EP.136****เจดีย์ทงเทียน
เป็นเวลาเสด็จออกว่าราชการพอดี เหล่าขุนนางยืนเรียงเป็นระเบียบอยู่ในท้องพระโรงตำหนักเจ๋อเทียน องค์จักรพรรดิฉินจิ้นประทับอยู่บนบัลลังก์มังกร พระพักตร์ตึงเครียด พระหัตถ์วางอยู่บนด้ามกระบี่ สีพระพักตร์แย่อย่างที่สุด
หลินมู่อวี่ถูกมัดมือทั้งสองข้าง โดยมีเฟิงจี้สิงควบคุมตัวมาส่งที่พระตำหนักด้วยตัวเอง บนชุดศึกของวิหารศักดิ์สิทธิ์มีเลือดเปรอะเปื้อนอยู่หลายแห่ง มีทั้งเลือดของตัวเองและเลือดของเซี่ยงอวี้ ด้านหลัง ฉินเหลยกับเซี่ยงอวี้ก็เดินเข้ามาพร้อมกัน ฉับพลันนั้นพวกเขาก็ตกเป็นเป้าสายตาของกลุ่มขุนนางที่กำลังตกใจจนปากอ้าตาค้าง
“ว่ามา”
จักรพรรดิฉินจิ้นทอดพระเนตรมองหลินมู่อวี่ด้วยสายพระเนตรที่เย็นเยียบ “ข้าอภัยโทษให้เจ้า และสามัญชนคนธรรมดาอย่างเจ้าได้เข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกขององครักษ์อวี้หลิน เหตุใดเจ้าปฏิบัติหน้าที่วันแรกก็ก่อเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ ทำลายหอเลี้ยงดู ปล่อยหญิงรับใช้ประจำค่ายทหารสองร้อยกว่าคน เจ้ารู้หรือไม่ว่านี่เป็นโทษหนักสถานใด หลินมู่อวี่ เจ้าจะรับผิดหรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ” หลินมู่อวี่ยอมรับผิดอย่างตรงไปตรงมา
“ความผิดของเจ้าอยู่ตรงไหน” องค์จักรพรรดิตรัสถามต่อ
หลินมู่อวี่กราบทูลเสียงเรียบ “ละเมิดกฎกองทัพพ่ะย่ะค่ะ”
“ในเมื่อเจ้ารู้กฎของกองทัพ แล้วเหตุใดถึงปล่อยโสเภณีสองร้อยคนไป” ฉินจิ้นตรัสถาม
หลินมู่อวี่เงยหน้า สายตานั้นดุจน้ำใสบริสุทธิ์ “ทูลฝ่าบาท หญิงรับใช้ค่ายทหารก็เป็นคน และก็เป็นลูกสาวของคนอื่นเช่นกัน พวกนางไม่สมควรจะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ กระหม่อมทราบดีว่าตัวเองละเมิดกฎกองทัพ แต่กระหม่อมไม่คิดว่าตัวเองทำความผิดอะไร เป็นกฎของกองทัพต่างหากที่ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง การชุบเลี้ยงหญิงรับใช้ค่ายทหารสามารถยกระดับอานุภาพการสู้รบของกองทัพแห่งจักรวรรดิได้จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าว่าอะไรนะ”
ฉินจิ้นทรงเลิกพระขนง เผยให้เห็นว่าพระองค์ทรงกำลังกริ้ว
เจิ้งอี้ฝานหัวหน้าของกลุ่มขุนนางที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดก้าวเท้าออกมา พร้อมเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาท หลินมู่อวี่ไม่เห็นกฎระเบียบของกองทัพอยู่ในสายตา ตามหลักแล้วสมควรถูกประหาร กฎระเบียบเรื่องหญิงรับใช้ค่ายทหาร เทพสงครามเซี่ยงเหวินเทียนเป็นผู้บัญญัติขึ้นด้วยตัวเองเมื่อกาลก่อน หลายปีมานี้ภายในกองทัพก็เป็นไปได้ด้วยดี แต่เจ้าเด็กนี่กลับบังอาจเคลือบแคลงสิ่งที่ท่านเซี่ยงเหวินเทียนคิดวางเอาไว้อย่างดี และยังกล้าที่จะยอกย้อนฝ่าบาท ช่างบังอาจนัก!”
ฉินจิ้นตรัสด้วยพระสุรเสียงเรียบเฉย “เสนาบดีเจิ้งกล่าวถูกต้อง หลินมู่อวี่ เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่”
หลินมู่อวี่จิตใจหนักอึ้ง จักรพรรดิพระองค์นี้คิดจะฆ่าเขาจริงๆ หรือ
“กระหม่อมมิมีสิ่งใดจะกล่าวพ่ะย่ะค่ะ”
เขาพูดเสียงเรียบ จะเถียงต่อไม่ได้ คนฉลาดก็ควรจะมีวิธีการที่ฉลาด แทนที่จะโต้เถียงกับจักรพรรดิและถูกฆ่าอยู่ที่นี่ มิสู้กล้ำกลืนความอัปยศอดสูไว้ก่อนจะดีกว่า รอจนถึงเวลาที่แข็งแกร่งมากพอค่อยแก้ไขสิ่งที่ไม่เป็นธรรมทั้งหมดนี้
“ราชเลขาธิการ ความผิดของหลินมู่อวี่มีโทษอย่างไร” จักรพรรดิตรัสถาม
ราชเลขาธิการค่อยๆ ก้าวออกมา พร้อมด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายบนใบหน้า “ฝ่าบาท ความผิดนี้มีโทษประหารชีวิต ตามหลักแล้วควรขับออกจากพระตำหนักเจ๋อเทียนทันทีแล้วตัดหัวเสียบประจาน มิให้เอาเป็นเยี่ยงอย่างพ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ” ฉินจิ้นทรงลังเล แต่ก็ไม่ได้ตรัสอะไรออกมา
เฟิงจี้สิงรีบประสานหมัดกราบทูลว่า “ฝ่าบาท หลินมู่อวี่เพียงไม่เข้าใจกฎระเบียบของกองทัพ และยังเป็นการละเมิดกฎครั้งแรก ยิ่งไปกว่านั้นความจงรักภักดีที่เขามีต่อตระกูลฉินนั้นมิเคยเปลี่ยนแปลง กระหม่อมเห็นว่าเขามิสมควรได้รับโทษถึงประหารชีวิตพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินเหลยก็ประสานหมัดกราบทูลเช่นกันว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมก็เห็นว่าหลินมู่อวี่ไม่สมควรต้องโทษประหาร ขอฝ่าบาทได้โปรดทรงพิจารณา ตอนนี้จักรวรรดิต้องการผู้มีความสามารถ หลินมู่อวี่มีความสามารถทั้งบุ๋นและบู๊ มิอาจประหารพ่ะย่ะค่ะ!”
เจิ้งอี้ฝานหัวเราะเย้ยหยัน “จักรวรรดิต้าฉินของเรายังต้องการคนไม่เป็นโล้เป็นพายมาช่วยค้ำชูจักรวรรดิหรืออย่างไร ฝ่าบาท กระหม่อมเห็นว่าสมควรประหารหลินมู่อวี่ทันที มิเช่นนั้นทุกคนก็จะกล้าขัดขืนกฎระเบียบ และเกรงว่ากองทัพแห่งจักรวรรดิก็คงจะต้องแพ้ภัยตัวเองพ่ะย่ะค่ะ”
ราชเลขาธิการหลัวซิ่งประสานมือกราบทูล “กระหม่อมก็เห็นด้วยว่าต้องประหารชีวิตพ่ะย่ะค่ะ!”
หลัวปิน บุตรชายของหลัวซิ่งคือผู้ดูแลสมาพันธ์โอสถ และเคยถูกหลินมู่อวี่ทำร้ายจนบาดเจ็บ ดูท่าก้อนหินที่เขาขว้างออกไปก่อนหน้า ในที่สุดก็กลับมาถูกหัวตัวเองเข้าจนได้
สีพระพักตร์ของฉินจิ้นเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เห็นได้ชัดว่าทรงไม่คิดจะฆ่าอัจฉริยะหลินมู่อวี่ผู้นี้ แต่เจิ้งอี้ฝานกับหลัวซิ่งนั้นกำลังกดดันพระองค์อยู่ หากไม่ฆ่าหลินมู่อวี่ เหล่าขุนนางจะต้องเกิดความคิดต่อต้านขึ้นภายในใจอย่างแน่นอน ในชั่วขณะนั้นจึงทรงตัดสินพระทัยไม่ถูก
ในตอนนี้เอง จู่ๆ ก็มีเสียงดังมาจากด้านนอก “ผู้ดูแลอาวุโสของวิหารศักดิ์สิทธิ์ เหลยหง ขอเข้าเฝ้า!”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง เหลยหงก็เข้ามาด้านในท้องพระโรงด้วยท่าทีที่ดูเหน็ดเหนื่อย เขาสะบัดแขนเสื้อขึ้น ประสานมือคำนับกราบทูลว่า “กระหม่อมเหลยหงคารวะฝ่าบาท!”
“ผู้อาวุโสเหลย ลุกขึ้นเถอะ!”
ฉินจิ้นทรงลุกขึ้นยืน และตรัสด้วยความเกรงพระทัยเป็นอย่างยิ่ง เห็นได้ถึงความไว้วางพระทัยที่พระองค์มีต่อเหลยหง “ผู้อาวุโสเหลย การที่ท่านมาตำหนักเจ๋อเทียนในครั้งนี้ คงเพราะเรื่องของหลินมู่อวี่กระมัง”
เหลยหงพยักหน้ากราบทูลว่า “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมาขอพระราชทานพระเมตตาให้แก่หลินมู่อวี่”
ฉินจิ้นตรัสขึ้น “เหล่าขุนนางขอร้องให้ข้าประหารหลินมู่อวี่ แต่ผู้อาวุโสเหลยกลับขอร้องให้ข้าไว้ชีวิตเขา แล้วจะให้ข้าทำอย่างไร”
เหลยหงแววตาเร่าร้อน “ฝ่าบาท เรื่องที่หลินมู่อวี่กระทำผิด ก็เพียงแค่ทำการปล่อยหญิงรับใช้ค่ายทหารสองร้อยกว่าคนไปเท่านั้น การช่วยชีวิตผู้หญิงสองร้อยคนจะมีโทษอันใดเล่า ฝ่าบาท จักรวรรดิเจริญรุ่งเรืองมาหลายพันปี มีผู้หญิงที่ต้องตายในค่ายทหารไปมากน้อยเท่าใด พวกนางก็เป็นลูกมีพ่อมีแม่ เป็นคนเหมือนกันกับเรา กระหม่อมขอถามความเป็นธรรมกับสวรรค์ เรื่องหญิงรับใช้ค่ายทหาร ความยุติธรรมอยู่ที่ใด ความเสมอภาคอยู่ใด ฝ่าบาทเป็นผู้มีคุณธรรมครองใจผู้คน เมตตาถ้วนทั่วทุกหัวระแหง หรือฝ่าบาทมิเคยคลางแคลงถึงการมีอยู่ของหญิงรับใช้ในค่ายทหารเลย ว่ามันถูกทำนองคลองธรรมหรือไม่”
“ผู้อาวุโสเหลย นี่ท่าน…”
ฉินจิ้นทรงตกตะลึงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าพลังวาจาของเหลยหงนั้นหลินมู่อวี่เทียบไม่ติด หากแม้แต่เหลยหงก็ยังคลางแคลงเรื่องหญิงรับใช้ค่ายทหาร เช่นนั้นฉินจิ้นก็จำต้องพิจารณาให้ถ้วนถี่
เหลยหงกราบทูลด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ฝ่าบาท โปรดพระราชทานอภัยโทษที่กระหม่อมกล่าวอย่างตรงไปตรงมา ในบรรดาหญิงรับใช้เหล่านั้นจำนวนมากยังเป็นหญิงสาว ซึ่งมีอายุใกล้เคียงกับองค์หญิงอิน ทูลถามฝ่าบาท หากองค์หญิงอินต้องตกเป็นหญิงรับใช้ค่ายทหาร ฝ่าบาทในฐานะที่เป็นพระราชบิดาจะทรงคิดทำอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ พระองค์จะกระทำอย่างหลินมู่อวี่ที่เข้าไปช่วยเหลือหญิงรับใช้เหล่านั้นหรือไม่ จากที่กระหม่อมดูแล้ว หลินมู่อวี่เพียงแค่กระทำในสิ่งที่ผู้อื่นมิกล้าที่จะกระทำ มิได้ต้องการจะท้าทายพระราชอำนาจหรือกฎของกองทัพแต่อย่างใดเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินจิ้นประทับลงอย่างเงียบๆ
เจิ้งอี้ฝานกลับยิ้มหยันแล้วกล่าวขึ้น “ผู้ดูแลอาวุโสกล่าวหนักเกินไปแล้ว กุศโลบายเรื่องหญิงรับใช้ค่ายทหารนั้น เป็นเรื่องที่เทพสงครามเซี่ยงเหวินเทียนในปฐมจักรพรรดิฉินอี้บัญญัติขึ้นมาด้วยตัวเอง เหล่าทหารทำศึกสงครามตั้งแต่เหนือจรดใต้ ล้วนต้องอาศัยความกล้าหาญฮึกเหิม พวกเขาต้องตะลอนอยู่ข้างนอกเป็นเวลาหลายปี ไม่เคยได้พบเจออิสตรี บุกป่าฝ่าดงเพื่อจักรวรรดิโดยไม่คำนึงถึงชีวิต หรือหลังจากที่ได้รับชัยชนะแล้วเราไม่ควรให้รางวัลที่พวกเขาต้องการกันหรือ มันเป็นสัญชาตญาณทางเพศ ไม่มอบหญิงรับใช้ให้แก่พวกเขา หรือจะยอมให้ทหารของเราไปกระทำอะไรกับผู้หญิงดีๆ เช่นนั้นหรือ”
เหลยหงกล่าวเสียงเรียบว่า “หญิงรับใช้ค่ายทหารนั้นเดิมทีก็เป็นสิ่งที่บิดเบี้ยวของความเป็นมนุษย์อยู่แล้ว มิมีผู้หญิงคนใดยินยอมที่จะเป็นหญิงรับใช้ค่ายทหารหรอก อีกอย่าง หญิงรับใช้ในกองทัพของจักรวรรดิส่วนใหญ่ก็ล้วนถูกบีบบังคับให้เป็น ฝ่าบาทเป็นผู้มีพระเมตตาไปทั่วสารทิศ แล้วเหตุใดจึงไม่พระราชทานความช่วยเหลือให้แก่หญิงสาวที่น่าสงสารเหล่านี้เล่า”
ราชเลขาธิการหลัวซิ่งแค่นหัวเราะ “ผู้ดูแลอาวุโสกล่าวง่ายดายยิ่งนัก หากยกเลิกหญิงรับใช้ค่ายทหาร เกรงว่าทหารในค่ายคงวุ่นวายปั่นป่วนกันน่าดู ถึงตอนนั้นหากเกิดกบฎขึ้นในกองทัพ ผู้ดูแลอาวุโสจะรับผิดชอบกับเรื่องนี้หรือไม่”
เหลยหงพูดด้วยเสียงดังเฉียบขาด “กองทัพที่ไม่มีผู้หญิงจะทำให้เกิดการกบฎ หากเป็นเช่นนี้ การล่มสลายของจักรวรรดิก็คงอยู่เบื้องหน้านี่แล้ว!”
“เหลยหง พูดจาให้รู้จักที่ต่ำที่สูงเสียบ้าง” ราชเลขาธิการตวาด “อย่าคิดว่าเจ้าเป็นขุนนางสามแผ่นดินแล้วจะสามารถจาบจ้วงเช่นนี้ได้ องค์จักรพรรดิอยู่เหนือสุด ทุกสิ่งที่นี่มีพระองค์เป็นผู้ทรงตัดสิน มิใช่เจ้า!”
เหลยหงยิ้มจางๆ “ราชเลขาธิการ ท่านกล่าวหนักเกินไปแล้ว…”
ตอนนี้เอง พระสุรเสียงของจักรพรรดิฉินจิ้นก็ดังขึ้น “ท่านทั้งสาม เลิกโต้เถียงกันได้แล้ว”
บรรดาขุนนางทยอยกันมองไปทางองค์จักรพรรดิ ราชเลขาธิการหลัวซิ่งกราบทูลด้วยความเคารพ “มิทราบว่าฝ่าบาทจะทรงวินิจฉัยอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินจิ้นพยักพระพักตร์ ก่อนตรัสขึ้น “เห็นแก่หลินมู่อวี่ที่กระทำความผิดเป็นครั้งแรก และเคยช่วยชีวิตเสี่ยวอินที่ป่าล่ามังกร ดังนั้นจึงละเว้นโทษตาย ทว่าโทษตายละเว้นได้ แต่โทษเป็นมิอาจหลบเลี่ยง เสนาบดีเจิ้ง ท่านคิดโทษทางวินัยที่เหมาะสมให้แก่หลินมู่อวี่ก็แล้วกัน”
เจิ้งอี้ฝานกราบทูล “เช่นนั้น…ส่งเขาเข้าไปในเจดีย์ทงเทียนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“เจดีย์ทงเทียน?”
เหลยหงสั่นเทาไปทั้งตัว สายตาดุดันขึ้นมาทันที น้ำเสียงโมโห “เจิ้งอี้ฝาน ทำไมเจ้าไม่เข้าไปในเจดีย์ทงเทียนเองเล่า ฝ่าบาททรงละเว้นโทษตายให้หลินมู่อวี่แล้ว เจ้าส่งเขาไปยังเจดีย์ทงเทียน สุดท้ายก็ตายเหมือนกันมิใช่หรือ!”
เจิ้งอี้ฝานกล่าว “เช่นนั้นก็อยู่ที่ความสามารถของเขาแล้ว อีกอย่างเจ็ดปีแล้วที่มิได้ส่งผู้ใดเข้าไปในเจดีย์ทงเทียน ใครจะรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นภายในนั้น ขอเพียงหลินมู่อวี่มีชีวิตรอดอยู่ภายในเจดีย์เป็นเวลาหนึ่งเดือน เช่นนั้นก็ทรงอภัยโทษให้แก่เขา ไม่ทราบฝ่าบาททรงคิดเห็นว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินจิ้นพยักพระพักตร์ “ข้าอนุญาต ทำตามที่เสนาบดีเจิ้งกล่าว ส่งหลินมู่อวี่เข้าไปยังเจดีย์ทงเทียน หากเขาสามารถอยู่รอดได้ถึงหนึ่งเดือน ข้าจะคืนตำแหน่งองครักษ์อวี้หลินให้ดังเดิม”
เฟิงจี้สิงรีบประสานหมัดกราบทูล “ฝ่าบาททรงใคร่ครวญด้วยเถอะพ่ะย่ะค่ะ ในเจดีย์ทงเทียนมีปีศาจอาละวาด คนธรรมดาไหนเลยจะอยู่ในนั้นได้ถึงหนึ่งเดือน ฝ่าบาท…ได้โปรดละเว้นอาอวี่เถอะพ่ะย่ะค่ะ!”
ฉินจิ้นตรัสด้วยพระสุรเสียงเรียบเฉย “ข้าตัดสินใจแล้ว ผู้บัญชาการเฟิงมิต้องกล่าวให้มากความ ทหาร ส่งหลินมู่อวี่ไปยังเจดีย์ทงเทียน สามวันส่งน้ำและอาหารให้หนึ่งครั้ง นอกจากนี้ กองกำลังรักษาพระองค์ กองกำลังอวี้หลิน และค่ายสารวัตรทหาร จะต้องส่งคนหนึ่งร้อยคนไปคุ้มกันที่ด้านล่างของเจดีย์ หากหลินมู่อวี่เจ้าดวงแข็งจริงๆ ละก็ ย่อมต้องมีชีวิตกลับมาหาข้าอย่างแน่นอน”
หลินมู่อวี่เงยหน้าขึ้นมองจักรพรรดิที่ชราภาพแล้วผู้นี้ พลางกราบทูลว่า “ฝ่าบาท ถึงแม้กระหม่อมจะไม่ทราบว่าเจดีย์ทงเทียนเป็นสถานที่เช่นไร แต่หากกระหม่อมมีชีวิตกลับมา พระองค์จะทรงยินยอมพิจารณายกเลิกหญิงรับใช้ค่ายทหารหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฉินจิ้นทรงตกตะลึงเล็กน้อย พระสุรเสียงแผ่วเบายิ่ง “ให้เจ้ามีชีวิตรอดออกมาก่อนค่อยพูดเถอะ! ทหาร คุมตัวเขาไปเจดีย์ทงเทียน”
ทหารแห่งพระตำหนักเจ๋อเทียนสองสามนายก้าวออกมา จับแขนหลินมู่อวี่ไพล่หลังแล้วพาเดินออกไปนอกพระตำหนัก ส่วนเฟิงจี้สิง ฉินเหลย และเหลยหง ก็ตามออกมา เฟิงจี้สิงใบหน้าซีดเผือด กล่าวขึ้น “คราวนี้แย่แล้ว…คราวนี้แย่แล้ว…”
“พี่เฟิง เจดีย์ทงเทียนเป็นสถานที่อะไรกันแน่” หลินมู่อวี่ถาม
เฟิงจี้สิงกัดฟันกรอด “เจดีย์ทงเทียนเป็นเจดีย์ที่สูงลิ่วจนมองไม่เห็นยอด ถูกทิ้งร้างอยู่ทางตอนเหนือของเมืองหลวง ตามตำนานเล่าว่าในเจดีย์นั้นมีตัวประหลาดจำนวนมากซ่อนตัวอยู่ ผู้ที่เข้าไปแล้วไม่มีทางที่จะมีชีวิตกลับออกมา นักรบของจักรวรรดิที่กระทำผิดร้ายแรงล้วนถูกส่งเข้าไปในเจดีย์ทงเทียน แต่ก็ไม่มีผู้ใดมีชีวิตรอดกลับออกมาได้แม้แต่คนเดียว ว่ากันว่ามีคนเข้าไปแล้วเห็นแต่กระดูกขาวกองอยู่เต็ม”
หลินมู่อวี่เงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น “บางทีข้าอาจจะดวงแข็งก็ได้”
เหลยหงกล่าวว่า “เจ้าเด็กโง่ ถึงเจ้าจะดวงแข็งเพียงใดก็ไม่มีทางมีชีวิตรอดออกมาจากเจดีย์ทงเทียนหรอก ตอนนั้นมียอดฝีมือขอบเขตปราชญ์สองคนเข้าไปในเจดีย์ สุดท้ายศพของพวกเขาก็ถูกค้นพบ เจ้ายังคิดว่าตัวเองจะดวงแข็งหรือไม่เล่า”
ฉินเหลยยื่นกระบี่เหลียวหยวนส่งให้หลินมู่อวี่ แล้วกล่าวว่า “น้องชาย เจ้าจะต้องมีชีวิตรอดกลับมานะ!”
หลินมู่อวี่มองเฟิงจี้สิงกับฉินเหลย อดที่จะทอดถอนใจมิได้ พูดขึ้น “หากข้ารอดกลับออกมาไม่ได้จริงๆ พวกเราคงต้องเป็นพี่น้องกันในชาติหน้าแล้ว”
เฟิงจี้สิงขอบตาแดงก่ำ เขาหันกลับไป “ไม่ เจ้าจะมีชีวิตรอดกลับมา”