บทที่ 144 ได้ยินว่า

คู่ชะตาบันดาลรัก

จี้หลิงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติจริงๆ เขาพักอยู่ที่เรือนซงเทา ต้องการถามเด็กรับใช้สักคนเรื่องสถานการณ์ภายในจวน ผู้ใดจะรู้เล่าว่าทุกคนที่พบเขาล้วนซ่อนตัวกันหมด

จวนตระกูลหมิงเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ต้อนรับแขกกันเช่นนี้หรือ

จี้หลิงยิ่งไม่พอใจคิดว่าท่านอากับน้องสาวอยู่ที่นี่ต้องได้รับความไม่เป็นธรรมเป็นแน่ ขนาดคนในครอบครัวฝ่ายมารดามาเยี่ยมเยียนยังปฏิบัติพอเป็นพิธีถึงเพียงนี้ แล้วแต่ละวันพวกนางจะได้รับอะไรบ้าง แม้ตระกูลจี้ในตอนนี้จะไม่ได้ตกต่ำลงยังต้องเสแสร้งกันอยู่อีกหรือ

หมิงเฉิงจัดการทุกอย่างให้เขาเสร็จก็รีบออกไป จี้หลิงคิดว่าเป็นเพราะในเรือนมีจัดพิธีศพจึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่เมื่อเห็นว่าสาวใช้ของหมิงเวยย้ายของจำเป็นเข้ามาที่เรือนซงเทาไม่หยุด เสื้อผ้า อาหารล้วนดูแลเอาใจใส่ทุกอย่าง เขาก็รู้สึกโล่งใจ

โชคดีที่น้องสาวคนนี้ของเขาปกติดี เขาซึ่งเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางตะลอน ๆ มาที่นี่ หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เด็กรับใช้ที่ติดตามเขามาจากจวนด้วยกันก็เข้ามาพูดคุยด้วย

“คุณชายขอรับ เมื่อสักครู่บ่าวได้ยินอะไรบางอย่างมา ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้นกับตระกูลหมิง”

จี้หลิงเองก็กำลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่เขาจึงส่งสัญญาณให้เด็กรับใช้ปิดประตู

“เจ้าไปได้ยินอะไรมา”

เด็กรับใช้ตอบว่า “ตอนที่บ่าวไปให้อาหารม้าที่คอกม้ามีแขกสองคนเดินมาแถวนั้นพอดี…”

บทสนทนาที่เขาได้ยินเป็นแบบนี้

“พี่หม่า ไม่คาดคิดมาก่อนว่าในเวลานี้ท่านยังเต็มใจที่จะมาที่จวนตระกูลหมิงอีก ท่านช่างมีไมตรีจิตเสียจริง!”

“พี่หลี่ก็ด้วยมิใช่หรือ เฮ้อ! ถึงแม้นายท่านหกจะชื่อเสียงไม่ดี แต่เขาก็ดีกับพวกเรา ตอนนี้เขาจากไปแล้วไปส่งเขาหน่อยก็เป็นเรื่องที่สมควร”

“ใช่! ตระกูลหมิงช่างโชคร้ายเสียจริง จวิ้นอ๋องถูกตัดสินจำคุก นายท่านสองเองก็ถูกขังอยู่เช่นกัน ได้ยินมาว่าเขากำลังจะถูกตัดสินว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด หากข้อหาความผิดนั้นเป็นเรื่องจริง ตระกูลหมิงได้จบสิ้นแน่”

“ที่ท่านพูดมา นายท่านหกเสียชีวิตได้ทันเวลาจริงๆ นี่เป็นการกบฏครั้งใหญ่ ต่อให้ไม่ตายคราวนี้ก็ต้องถูกตัดหัวอยู่ดี”

“พูดเช่นนี้ท่านรู้สึกหรือไม่ว่าการตายของนายท่านหกแปลกประหลาด เขาได้รับบาดเจ็บมานานถึงเพียงนั้นแล้ว ไม่เห็นจะได้ยินว่าอาการแย่ลงเลย แต่ทำไมจู่ๆ ถึงได้เสียชีวิตได้”

แขกคนนั้นมองซ้ายมองขวาแล้วลดเสียงลด “ข้าไปได้ยินข่าวลือมา ได้ยินว่าเมื่อคืนวานคุณชายหยางท่านนั้นพาคนมาที่ตระกูลหมิง หลังจากนั้นนายท่านหกก็เสียชีวิต”

“คุณชายหยางงั้นหรือ ท่านจะบอกว่าเขาฆ่านายท่านหกหรือ ทำไมกัน”

“ทำไมงั้นหรือ ท่านไม่เคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับเขาและคุณหนูเจ็ดหรือ ฮูหยินสามแขวนคอตายก็เพราะถูกนายท่านหกลวนลาม ไม่แน่ว่าเขาอาจทำเพื่อคุณหนูเจ็ด ช่วยล้างแค้นให้ฮูหยินสามก็เป็นได้!”

เมื่อแขกทั้งสองคนพูดกระซิบกระซาบกันเสร็จ เด็กรับใช้ที่อยู่ในคอกม้าก็ได้ยินเรื่องราวทั้งหมด รอพวกเขาเดินจากไปก็รีบมารายงานคุณชายของตน

“เจ้าว่าอะไรนะ” จี้หลิงฟังเสร็จสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป

คนของตระกูลหมิงที่มาแจ้งข่าวนั้นพูดจาคลุมเครือ พวกเขาคิดว่าฮูหยินสามเสียชีวิตเนื่องจากอาการป่วยไม่คิดเลยว่าจะมีเรื่องราวภายในเช่นนี้

จี้หลิงเดินไปเดินมาในห้องเพื่อดับไฟโทสะในหัวของเขา หมายความว่าท่านอาของเขาตายอย่างไม่ยุติธรรมงั้นหรือ มีอย่างนี้ที่ไหนกัน!

เด็กรับใช้เห็นเขาเป็นเช่นนั้นจึงรีบโน้มน้าวเขา “คุณชายใจเย็นก่อนขอรับ! นายท่านหกเสียชีวิตไปแล้ว ถึงคุณชายอยากจะคิดบัญชีก็คงทำไม่ได้แล้ว!”

ราวกับมีน้ำเย็นสาดเข้ามา จี้หลิงครุ่นคิดอีกทีก็จริงอย่างที่เด็กรับใช้พูด

เมื่อเรื่องอื้อฉาวดังกล่าวเกิดขึ้น ครอบครัวฝ่ายหญิงต้องเป็นเดือดเป็นร้อน ต้องการให้ผู้ร้ายชดใช้ด้วยชีวิตอย่างแน่นอน ตอนนี้นายท่านหกก็ได้ตายไปแล้ว ตระกูลจี้ยังจะเรียกร้องอะไรได้อีก

แต่อย่าได้คิดว่าเขาจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ถึงแม้นายท่านหกจะตายแล้ว ในฐานะที่ตระกูลจี้เป็นครอบครัวฝ่ายหญิงต้องแสดงท่าทีที่ชัดเจน!

แล้วอีกอย่างเขาคงไม่สามารถให้ลูกพี่ลูกน้องของตนอยู่ที่ตระกูลหมิงต่อไปได้ ท่านอาขืนใจหญิงหม้าย มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแล้วจะคาดหวังอะไรในตระกูลหมิงได้อีก

แล้วยังเรื่องก่อกบฏอีก…

เดี๋ยวนะ เมื่อครู่พวกเขาพูดถึงคุณชายหยางด้วยใช่หรือไม่ เมื่อตระหนักได้ว่าเรื่องนี้ซับซ้อนเล็กน้อย จี้หลิงจึงนั่งลงคิดพิจารณาอย่างรอบคอบ

“คุณชายหยางที่พวกเขาพูดถึง หมายถึงคุณชายจากจวนโป๋วหลิงโหวงั้นหรือ”

เด็กรับใช้ยิ้มแล้วตอบว่า “คุณชาย ตอนที่ท่านออกจากเมืองหลวงยังพูดถึงเรื่องนี้อยู่เลยขอรับ! ใต้เท้าเจี่ยงจากศาลต้าหลี่ได้รับคำสั่งให้มาตรวจสอบ ดังนั้นคุณชายจากจวนโป๋วหลิงโหวได้เดินทางไปกับเขาด้วยตอนนี้เขาอยู่ที่ตงหนิงขอรับ”

แน่นอนว่าจี้หลิงจำได้เขาเพียงแค่ต้องการคำยืนยัน

“ใต้เท้าเจี่ยงมาเยือนตงหนิง แน่นอนว่าต้องตรวจสอบฉีตงจวิ้นอ๋องเป็นแน่ พวกเขาพูดว่าจวิ้นอ๋องถูกตัดสินจำคุก ต้องมีจุดอ่อนให้ใต้เท้าเจี่ยงจับได้แน่ และตระกูลหมิงก็มีส่วนเกี่ยวข้อง…”

เรื่องที่ทั้งสองคนพูดมีทั้งเรื่องสาธารณะและเรื่องส่วนตัว เรื่องสาธารณะคือตระกูลหมิงที่เกี่ยวข้องกับคดีกบฏครั้งใหญ่ ส่วนเรื่องส่วนตัวก็คือฮูหยินสามถูกนายท่านหกขืนใจ

เรื่องราวไขกระจ่าง แต่มีเรื่องหนึ่งที่อยู่ระหว่างสองเรื่องนี้ซึ่งมันแปลกมากข่าวลือระหว่างลูกพี่ลูกน้องของเขากับคุณชายหยางท่านนั้นคืออะไรกัน

คุณชายหยางผู้นั้นชื่อเสียงของเขาในเมืองหลวง…

ยุ่งเหยิงจริงๆ!

แล้วจี้หลิงก็คิดอะไรออก เขารีบบอกกับเด็กรับใช้ว่า “เรื่องนี้อย่าเพิ่งเปิดเผยออกไป เจ้าไปสืบมาให้แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่!”

เขารู้สึกเสียใจเล็กน้อยทำไมเขาถึงไม่สอบถามเรื่องนี้ก่อนเข้าจวนตระกูลหมิงกันนะ เวลานั้นเขาคิดถึงแต่ท่านอากับน้องสาวจะไปนึกถึงเรื่องอื่นได้อย่างไร

เมื่อเรื่องต่างๆ มาถึงจุดนี้แล้วสร้างปัญหาไปอย่างเร่งรีบก็ไม่มีประโยชน์ เขาต้องคิดอย่างละเอียดรอบคอบว่าต้องสร้างปัญหาอย่างไรจึงจะสามารถทวงความยุติธรรมให้ท่านอาได้และเป็นประโยชน์ต่อลูกพี่ลูกน้องของเขาด้วย

……….

หมิงเวยไม่รู้เลยว่าเมื่อพี่ใหญ่ของตนเดินทางมาถึงก็คิดจะก่อปัญหาแล้ว

เมื่อจัดแจงที่พักให้เขาเสร็จให้เขาได้พักผ่อนสักครู่แล้วจึงเชิญเขามาจุดธูป

เมื่อเทียบกับทางฝั่งนายท่านหกแล้วฝั่งของฮูหยินสามนั้นเงียบสงัดมาก มีเพียงชายชราที่ทำหน้าที่เฝ้าประตู หมิงเวยเดินนำจี้หลิงเข้าไปด้านในแล้วพูดขึ้นว่า

“เพื่อรักษาสภาพร่างกาย ที่นี่จึงมีน้ำแข็งอยู่มากจึงค่อนข้างหนาวเหน็บ พี่ใหญ่ไม่ต้องกลัวนะเจ้าคะ” จี้หลิงเฝ้าสังเกตนางอย่างเงียบๆ

ข่าวลือที่ว่านางกับคุณชายหยางมีความสัมพันธ์ลับที่ไม่อาจแพร่งพรายได้ แต่เขาคิดว่าลูกพี่ลูกน้องตัวน้อยผู้นี้ทำตัวดีและนางไม่น่าจะเป็นคนเช่นนั้น! หรือเรื่องนี้จะมีความลับอะไรแฝงอยู่

พูดก็พูดเถอะ ตระกูลหมิงนั้นสูงกว่าตระกูลของตนเสียอีก ท่านอาเป็นหม้ายเสียสามี ตระกูลของนางไม่มีอำนาจ หากครอบครัวฝั่งสามีกดขี่ข่มเหงนาง แต่ละวันของนางคงผ่านมาไม่ง่ายเลย

เมื่อท่านอาจากไปลูกพี่ลูกน้องของเขาจึงเหลือตัวคนเดียว ดูจากท่าทางของหมิงเฉิงแล้วคงไม่ได้สนใจน้องสาวผู้นี้มากนัก เด็กกำพร้าคนหนึ่งหากต้องการล้างแค้นให้มารดานางจะทำอย่างไรได้ ดูเหมือนจะต้องยืมมือผู้อื่นเท่านั้น

อาจเป็นเพราะเรื่องนี้นางถึงได้ติดต่อกับคุณชายหยางใช่หรือไม่ เด็กโง่อะไรอย่างนี้ คุณชายใหญ่แห่งตระกูลจี้คิดว่าตนตระหนักได้ถึงความจริง เขาทั้งโกรธทั้งทุกข์ใจ

ตอนนี้คงไม่สามารถพูดอะไรได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องไม่น่าพูดถึงหากพูดกันต่อหน้า แล้วจะให้น้องสาวคนนี้จัดการอย่างไร

นางเป็นแค่สตรีผู้หนึ่งมาอยู่ในตระกูลที่สกปรกเช่นนี้ก็คงลำบากมามากพอแล้ว เขาต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปเพื่อไม่ให้เป็นการทำร้ายความภาคภูมิใจของนาง

หมิงเวยเดินนำเขาตรงเข้าไปในห้องโถงด้านหลัง ขณะที่เปิดผ้าบนฝาโลงนางก็พูดขึ้นว่า “สาเหตุการตายของท่านแม่ พี่ใหญ่คงไม่ทราบใช่หรือไม่ เรื่องนี้ไม่ควรที่จะพูดออกไป น้องจึงไม่ได้อธิบายอย่างละเอียดตอนนี้พี่ใหญ่อยู่ที่นี่แล้วจึงคิดว่าควรบอกให้ชัดเจนไปเลยดีกว่า”

หมิงเวยเปิดฝาโลงเผยให้เห็นใบหน้าซีดเซียวของฮูหยินสาม “ท่านแม่แขวนคอตายเจ้าค่ะ”

จี้หลิงในวัยเด็กนั้นสนิทสนมกับท่านอามาก ถึงแม้จะไม่ได้พบกันหลายปี แต่ก็ยังคงรักและผูกพันกับฮูหยินสาม

ท่านอาในความทรงจำของเขานั้นงดงามมาก เป็นสตรีที่งดงามที่สุดตั้งแต่เขาเคยพบเจอมา แต่ศพที่นอนอยู่ในโลงนั้นซีดเซียวและลีบ สูญเสียความงามไปนานแล้ว

เขามองลงไปและอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้า

……………………..