ตอนที่ 97 ชูจอกเหล้าขอลมบูรพา

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 97 ชูจอกเหล้าขอลมบูรพา

หลังจากนั้นการเดินทางครั้งนี้จึงมีต่งซิวเต๋อเป็นผู้นำ ฟู่เสี่ยวกวนและเยี่ยนซีเหวินเดินเคียงบ่ากันไป

ฟู่เสี่ยวกวนพูดคุยกับเยี่ยนซีเหวินมาตลอดทาง เยี่ยนซีเหวินตอบเป็นบางครั้งคราว ราวกับฟู่เสี่ยวกวนเป็นคนชอบพูด หลังจากนั้นไม่นานเยี่ยนซีเหวินก็เริ่มคลายปมในใจได้เล็กน้อยแล้ว จึงเริ่มเป็นฝ่ายชวนฟู่เสี่ยวกวนคุยบ้าง

เหล่าคนอื่นที่เดินตามหลังฟางเหวินซิงมานั้นก็เริ่มรู้สึกตัว ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้ที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง ภายในระยะเวลาคลุกคลีอันสั้น เขาก็สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวได้ จนเยี่ยนซีเหวินมิมีโอกาสได้โต้กลับ ที่ดีงามที่สุดคือการยอมถอยคนละก้าว การยอมถอยนี้ราวกับได้รับการปลดปล่อย

คนผู้นี้มิต้องการมีเรื่องกับเยี่ยนซีเหวิน อย่างไรตระกูลเยี่ยนก็มีอำนาจ เพียงชี้นิ้วออกไปก็สามารถขยี้เศรษฐีที่ดินแห่งหลินเจียงให้เป็นผุยผงได้ ดังนั้นเขาถึงได้ยอมถอยมาหนึ่งก้าว เพื่อให้เยี่ยนซีเหวินได้มีพื้นที่ มิใช่เลือกหนทางที่จะบังคับให้เยี่ยนซีเหวินต้องเสียหน้า

หลังจากนั้นคนผู้นี้ก็เชื้อเชิญเยี่ยนซีเหวินและพวกเขาด้วยมิตรไมตรี นี่ก็เพื่อไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง จนถึงขั้นสามารถเข้าใจได้ว่าเป็นการเข้าหาตระกูลเยี่ยน

แต่คนผู้นี้มีความสามารถอย่างแท้จริง กลอนบทนั้นที่เอ่ยขึ้นมาด้วยท่าทีสบาย ๆ แสดงให้เห็นแล้วว่าความหมายของการเชื้อเชิญในครานี้ก็เพื่อพบปะคนรู้จัก ทั้งยังได้ขจัดบรรยากาศที่เป็นปรปักษ์ที่ตึงเครียดเมื่อครู่ออกไป

หมัดที่ปล่อยออกมาครานี้ เยี่ยนซีเหวินคิดจะรับก็รับ มิคิดจะรับก็ต้องรับอยู่ดี

ชายผู้นี้ คิดใคร่ครวญอย่างรอบคอบและกระทำการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ภายภาคหน้าหากพบเจอเขา อย่าได้ยั่วโทสะจะเป็นการดีที่สุด

ต่งซิวเต๋อที่เดินนำหน้ามิได้คิดอะไรให้มากมาย เขาดีใจ ดีใจอย่างยิ่ง น้องเขยผู้นี้ยอดเยี่ยมยิ่ง จัดการเยี่ยนซีเหวินให้สงบเสงี่ยมได้อย่างสมบูรณ์แบบ จนทำให้เยี่ยนซีเหวินผู้นั้นมิเหลือโทสะเลยแม้แต่น้อย

น้องสาวของข้า สายตาของนางเฉียบแหลมยิ่ง !

พวกเขาเดินขึ้นไปยังห้องหรูหราบนชั้นสามของหอซื่อฟาง และแยกย้ายกันไปนั่ง ชุนซิ่วและซูม่อส่ายหัวเล็กน้อยไปทางฟู่เสี่ยวกวน พวกเขาทั้งสองคนขอนั่งรออยู่ข้างนอก

หนนี้ฟู่เสี่ยวกวนมิได้บังคับ แต่มิใช่เพราะปัญหาทางสถานะตัวตน แต่เป็นความสบายใจ แท้จริงแล้วเขานั้นมิชอบการทานอาหารกับคนหมู่มาก โดยเฉพาะการทานอาหารที่ต้องใช้ความคิด มันน่าเหนื่อยหน่ายยิ่งนัก

ที่นั่งทางด้านซ้ายของฟู่เสี่ยวกวนคือเยี่ยนซีเหวิน และที่นั่งทางด้านขวาของเขาก็คือต่งซิวเต๋อ

“เสี่ยวเอ้อ ขอสุรา ! ” ฟู่เสี่ยวกวนตะโกนออกไปทางประตู

“มาแล้วขอรับ ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนเหลือบมอง ซีชานเทียนฉุน !

ประหลาดใจนัก สุราตระกูลของตนมาขายถึงเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อใดกัน ?

เป็นเวลานานแล้วที่มิได้ใส่ใจเรื่องของหยู๋ฝูจี้ ดูเหมือนว่าจะมีสาขาย่อยที่เมืองหลวงแล้ว

ฟู่เสี่ยวกวนเปิดขวดสุราและรินให้กับทุกคนจนเต็มจอก แต่เมื่อมาถึงเยี่ยนเสี่ยวโหลวก็ลังเลไปเสียเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นเยี่ยนเสี่ยวโหลวมิได้มีท่าทีปฏิเสธ จึงเติมให้นางจนเต็ม

“สุรานี้ ข้าเป็นผู้กลั่นเอง ! ”

ทุกคนชะงัก เยี่ยนซีเหวินหันหน้ามาเหลือบมองฟู่เสี่ยวกวน ในเวลานี้ซีชานเทียนฉุนและเซียงเฉวียนเป็นที่นิยมในเมืองหลวงอย่างยิ่ง แต่กลับมิมีขายในท้องตลาด สุราเหล่านี้ต่างมาจากหลิงเจียงแต่เป็นจำนวนที่น้อยนิด รวมถึงหอซื่อฟางแห่งนี้ ก็ได้ส่งคนไปซื้อถึงหลินเจียงด้วยเช่นกัน

เยี่ยนซีเหวินและเยี่ยนเสี่ยวโหลวทราบมาว่าสุราของซีซานนั้นเป็นพ่อค้าหลวงที่นำเข้ามา โดยเฉพาะยอดสุราซีซาน ที่มีเพียงท้องพระโรงเท่านั้นที่ได้ครอบครอง

คนผู้นี้ยังกลั่นสุราได้อีกเยี่ยงนั้นรึ ?

 “พวกเจ้าคงมิเชื่อกัน ใต้ขวดจะมีอักษรว่าสุราหาได้ยากยิ่งในใต้หล้าซีชานเทียนฉุนที่ฉินปิ่งจง อาจารย์ฉินพี่ชายของข้าเป็นผู้เขียน เขาได้มาที่เมืองหลวงสองสามวันที่แล้ว หากพวกเจ้าได้พบกับเขา ก็สามารถถามได้”

บัณฑิตทุกคนต่างรู้จักชื่อเสียงของอาจารย์ฉินเป็นอย่างดี ได้ยินฟู่เสี่ยวกวนกล่าวประโยคนั้น โดยเขาได้เติมคำว่าพี่ชายไว้ด้านหลังของอาจารย์ฉิน ความหมายนี้จึงแตกต่างออกไป อาจารย์ฉินอยู่ที่หลินเจียงมาเนิ่นนาน เป็นไปได้หรือไม่ที่จะกลายมาเป็นสหายต่างวัยกับชายผู้นี้ ?

ครุ่นคิดแล้วก็มีความเป็นไปได้ บุรุษผู้นี้มั่งคั่งไปด้วยบทกวีและตำรา อาจารย์ฉินก็เป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งรัชสมัย ก่อนหน้านี้ทั้งสองต่างก็อยู่ที่หลินเจียง จึงมีความเป็นไปได้อย่างยิ่ง

เยี่ยนเสี่ยวโหลวหันมามองฟู่เสี่ยวกวนอีกครา นางปลดผ้าคลุมออก ประจวบกับฟู่เสี่ยวกวนที่วางจอกสุราลงพอดี เงยหน้าขึ้นมาก็ได้เห็นใบหน้างดงามที่อยู่ตรงกันข้าม ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา

แต่ในใจนั้นกลับไร้ระลอกคลื่นอื่นใด เพียงแค่ประหลาดใจที่โลกใบนี้มีหญิงงามค่อนข้างมาก

เพียงแค่ครู่เดียว ฟู่เสี่ยวกวนก็ดึงสายตากลับมา และเยี่ยนซีเหวินก็ได้เอ่ยถามขึ้น “มิทราบว่าน้องฟู่มาทำอันใดที่เมืองหลวงรึ ? ”

เดิมทีฟู่เสี่ยวกวนอยากกล่าวว่ามาหาต่งชูหลาน แต่เขาก็เปลี่ยนความคิด อย่าได้กระตุ้นเขาในยามนี้จะดีกว่า

“ข้าได้ยินว่าฝ่าบาทได้จัดการทดสอบขึ้นที่หอหลานถิง จึงอยากจะลองไปดู อยากทราบว่าจะสามารถเข้าพระเนตรของฝ่าบาทได้หรือไม่”

เยี่ยนซีเหวินจึงเกิดความสงสัย “ด้วยพรสวรรค์ของน้องฟู่ เหตุใดจึงมิเดินทางสายเคอจี่กัน ? ”

มาอีกแล้ว มันมาอีกแล้ว ต่งซิวเต๋อลอบตำหนิอยู่ในใจ เหตุใดเยี่ยนซีเหวินจึงได้เป็นผู้ทรงคุณธรรมเยี่ยงนี้ ? จับใครได้ก็ต้องชักชวนอยู่เรื่อย น่าเบื่อยิ่งนัก !

“กล่าวไปก็คงมิมีใครเชื่อ ในอดีตข้านั้นมิคิดจะเป็นขุนนาง ดังนั้นในวันนี้จึงยังเป็นเพียงซิ่วไฉ จึงมิมีคุณสมบัติเข้าร่วมชิวเหวย ในตอนนี้เพิ่งจะได้เข้าใจ แต่หากต้องไปทดสอบเคอจี่ แล้วจึงจะได้มาสอบจิ้นซื่อในท้ายที่สุด นั่นยุ่งยากอย่างยิ่ง และที่สำคัญเวลาของข้ามีไม่มากนัก ดังนั้น จึงเกิดความคิดว่าหากการถกนโยบายนี้สามารถทำให้ฝ่าบาททอดพระเนตรเห็นได้ ก็จะสามารถประหยัดเวลาไปได้เล็กน้อยใช่หรือไม่ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง !

เหล่าบัณฑิตต่างประหลาดใจ แต่มิมีใครสงสัยว่าเขาจะสอบเคอจี่ จิ้นซื่อ หรือขั้นจอหงวนได้หรือไม่

เพราะฟู่เสี่ยวกวนมีชื่อเสียงอย่างมาก ในสายตาของฟางเหวินซิงและคนอื่น ๆ หากฟู่เสี่ยวกวนไปสอบ ย่อมมิมีปัญหาอันใด

มีเพียงซูม่อที่นั่งอยู่ด้านนอก การฟังของเขานั้นยอดเยี่ยม เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนั้นของฟู่เสี่ยวกวน ก็รู้สึกว่าชายผู้นี้ขี้โอ่เสียจริง

เสี่ยวเอ้อยกอาหารมา ฟู่เสี่ยวกวนจึงยกจอกสุราขึ้น “มีโอกาสได้พบเจอทุกท่านที่เมืองหลวง นับเป็นโชคดีของข้าฟู่เสี่ยวกวน จอกแรก หมดจอกสำหรับการพบพานของพวกเรา !”

ทุกคนต่างชนจอก และดื่มไปหนึ่งจอกพร้อมกัน

ฟู่เสี่ยวกวนเดินไปเติมให้กับทุกคนจนเต็มอีกครา แล้วกล่าวว่า “พรุ่งนี้เป็นวันชิวเหวย จอกที่สอง ขออวยพรให้ทุกท่านได้มีชื่อบนป้ายทอง พี่ซีเหวินได้เป็นจอหงวนแล้ว ขออวยพรให้จอหงวนได้เข้าสู่ราชสำนักในเร็ววัน”

ดังนั้น จึงได้ดื่มจอกที่สองจนหมด

“เรื่องดีที่จะมาถึงพร้อม ๆ กัน ทุกท่านลงมือทานกันเถิด ประเดี๋ยวข้าจักชนจอกทีละท่าน เพื่อทำความรู้จักกับทุกท่าน เพื่อนมากมายหนทางมากมี ภายภาคหน้าหากทุกท่านเติบโตจนเป็นขุนนางชั้นสูง ก็อย่าลืมสนับสนุนฟู่เสี่ยวกวนจากหลินเจียงผู้นี้ด้วย”

บรรยากาศพลันผ่อนคลายลงมา เยี่ยนเสี่ยวโหลวปิดปากกลั้วหัวเราะ ฟางเหวินซิงและคนอื่น ๆ ต่างรู้สึกว่าฟู่เสี่ยวกวนนั้นแท้จริงก็เป็นบุคคลที่ไม่เลว แม้แต่เยี่ยนซีเหวินในยามนี้ก็เหมือนจะลืมต่งชูหลานไปเสียแล้ว รู้สึกว่าชายหนุ่มผู้นี้สามารถคบหาได้

ดังที่ว่าจอกสุราผลัดเปลี่ยนความสัมพันธ์ บรรยากาศจึงครึกครื้นขึ้น ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ทำความรู้จักกับโจวเทียนโย่ว ฟางเหวินซิง อันลิ่วเย่ เยี่ยนเสี่ยวโหลวและคนอื่น ๆ

เมื่อดื่มสุราจนได้ที่ ทันใดนั้นเยี่ยนเสี่ยวโหลวก็กล่าวขึ้นมา

น้ำเสียงของนางแผ่วเบายิ่ง “พี่ฟู่เป็นผู้มีพรสวรรค์ที่ข้านับถือเป็นอย่างยิ่ง จึงขอฉวยโอกาสนี้ พี่ฟู่จะประพันธ์กวีทำนองเสนาะเกี่ยวกับสุรางานเลี้ยงได้หรือไม่”

ภายในงานเลี้ยงเงียบลง ทุกคนต่างจ้องมองไปทางฟู่เสี่ยวกวน และสายตาของเยี่ยนเสี่ยวโหลวนั้นก็ร้อนแรงอย่างถึงที่สุด

ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นยืนและเดินไปทางเบื้องหน้าหน้าต่าง ด้านนอกนั้นคือทะเลสาบเว่ยยาง

“เยี่ยงนั้น ข้าคงต้องขอแสดงฝีมืออันต่ำต้อย”

เยี่ยนเสี่ยวโหลวรีบเดินไปยังโต๊ะอักษรที่อยู่ข้าง ๆ ถือพู่กันไว้และรอฟัง

“คลื่นลมทราย ชูจอกสุรา ขอลมบูรพา”

ฟู่เสี่ยวกวนยืนสองมือไขว้หลังด้วยท่าทีองอาจ

“ชูจอกสุราขอลมบูรพา โปรดสงบนิ่งอยู่ด้วยกันประเดี๋ยวก่อน”

“ทางเดินต้นหลิวสีม่วงมิได้อยู่ทางบูรพา”

“เพลานั้นจับมือกันเสมอมา ท่องไปรอบบุหงานานาพรรณ”

“รวมตัวและแยกจากทุกข์ระทมจนร้อนรน ความชิงชังไร้หนทางที่สิ้นสุด”

“บุหงาปีนี้ผลิบานกว่าปีที่แล้วมา”

“เสียดายผกาปีหน้าที่ดียิ่งกว่า รู้ไหมว่าครุ่นคิดไว้เหมือนใคร ? ”