บทที่ 145 โกรธแค้น

คู่ชะตาบันดาลรัก

จี้หลิงเอามือทาบโลงศพ สายตามองไปที่ร่างของท่านอาและร้องไห้อย่างเงียบๆ หมิงเวยเห็นเขาเป็นเช่นนั้นก็รู้สึกสบายใจ

อย่างน้อยตระกูลจี้ก็ยังนึกถึงท่านแม่ พวกเขาก็รู้สึกเศร้ากับนางจากใจจริง

นางยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ “พี่ใหญ่อย่าเศร้าไปเลย ถึงแม้ท่านแม่จะได้รับความไม่เป็นธรรม แต่ตอนนี้ทุกอย่างคลี่คลายแล้วพี่ใหญ่สบายใจได้”

จี้หลิงจะใช้ผ้าเช็ดหน้าของนางได้อย่างไร เขาเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาแล้วพูดว่า “น้องไม่ต้องกลัวหลังจากนี้ยังมีพวกเราอยู่ อยู่ห่างไกลกันมาหลายปี แต่ไม่รู้ว่าท่านอาได้รับความทุกข์ทรมานเช่นนี้ทำให้พวกเจ้าต้องลำบากแล้ว!”

เขาพูดอีกว่า “ท่านอามีชีวิตอย่างยากลำบากเหตุใดถึงไม่บอกพวกเราเล่า ถึงแม้ตระกูลจี้จะตกต่ำ แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยให้บุตรสาวที่ออกเรือนแล้วถูกรังแก!”

หืม…

เขาทำหน้าบึ้งตึง “เรื่องของน้องพี่ได้ยินมาหมดแล้ว น้องยังเด็กเลยหุนหันพลันแล่นเกินไปแล้วยังทำเรื่องนั้นออกไปแล้ว! หลังจากนี้น้องจะไม่สามารถเรียกร้องสิทธิ์ของตนเองเพียงเพราะความสะดวกสบายชั่วขณะโดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมาได้อีกแล้วนะ”

เดี๋ยวนะ พี่ใหญ่ ท่านไปได้ยินอะไรมากันแน่

จี้หลิงคิดอีกครั้ง พบหน้ากันเพียงไม่นานเขาพูดแรงเกินไปหรือเปล่านะ จึงลดเสียงให้อ่อนลง “พี่รู้ว่าน้องหัวเดียวกระเทียมลีบเพื่อล้างแค้นให้มารดาจึงเดินไปในทางที่ผิด เรื่องนี้ต้องโทษตระกูลหมิงที่น่ารังเกียจนั่นไม่สามารถตำหนิน้องได้ หลังจากนี้หากน้องมีความคับข้องใจอะไรเพียงแค่พูดพี่จะช่วยให้น้องได้รับความเป็นธรรม อย่าสร้างความวุ่นวายเองอีกเลย ส่วนเรื่องนี้พี่จะวางแผนให้น้องเอง น้องไม่จำเป็นต้องไปพบเขาอีก”

ในหัวของหมิงเวยเต็มไปด้วยคำถามเรื่องของฮูหยินสามถูกปกปิดอย่างมิดชิดไม่สมควรพูดออกมา แต่ตระกูลจี้เป็นตระกูลของมารดาจึงมีสิทธิ์ที่จะรับรู้

อาจไม่เหมาะสมที่จะบอกอย่างละเอียด ความจริงมันน่ารังเกียจเกินไปถ้าตระกูลจี้รู้เข้าจะไม่โกรธแย่หรอกหรือ ดังนั้นนางจึงตัดสินใจเล่าเพียงครึ่งหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกคนต่างรู้ดี

ฮูหยินสามถูกนายท่านหกขืนใจจนต้องฆ่าตัวตาย แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้พูดอะไร ทำไมลูกพี่ลูกน้องผู้นี้ถึงทำเหมือนรู้ทุกอย่างแล้ว

“พี่ใหญ่…”

จี้หลิงคิดว่านางไม่พอใจจึงพูดอย่างจริงจังไปว่า “น้องยังเด็ก ไม่รู้ว่าชื่อเสียงนั้นสำคัญเพียงใด น้องจำเป็นต้องรู้ว่าปากหลายๆ คนย่อมสามารถละลายทองได้[1] หากคำพูดร้ายๆ นั้นมีมากเกินไปก็สามารถฆ่าคนได้เช่นกัน คุณชายหยางผู้นั้นถึงแม้มองผิวเผินเหมือนจะดี แต่เขาก็ไม่ใช่บุรุษที่ดีอะไร ตอนนี้น้องยืมอำนาจจากเขา เกรงว่าในอนาคตน้องจะตกที่นั่งลำบาก”

พูดถึงเรื่องนี้เขาก็ยิ่งสงสัยว่านางกับหยางชูมีความสัมพันธ์อย่างไรกันแน่ อย่างไรก็ตามรูปลักษณ์ของคุณชายหยางนั้นหาได้ยากยิ่งจริงๆ นั่นแหละ น้ำเสียงของเขาเริ่มมีความไม่แน่ใจ “น้องยังไม่ได้ถูกเขาหลอกใช่หรือไม่”

“….” เมื่อฟังถึงตรงนี้ในที่สุดหมิงเวยก็เข้าใจ

นางก้มหน้าลงแล้วยิ้มพี่ใหญ่ผู้นี้ดูเป็นคนจริงจังเข้าหาได้ยาก แต่ที่จริงแล้วเขาเป็นผู้ที่กระตือรือร้น

“ในเมื่อพี่ใหญ่ทราบแล้ว ถ้าอย่างนั้นน้องจะไม่ปิดบังอะไรท่านอีก ท่านแม่ตายอย่างไม่เป็นธรรมเพราะฉะนั้นน้องเลยไม่อยากให้รีบฝังศพนาง การตายของท่านอาหกเป็นการแก้แค้นให้ท่านแม่ ตอนนี้ทุกอย่างได้คลี่คลายแล้วน้องต้องการพาท่านแม่ออกจากตระกูลหมิงจึงคิดที่จะเผาศพนางเจ้าค่ะ”

นางชะงัก “ส่วนเรื่องคุณชายหยางเพราะมีความเกี่ยวข้องกับการกบฏของฉีตงจวิ้นอ๋องจึงยากที่จะอธิบายออกไป แต่เขาเต็มใจที่จะช่วยเจ้าค่ะ เพราะน้องมีส่วนช่วยเหลือในคดีนี้จึงมีข่าวลือออกมา หากพี่ใหญ่ไม่เชื่อสามารถขอคำยืนยันจากใต้เท้าเจี่ยงได้เจ้าค่ะ ด้วยสถานะของใต้เท้าเจี่ยงพี่ใหญ่สามารถเชื่อถือได้”

“จริงหรือ” ไม่แปลกที่จี้หลิงจะสงสัย เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ถูกเลี้ยงอยู่แต่ในเรือน ซ้ำยังเกิดมาโง่เขลา พอหายดีแล้วจะไปช่วยออกแรงอะไรได้

“ใต้เท้าเจี่ยงกำชับอยู่ตลอด แต่ไม่สามารถพูดอะไรมากกว่านี้ได้ อย่างไรก็ตามเรื่องที่พี่ใหญ่กังวลนั้นไม่มีอยู่จริง เพียงแต่น้องไม่สามารถอยู่ที่ตระกูลหมิงได้อีกต่อไปไม่ทราบว่าพี่ใหญ่…”

จี้หลิงรีบตอบไป “พวกเราไม่ปล่อยให้น้องอยู่ที่ตระกูลหมิงนี้อีกต่อไปแน่ รอผ่านไปอีกสองสามวัน เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นพี่จะพาน้องกลับเมืองหลวง”

หมิงเวยยิ้มก่อนกล่าวว่า “เมื่อไร้ท่านแม่ น้องรู้สึกเหมือนตนเองไม่ต่างไปจากเด็กกำพร้า ตอนนี้ได้พบพี่ใหญ่ในที่สุดน้องก็มีญาติพี่น้องแล้ว”

จี้หลิงรู้สึกเสียใจ เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พี่ใหญ่มาช้าไป ปล่อยให้น้องต้องทนทุกข์ทรมาน ในเมื่อน้องบอกว่าสะสางแค้นให้ท่านอาแล้ว เรื่องนี้เราจะไม่พูดถึงอีก อย่างไรก็ตามความยากลำบากที่น้องและท่านอาต้องทนมาตลอดหลายปี ไม่สามารถปล่อยให้ตระกูลหมิงยังคลุมเครืออยู่แบบนี้ต่อไปได้! น้องรอหน่อย พี่จะทวงความเป็นธรรมให้น้องเอง!”

พูดจบสีหน้าของเขาก็ดูจริงจังขึ้นท่าทางราวกับจะไปฉีกร่างคนตระกูลหมิงอย่างไรอย่างนั้น

เอ๋…หมิงเวยกะพริบตาปริบๆ สงสัยว่าตนเองแสดงละครเกินจริงไปหรือเปล่า เพียงแค่แสร้งทำเป็นไม่ได้รับความเป็นธรรม พี่ใหญ่ผู้นี้จะไปหาเรื่องแทนนางงั้นหรือ

นางจะรู้ความคิดของจี้หลิงได้อย่างไร

เขาคิดว่าเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่โง่เขลามาสิบกว่าปี จะไปมีส่วนช่วยในคดีกบฏครั้งใหญ่ได้อย่างไร บางทีอาจจะเป็นการให้เบาะแสสักหนึ่งหรือสองข้อ

ความดีความชอบเช่นนี้สามารถดึงดูดคุณชายหยางได้งั้นหรือ เขาเชื่อไปแปดส่วนว่าคุณชายสามแห่งจวนโป๋วหลิงโหวที่มีชื่อเสียงกระฉ่อนไปในทางที่ไม่ดีนั้นถูกตาต้องใจในความงามของลูกพี่ลูกน้องคนนี้ของเขา

ลูกพี่ลูกน้องคนนี้ของเขานั้นงดงามมาก สาวงามที่เขาเคยพบเจอมาก่อนไม่อาจเทียบกับนางได้ อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นท่าทางเชื่อมั่นอย่างสนิทใจของนาง เขาจึงไม่อยากทำให้นางตกใจ

ในเมื่อนางคิดอย่างนั้นก็ปล่อยให้นางคิดเช่นนั้นไปเถอะ! เรื่องอื่นให้ตนจัดการน่ะดีแล้ว ไม่อย่างนั้นจะมีพี่ใหญ่อย่างเขาไปทำไม เดิมทีหมิงเวยคิดไว้ว่าต้องเปลืองน้ำลายมาอธิบายสาเหตุการตายของฮูหยินสามให้จี้หลิงฟัง

ผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่าพี่ใหญ่ไปได้ยินคำนินทาพวกนั้น สมองจึงคิดไปว่าน้องสาวของตนไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากล้างแค้นให้มารดานึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะรู้มาขนาดนี้…

เมื่อมองดูร่างของฮูหยินสามก็รู้สึกเศร้าหมอง หลังจุดธูปไหว้เคารพเสร็จจี้หลิงก็เดินกลับไปอย่างเงียบๆ หมิงเวยเฝ้าสังเกตอยู่สองวัน เมื่อเห็นว่าเขาไม่ก่อเรื่องอะไรก็รู้สึกโล่งใจ ที่บอกว่าจะคืนความยุติธรรมให้หมายถึงการให้ตระกูลหมิงยอมรับผิดใช่หรือไม่

ลูกพี่ลูกน้องผู้นี้ศึกษาเล่าเรียนมาหลายปี เป็นบัณฑิตเลือดร้อน ไม่น่าจะก่อเรื่องใหญ่อะไรได้จึงปล่อยเขาไปดีกว่า แต่นางกลับไม่รู้เลยว่าจี้หลิงจับตาดูอย่างเงียบๆ เขาไปร่วมพิธีศพนายท่านหกในฐานะญาติที่เกี่ยวดองกัน ตาคอยจับสังเกตหูรับฟังทุกทิศทาง

ใช้เวลาเพียงสามวันสติปัญญาของเขาก็ค่อยๆ เรียบเรียงข้อมูลที่สืบมาได้

หนึ่ง ความไม่เป็นธรรมที่ท่านอาของเขาได้รับเกรงว่าจะไม่ใช่แค่การถูกขืนใจเพียงครั้งเดียว นายท่านหกเป็นไอ้สารเลวเขาแอบมองหญิงหม้ายมานานแล้ว

สอง เรื่องที่ท่านอาโกรธแค้นจนแขวนคอตาย พวกเขาทั้งตระกูลร่วมใจกันกดดันให้น้องสาวของเขายอมแพ้ในการสืบสวนหาสาเหตุ

สาม นายท่านสองบีบบังคับน้องสาวของเขาในพิธีศพของท่านอาก่อนหน้านี้ โชคดีที่ใต้เท้าเจี่ยงช่วยนางไว้ เมื่อเขาติดต่อกับเพื่อนที่เคยร่วมเรียนที่ทำงานให้กับใต้เท้าเจี่ยง และได้รับข้อมูลเบื้องหลังบางอย่างที่ทำให้จี้หลิงตกใจในตอนแรก จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นความโกรธ

ท่านอาเขยยังไม่ตาย และยังเป็นนักโทษในคดีกบฏของฉีตงจวิ้นอ๋องอีกด้วย!

และเป็นไปได้มากที่ท่านอาไม่ได้แขวนคอตายเอง แต่เพราะนางรู้ว่าตระกูลหมิงเกี่ยวข้องกับการก่อกบฏจึงถูกฆ่าปิดปาก!

จี้หลิงรู้สึกถึงความโกรธแค้นที่พุ่งขึ้นถึงขีดสุด

เมื่อจี้หลิงยังเป็นเด็กเขาถูกปลูกฝังว่าท่านอาเขยเป็นแสงสว่างของบัณฑิตในตงหนิง เขาชื่นชมท่านอาเขยผู้นี้มาโดยตลอด แต่ไม่คาดคิดว่าเขาจะเป็นคนเช่นนี้

ท่านอาเขยชั่ว! นายท่านสามแท้จริงแล้วมีนิสัยที่โฉดชั่วเสมือนหมาป่า ซ้ำยังคิดทำการใหญ่ที่ไร้ศีลธรรมเช่นนี้

ท่านอาช่างน่าสงสารที่เกิดมาเพื่อเป็นเหยื่อ น้องสาวที่น่าสงสาร โง่เขลามาหลายสิบปีกว่าจะหายปกติดีไม่ง่ายเลย กลับต้องมาเผชิญกับความจริงที่น่าอึดอัดใจเช่นนี้

บิดาผู้ให้กำเนิดไม่เพียงต่ำช้าสารเลว แต่ยังต้องโทษร้ายแรงข้อหาก่อกบฏ นี่เป็นความผิดร้ายแรงที่นางต้องพลอยได้รับโทษไปด้วย!

ไม่ได้การเขาต้องรีบกันตัวน้องสาวออกมาก่อนที่เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้น ต้องรีบพานางออกจากตระกูลหมิงโดยด่วน!

………………………

[1] ปากหลายๆ คนย่อมสามารถละลายทองได้ : เสียงของคนจำนวนมากพูดไปพูดมาทำให้เรื่องผิดกลายเป็นถูก เรื่องถูกกลายเป็นผิดได้