 ครั้ง หากปัดเป็นเลขกลม ๆ ก็จะได้ 3,000 คน เจ้ารู้หรือไม่ว่าชาดแป้งน้ำเหล่านั้นราคาแพงถึงเพียงไหน ต่อให้ทุกคนใช้จ่ายคนละ1 ตำลึงเงิน ก็ได้เท่ากับ 3,000 ตำลึงแล้ว!”

“น้องเขย 3,000 ตำลึง นี่แค่เพียงช่วงเช้าเท่านั้น แท้จริงแล้วกิจการจะดียิ่งขึ้นในช่วงค่ำ เยี่ยงนั้นแล้วยอดขายในแต่ละวันจะเท่ากับ 10,000 ตำลึง กำไรจากการค้านี้สามารถแตะได้ถึง 5 ส่วน 5,000 ตำลึงหักลบกับค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องไป 1,000 ตำลึง ทุกวันทำกำไรได้ถึง 4,000 ตำลึง ทุกเดือนก็จะได้ถึง 120,000 ตำลึง !”

“เงินเดือนของบิดาข้าจำนวน 200 ตำลึง เมื่อรวมกับรางวัลยามเทศกาลและงานอื่น ๆ ที่วุ่นวายแล้ว ก็ได้สูงสุดถึง 400 ตำลึง กำไรในแต่ละวันของเขา เทียบเท่ากับหนึ่งปีในการเป็นขุนนางของพ่อข้า เจ้าลองกล่าวมาสิ ว่าการเป็นขุนนางนั้นมีความหมายเยี่ยงไร? ช่างน่าสลดใจยิ่งนัก ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนปลื้มปีติ ชายผู้นี้ถือว่ามีความสามารถ เขาเข้าใจการสำรวจและวิเคราะห์การตลาด หากมิได้ไปทำการค้าถือว่าจะกลายเป็นการสูญเปล่าอย่างยิ่ง

รอให้จัดการกับเรื่องวุ่นวายนี้ให้พ้นตัวไปเสียก่อน แล้วค่อยมาคุยเรื่องการค้ากับเขาอย่างสนุกสนาน ก็ยังมิสายไปมิใช่รึ ?

เหมือนว่ากลุ่มคนด้านหน้านั้นจะทำการสักการะเสร็จสิ้นแล้ว ต่งซิวเต๋อเงยหน้าขึ้นไปก็พบกับเยี่ยนซีเหวินที่เดินนำมา เขารู้สึกระคายตาที่ได้พบเจอคนผู้นี้ เสแสร้ง ! ไหนเลยจะเหมือนกับฟู่เสี่ยวกวนที่ซื่อสัตย์และจริงใจ !

ต่งซิวเต๋อมิรู้ว่าระหว่างเยี่ยนซีเหวินและฟู่เสี่ยวกวนได้มีการประลองขึ้นแล้วหนึ่งหนในงานกวีวันเทศกาลไหว้พระจันทร์ ทั้งยังพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถยิ่ง เขาในยามนี้ครุ่นคิดถึงบทกวีนั้นของฟู่เสี่ยวกวนที่สามารถสลักชื่อไว้บนหินเชียนเปยสือได้ แต่เยี่ยนซีเหวินกลับมิมี เยี่ยงนั้นฟู่เสี่ยวกวนย่อมเก่งกาจกว่าเยี่ยนซีเหวิน เยี่ยงนั้นก็ขอยืมชื่อเสียงของฟู่เสี่ยวกวนมาสยบท่าทางอวดเบ่งของเยี่ยนซีเหวินเสียหน่อย

ดังนั้นเขาจึงโบกมือให้กับเยี่ยนซีเหวิน

หากเป็นปกติ เขาคงจะหลีกเลี่ยงเป็นพัลวัน เพราะเยี่ยนซีเหวินผู้นี้น่ารำคาญยิ่ง !

ราวกับบิดาของเขา ! เขามักจะเปรียบเทียบเยี่ยงนี้เมื่อพบเจอกับเยี่ยนซีเหวินผู้นี้

ในยามนั้นเยี่ยนเสี่ยวโหลวเองก็เดินเข้ามาเช่นกัน และยืนอยู่ด้านหลังของพี่ชาย

เยี่ยนซีเหวินเองก็เห็นต่งซิวเต๋อนานแล้ว เพียงแค่ต่งซิวเต๋อมิได้มาเข้าร่วมงามวรรณกรรม คิดว่าคงจะละทิ้งทางวรรณกรรมไปเสียแล้ว เป็นเรื่องที่ปกติยิ่ง เพราะคนผู้นี้มิใช่ผู้ฝักใฝ่ในตำรา

เดิมทีเขาตั้งใจจะพาฟางเหวินซิงและอีก 6 คนไปดื่มน้ำชาที่หอซื่อฟางก่อน แต่คิดมิถึงจริง ๆ ว่าต่งซิวเต๋อจะโบกมือมาทางเขา

ครุ่นคิดไปมา เห็นแก่หน้าของชูหลาน จึงจะไปเกลี้ยกล่อมเขาอีกครา อาจมิมีหวังในการสอบปีนี้ แต่ก็ยังมีปีหน้ามิใช่หรือ

กลุ่มเยี่ยนซีเหวินได้เดินมายังเบื้องหน้าต่งซิวเต๋อ คิ้วของเยี่ยนเสี่ยวโหลวขมวดในทันที นางเห็นชายหนุ่มน่ารังเกียจผู้นั้นที่ยืนอยู่ข้างต่งซิวเต๋อ แล้วความรู้สึกไม่ชอบใจก็ประทุออกมา

ชายผู้นั้นที่กล่าวอย่างอวดดีว่าอยากจะขูดกวีบทนั้นออก หากท่านพี่สามารถทำให้เขาอับอายได้คงจะยอดเยี่ยม

นางเลื่อมใสในพรสวรรค์ของท่านพี่เป็นอย่างยิ่ง หากว่าต้องจัดลำดับ ในใจของนาง ผู้มีพรสวรรค์ในใต้หล้านี้ฟู่เสี่ยวกวนเป็นที่หนึ่ง ท่านพี่เป็นที่สอง ครั้งหนึ่งนางเคยคิดว่าท่านพี่เป็นที่หนึ่ง แต่ตั้งแต่ที่ความฝันในหอแดงปรากฏตัวขึ้นมา รวมไปถึงทำนองเพลงสายน้ำที่ได้สลักไว้เป็นแถวแรกบนหินเชียนเปยสือในเทศกาลไหว้พระจันทร์ นางก็ให้ชื่อของฟู่เสี่ยวกวนอยู่ด้านบนของท่านพี่

นี่คือความยุติธรรมที่ตรงไปตรงมายิ่ง เพราะบทกวีของท่านพี่นั้นมิได้สลักไว้บนหินเชียนเปยสือ

เยี่ยนซีเหวินสะบัดพัดไปมา ยิ้มบางให้กับต่งซิวเต๋อและกล่าวว่า “การทดสอบชิวเหวยในครั้งนี้ข้าแนะนำให้ซิวเต๋อไปลองดู มิต้องกล่าวว่ามิมีทางมีรายชื่อ ไปเปิดหูเปิดตาเพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์เสียเล็กน้อย ก็ถือเป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวงต่อการสอบในปีถัดไป หากซิวเต๋อจะสามารถรับฟังคำพูดของข้า…”

ดูสิ ดูสิ มันมาอีกแล้ว !

หลักการทางทฤษฎีครั้งแล้วครั้งเล่ามันทำให้สมองของเจ้ามีเสียงดังอื้ออึง ใครจักไปทนรับได้กัน !

น้องเขย ฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้ดีกว่า !

 “ประเดี๋ยวก่อน” ต่งซิวเต๋อรีบยกมือขึ้นมา “เป็นเยี่ยงนี้นี่เอง เรื่องชิวเหวยนี้คงมิขอรบกวนให้ซีเหวินต้องลำบากแล้ว เชิญซีเหวินมาทางนี้ กำลังคำนึงถึงเจ้าที่เป็นผู้มีพรสวรรค์อันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ผู้นำเหล่าชายหนุ่มหญิงสาว ข้านั้นอยากจะแนะนำน้องเขยของข้าให้เจ้ารู้จักเสียหน่อย”

ฟู่เสี่ยวกวนผงะ ชายผู้นี้ได้ทำพลาดเป็นคราที่สองแล้ว เขาและต่งชูหลานในยามนี้ยังคงเป็นความสัมพันธ์หลบซ่อนที่ต้องปกปิด และยังมิเห็นแม้แต่แสงสว่าง

แต่เมื่อต่งซิวเต๋อได้กล่าวออกไปแล้ว เขาก็ต้องน้อมรับเอาไว้

ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงเดินเข้าไปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ยื่นมือออกมา คิดจะจับมือเพื่อเป็นการทักทาย

แต่เขากลับเห็นใบหน้าของเยี่ยนซีเหวินซีดเผือด

ไม่เพียงใบหน้าของเยี่ยนซีเหวินที่ซีดเผือด วัยรุ่นเหล่านั้น รวมไปถึงสีหน้าหญิงสาวคนนั้น ก็ย่ำแย่อย่างถึงที่สุด

ฟู่เสี่ยวกวนจึงดึงมือกลับมาด้วยความประหม่า ยิ้มเล็กน้อย และถูจมูกไปมา และก้าวถอยกลับออกมา

 “เจ้าก็คือฟู่เสี่ยวกวนรึ ? ” ใบหน้าของเยี่ยนซีเหวินราวกับน้ำค้างแข็ง คำพูดนั้นก็แข็งทื่อเป็นน้ำแข็ง !