ตอนที่ 96 ข้าคือฟู่เสี่ยวกวน

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 96 ข้าคือฟู่เสี่ยวกวน

ผู้ที่มีนามว่าเยี่ยนซีเหวินผู้นี้ ฟู่เสี่ยวกวนเคยได้ยินฉิงปิ่งจงเอ่ยให้ฟังที่สำนักศึกษาหลินเจียง

ในตอนนั้นฉิงปิ่งจงกล่าวกับเขาว่า “ข้าจะขอเตือนว่าเยี่ยนซีเหวินผู้นี้สอบติดจอหงวนในปีที่ผ่านมา และเขาก็ชื่นชอบแม่นางต่งชูหลานยิ่งนัก”

เมื่อต่งซิวเต๋อเอ่ยว่าซีเหวินเมื่อครู่ หากแต่เขายังไม่ทันได้คิดว่าผู้นี้ก็คือเยี่ยนซีเหวิน แต่หลังจากที่เขาได้เห็นสีหน้าและแววตาของเยี่ยนซีเหวินนั้น จึงนึกขึ้นได้ว่าผู้นี้ก็คือเยี่ยนซีเหวินนั่นเอง

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะขึ้น เมื่อครั้งที่หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานเดินทางมายังหลินเจียง ก็ได้เล่าถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์ที่หลานถิงจี๋ให้เขาฟัง และเล่าให้ฟังว่าทำนองเพลงแห่งสายน้ำของเขานั้นเอาชนะเยี่ยนซีเหวินและพรรคพวกได้ หากวันใดที่เขาเดินทางไปเมืองหลวงและพบเข้ากับเยี่ยนซีเหวิน พวกเขาจะต้องให้ความเคารพต่อฟู่เสี่ยวกวนเหมือนกับลูกศิษย์ที่เชื่อฟังคำสั่งสอน

หากกล่าวอย่างง่าย ๆ ก็คือ ฟู่เสี่ยวกวนเป็นอาจารย์ของพวกเขาทั้งหลายนั่นเอง

ดังนั้นเขาจึงได้ส่งสายตามองไปยังลูกศิษย์กลุ่มนี้แล้วตอบกลับไปอย่างภาคภูมิใจว่า “ข้าก็คือฟู่เสี่ยวกวน ! ”

ดวงตาของเยี่ยนเสี่ยวโหลวเบิกกว้าง ปากเรียวบางที่ถูกผ้าขาวปิดบังไว้บัดนี้ก็อ้ากว้าง นี่มัน……เป็นไปได้อย่างไรกัน !

เขาผู้นี้ก็คือฟู่เสี่ยวกวน ?

เมื่อสักครู่เขาเพิ่งเอ่ยว่าจะทำลายกวีบรรทัดที่หนึ่งนั่นทิ้งไปเสียมิใช่หรือ เขาเอ่ยว่ามันเป็นเหมือนป้ายหน้าหลุมศพ…สิ่งนี้เป็นความใฝ่ฝันของนักกวีทั้งหลายเชียว เหตุใดเขาจึงจะทำลายมันทิ้งกัน ?

ชายผู้นี้ สมองยังปกติดีอยู่หรือไม่ ช่างแปลกนัก !

เยี่ยนเสี่ยวโหลวมองมายังใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวน จู่ ๆ นางก็รู้สึกว่าเขาไม่ได้น่ารังเกียจเหมือนเมื่อครู่ เนื่องจากในโลกนี้คงมีเพียงเขาเท่านั้นที่กล้าเอ่ยคำเช่นนั้นออกมา

เมื่อเยี่ยนซีเหวินได้ยินคำตอบนั้นก็เดินหน้าขึ้นไปสองก้าว ดวงตาทั้งคู่ของเขาจ้องมองไปยังฟู่เสี่ยวกวนและเอ่ยว่า “ข้าขอบอกเจ้าว่า แม่นางต่งชูหลานเป็นของข้า หากเจ้ากล้าคิดแตะต้องนาง ข้าจะทำให้เจ้าเสียใจไปตลอดชีวิต ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย ลูกศิษย์ผู้นี้กล้าขู่เขาเช่นนี้เชียว !

“เจ้าเคยอ่านตำราเซิ่งเซียนหรือไม่ ?” ฟู่เสี่ยวกวนเดินหน้าขึ้นมาสองก้าวเช่นกัน ทั้งสองอยู่ในระยะประชิดเสียจนแทบได้ยินเสียงลมหายใจของอีกฝ่ายหนึ่ง

“แน่นอน ! ” เยี่ยนซีเหวินยืดอกตอบอย่างภาคภูมิใจ “ข้าเป็นถึงจอหงวนในปีที่ผ่านมา ! ”

“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าหากคน ๆ หนึ่งไม่ซื่อสัตย์รักษาสัญญาของตน ก็มิควรเหยียบอยู่บนแผ่นดินนี้ ? ข้าขอถามเจ้าว่า ชื่อของข้าถูกจารึกไว้บนหินเชียนเปยสือนี้ ส่วนชื่อของเจ้าอยู่ที่ใดกันเล่า ? ” ฟู่เสี่ยวกวนก้าวเข้ามาอีกก้าวหนึ่ง หน้าผากของทั้งสองแทบจะชนกันอยู่แล้ว

เยี่ยนซีเหวินตื่นตระหนกขึ้นมาทันใด เขานึกได้ถึงการเดิมพันในครั้งนั้น สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปทันที เขาถอยหลังไปก้าวหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “นั่นคือเรื่องของกวี บัดนี้เรื่องที่ข้าและเจ้าเอ่ยอยู่นั้นคือแม่นางต่งชูหลาน ! ”

“เจ้าเคยยอมรับว่าจะทำตามคำสั่งของข้าทุกประการ และถ้าหากเจอข้าก็จะให้ความเคารพยำเกรงประหนึ่งศิษย์มิใช่หรือ ? ถ้าหากเจ้าไม่ยอมรับก็ไม่เป็นไร ข้าเพียงจะนำเรื่องนี้ไปป่าวประกาศ อีกทั้งยังจะเขียนลงในหนังสือความฝันในหอแดง”

“ลูกผู้ชายกล้าทำย่อมกล้ารับ สัญญาที่ให้ไว้แน่นอนว่าข้าจะทำตาม แต่เรื่องนี้หาได้เกี่ยวข้องกับกับแม่นางชูหลานไม่ ! ”

“ถ้าอย่างนั้นข้าขอถามเจ้าว่า กวีบทนั้นแม่นางชูหลานเป็นผู้นำมาใช่หรือไม่ ? ”

“นี่มัน…แน่นอน !”

“ถ้าเช่นนั้นเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับแม่นางชูหลานหรือไม่ ? ข้าจะบอกเจ้าเอาไว้ ณ ที่นี้ว่าแม่นางชูหลานคือคู่หมั้นของข้า หากเจ้ายังกล้าคิดใด ๆ กับชูหลานในใจ ก็นับว่าไม่เคารพข้าอีกทั้งทำผิดต่อคำสัญญา ! ”

เยี่ยนซีเหวินกำลังจะเอ่ยบางอย่างออกมา แต่ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ให้โอกาสเขาอีก ฟู่เสี่ยวกวนเดินหน้าไปอีกก้าวหนึ่ง หน้าผากของทั้งสองใกล้ชิดกันมากขึ้น แววตาอันดุเดือดจ้องมองกันเขม็ง ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยขึ้นว่า“หากเจ้ายินยอมเป็นคนที่หยาบคาย ไร้มารยาท ผิดคำพูดไร้ความน่าเชื่อถือและไม่ชอบธรรม หากยินยอมได้รับการขนานนามว่าเป็นศิษย์ผู้อกตัญญู ข้าจะช่วยให้สิ่งเหล่านี้เป็นจริงขึ้นมาเอง ! ”

เยี่ยนซีเหวินเหงื่อออกซึมเต็มหน้าผาก เขาจะกล้าทำเยี่ยงนั้นได้อย่างไร ? แต่เขาก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ตอนนี้เขาได้ถูกฟู่เสี่ยวกวนปั่นหัวเสียจนมึนงง

ฟู่เสี่ยวกวนถอยกลับไปหนึ่งก้าว สีหน้าดุร้ายเมื่อครู่หายไปในพริบตา อีกทั้งยังมีแววตาอ่อนโยนเข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็ว ทำเอาผู้พบเห็นอย่างเยี่ยนซีเหวินนี้อกสั่นขวัญหายยิ่งนัก

ฟู่เสี่ยวกวนนำมือไปตบลงที่บ่าของเยี่ยนซีเหวินด้วยแรงมหาศาล

“เหตุการณ์เมื่อครู่เป็นเพราะเราทั้งสองยังไม่รู้จักกันดีพอ เมื่อได้พบและพูดคุยกันแล้วย่อมปรับความเข้าใจได้เป็นธรรมดา ข้ายังต้องอยู่ที่เมืองหลวงนี้อีกหลายวัน และในอนาคตจะอยู่ที่นี่นานกว่านี้เสียอีก ข้าว่าเราควรจะทำความรู้จักกันเสียใหม่ เริ่มจากข้าก่อนเจ้าว่าอย่างไร ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนตบลงที่บ่าของเยี่ยนซีเหวินอีกครั้ง เยี่ยนซีเหวินพยักหน้าตอบรับอย่างงุนงง

ฟู่เสี่ยวกวนยื่นมือข้างหนึ่งออกไปแล้วเอ่ยว่า “ข้า ฟู่เสี่ยวกวน”

เยี่ยนซีเหวินเองยังรู้สึกว่าบางสิ่งผิดไปจากปกติ แต่เขาต้องรักษาสัญญาเนื่องจากเหตุการณ์ในวันนั้นมีผู้คนอยู่มากมาย เขาไม่สามารถผิดสัญญาได้เป็นแน่ อีกทั้งแม่นางต่งชูหลานเองก็ยังให้คำสาบานด้วยเช่นกัน

ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงยอมรับในผลที่ออกมา ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ชื่นชมยินดีเท่าไรนัก แต่ก็ยื่นมือออกไปและตอบกลับว่า “ข้า เยี่ยนซีเหวิน”

เมื่อทั้งสองจับมือกัน เยี่ยนซีโหลว ซูม่อและคนอื่น ๆ ล้วนตกตะลึง

นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?

ทั้งสองเป็นศัตรูกันมิใช่หรอกหรือ ?

คนหนึ่งเป็นชายหนุ่มรับราชการในเมืองหลวง อีกคนหนึ่งเป็นผู้มีพรสวรรค์จากเมืองหลินเจียง

แม้ว่าในงานเทศกาลไหว้พระจันทร์ เยี่ยนซีเหวินจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แม้จะเอ่ยว่ายอมรับในสัญญาแห่งความพ่ายแพ้ แต่ความสามารถของเขาก็มิได้ด้อยไปกว่าฟู่เสี่ยวกวน แน่นอนว่าเขาคงเก็บความอัดอั้นตันใจไว้ไม่น้อย

เรื่องที่เยี่ยนซีเหวินชอบพอแม่นางต่งชูหลานมาเป็นเวลานานนั้น บรรดาผู้มีอำนาจชื่อเสียงในเมืองหลวงต่างก็รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี แต่ฟู่เสี่ยวกวนเป็นใคร เขาเพิ่งปรากฏตัวได้เพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น !

เขาออกมาหักหน้าเยี่ยนซีเหวินเช่นนี้ จะให้เยี่ยนซีเหวินเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน ?

จะให้ตระกูลเยี่ยนที่รักษาความดีงามมาถึงสามรุ่นเอาหน้าไปไว้ที่ใด ?

บัดนี้เมื่อทั้งสองจับมือกันเช่นนี้ หรือว่าเยี่ยนซีเหวินจะมีใจโอบอ้อมจริง ๆ ?

ก็คงเป็นเช่นนั้น

ช่างมีคุณสมบัติของคุณชายในตระกูลใหญ่ที่ดีเสียจริง ใจกว้าง กล้าทำกล้ารับ ไม่มีใครเทียม !

ดังนั้นสายตาที่ผู้คนรอบข้างมองเยี่ยนซีเหวินก็เปลี่ยนไปเป็นชื่นชมทันที เว้นแต่จางเหวินฮั่นที่ยังมัวจ้องมองฟู่เสี่ยวกวน แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา

“ชื่อเสียงของท่านนั้นข้าเองก็เคยได้ยินมาตั้งแต่ที่หลินเจียง และได้ให้ความชื่นชมมาโดยตลอดกระทั่งวันนี้ได้พบด้วยตัวเอง ข้า ฟู่เสี่ยวกวน นับว่ามีบุญนัก พี่รองข้าได้จองโต๊ะอาหารไว้ที่หอซื่อฟาง พวกเรามีเพียง 4 คนเท่านั้น ขอเชิญพวกท่านไปร่วมโต๊ะด้วย จะได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น พวกท่านคิดเห็นว่าอย่างไร ? ”

เยี่ยนซีเหวินครุ่นคิดชั่วครู่ หากไม่ไปก็อาจจะถูกกล่าวหาว่าใจแคบ แต่หากตกลงไป จะกินอะไรลงกันเล่า ?

“พวกข้านั้นก็ได้จองโต๊ะอาหารไว้ที่หอซื่อฟางเช่นกัน เมื่อถึงเวลาข้าจะไปดื่มให้กับท่าน” คำว่าอาจารย์นั้น เยี่ยนซีเหวินยังไม่สามารถเรียกฟู่เสี่ยวกวนว่าอาจารย์ได้ จึงได้ใช้คำอื่นที่ฟังดูให้ความเคารพแทน

ฟู่เสี่ยวกวนตบบ่าเยี่ยนซีเหวินแล้วเอ่ยว่า “เป็นเช่นนี้ก็ได้ เรามารวมโต๊ะเข้าด้วยกัน ทุกท่านจะได้ไม่เงียบเหงา เอาตามนี้ละ นี่ถือว่าเป็นความต้องการของอาจารย์ หากเจ้ายังกล้าปฏิเสธละก็คงได้ตัดความสัมพันธ์กันเป็นแน่ ไปกันเถอะ ! จะมีอะไรสำคัญไปกว่าการได้พบเจอคนที่ถูกคอเช่นนี้ แม้อยู่ห่างไกลก็ยังได้เดินทางมารู้จักกัน การได้พบกับทุกท่านในวันนี้ถือว่าเป็นเรื่องดียิ่งนัก ข้า ฟู่เสี่ยวกวน ช่างโชคดีเสียจริง ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ให้เวลาพวกเขาครุ่นคิด เขาโบกมือและกล่าวเชิญว่า “ไปกันเถอะ ! ”

เขาเดินนำหน้าทุกคนไป ฟางเหวินซิงและคนอื่น ๆ ต่างมองหน้ากัน จากนั้นก็หันไปมองเยี่ยนซีเหวิน เยี่ยนซีเหวินได้แต่ถอนหายใจออกมาแล้วเดินตามไป

จางเหวินฮั่นมิได้เดินตามไปด้วย แต่หาได้มีใครสังเกตเห็นเขาไม่ ที่แท้เขามิเคยอยู่ในสายตาของคนพวกนั้นเลยหรือนี่

เยี่ยนเสี่ยวโหลวเดินตามหลังพี่ชายไป นางมองไปยังรูปร่างสูงใหญ่นั้นที่ดูมั่นคงหนักแน่น คำกล่าวเมื่อครู่ของเขาที่ว่าจะมีอะไรสำคัญไปกว่าการได้พบเจอคนที่ถูกคอเช่นนี้ แม้อยู่ห่างไกลก็ยังได้เดินทางมารู้จักกัน เขาผู้นี้…คือผู้ที่มีความสามารถจริง ๆ !

พี่ชายของนางได้ต่อกรกับเขาเมื่อครู่และพ่ายแพ้ แพ้อย่างราบคาบเสียด้วย

เขาผู้นี้ได้ใช้คำพูดบีบบังคับในตอนแรก จากนั้นก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน คล้ายกับรู้จักพี่ชายนางมาหลายปีอย่างไรอย่างนั้น

พลิกฝ่ามือบังคับเมฆ ปกมือบังคับฝน คำอุปมานี้ไม่ได้เกินไปกว่าความสามารถของเขาจริง ๆ ช่างมีความสามารถนัก !