EP.137****เจดีย์ขังปีศาจ
ห่างออกไปทางทิศเหนือของเมืองหลันเยี่ยนประมาณสี่ห้าลี้ ติดกับเมืองหลวง สถานที่ที่ควรจะเจริญรุ่งเรืองแต่กลับกลายเป็นป่ารกร้างผืนหนึ่ง แต่บริเวณรอบนอกถึงขั้นมีทหารรักษาพระองค์บางส่วนคอยเฝ้าคุ้มกัน ทุกๆ ร้อยเมตรมีทหารกลุ่มเล็กๆ จำนวนห้าคนยืมเวรยามอยู่
เฟิงจี้สิง ฉินเหลยและเหลยหงคุ้มกันหลินมู่อวี่เข้าไปป่าด้านใน ส่วนเซียงอวี้นำทหารม้าค่ายสารวัตรทหารตามติดอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล หน้าที่ของเขาคือเห็นหลินมู่อวี่ถูกส่งเข้าไปในหอทงเทียนด้วยตาตนเอง
ยิ่งเดินยิ่งลึก บนท้องฟ้าปรากฏเส้นอัสนีบาตสีแดงดั่งโลหิตเชื่อมเข้ากับผืนดิน เจดีย์โบราณหลังหนึ่งที่มีความสูงทะลุขึ้นไปถึงท้องฟ้า นับได้ไม่หมดว่ามีกี่ชั้นกันแน่ ยอดเจดีย์แทงอยู่ในเมฆสีดำที่หมุนวนเหมือนน้ำวน คล้ายกับปากกว้างของสัตว์ยักษ์ที่อยู่กลางอากาศ ที่ดูเหมือนจะกลืนกินเจดีย์ทงเทียนเข้าไปได้ทุกเวลา
รอบเมฆที่หมุนวนมีฟ้าแลบอย่างต่อเนื่อง พร้อมพายุที่พัดมาเป็นระลอกบริเวณพื้นดินโดยรอบ คงไม่มีใครคิดว่าใกล้เมืองหลวงหลันเยี่ยนนี้จะมีสถานที่ที่มีทัศนียภาพแปลกประหลาดพิสดารเช่นนี้อยู่
หลินมู่อวี่เงยหน้าขึ้นมอง อดที่จะรู้สึกหวาดกลัวขึ้นไม่ได้ เขาเป็นแค่คนธรรมดา เมื่อเผชิญหน้ากับอำนาจฟ้าเช่นนี้จะไม่ให้หวาดกลัวได้อย่างไร
เฟิงจี้สิงจับบังเหียน เงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วกล่าว “ว่ากันว่าเจดีย์ทงเทียนเป็นปากทางเข้าสู่อีกมิติ ทว่าตั้งแต่อดีตจนถึงตอนนี้ยังไม่มีผู้ใดเคยเข้าไป มันจึงตั้งตระหง่านเดียวดายอยู่ที่นี่นับหมื่นปี ขนาดผู้ที่มีขอบเขตพลังเทวะก็ไม่ยินดีที่จะเข้าไปในเจดีย์ทงเทียน อาอวี่ เจ้าเข้าไปแล้วต้องระวังตัวด้วย พยายามอยู่ที่ชั้นหนึ่งอย่าขึ้นไปชั้นบน ด้วยพลังของเจ้าบางทีอาจจะอยู่รอดได้หนึ่งเดือน!”
“อืม ข้าทราบแล้ว”
หลินมู่อวี่บังคับม้าไปข้างหน้าช้าๆ ทันใดนั้นรู้สึกถึงลมเย็นพัดเข้ามา พัดจนชุดศึกของเขาปลิวสะบัด ม้าส่งเสียงร้องฮี้และยกขาหน้าขึ้น เขารีบจับสายบังเหียนและหนีบตัวม้าไว้แน่น ถึงได้ไม่ตกลงมา ด้วยสัญชาตญาณของสัตว์เดรัจฉาน ขนาดม้ายังหวาดกลัวถึงเพียงนี้ ในเจดีย์ทงเทียนต้องมีบางสิ่งที่ชั่วร้ายมากอย่างแน่นอน
เหลยหงกล่าว “อาอวี่ เจ้าต้องระวังตัวด้วย”
“ทราบแล้วขอรับ ท่านปู่เหลยหง” หลินมู่อวี่ยิ้มเป็นประกาย ตบหน้าอกตรงสัญลักษณ์ของวิหารศักดิ์สิทธิ์โดนโจมตีจนแตก “ข้ายังต้องกลับวิหารศักดิ์สิทธิ์ทำหน้าที่ผู้ช่วยฝึกดาวทองอยู่อีกครั้งนะขอรับ ไม่งั้นจื่อหลิงกับพวกผู้ช่วยฝึกคงได้ถูกรังแกจนน่วมแน่”
เหลยหงเผลอยิ้มออกมา แสบจมูกนิดหน่อย พูดขึ้น “เช่นนั้นปู่จะรอเจ้ากลับมาที่วิหารศักดิ์ศิทธิ์นะ!”
“คำไหนคำนั้นขอรับ!”
ฉินเหลยถือดาบอัสนีทลายมาที่ด้านล่างของเจดีย์ ออกคำสั่ง “เปิดประตู”
ทันใดนั้นทหารอวี้หลินสองนายสีหน้าหวาดกลัวยกมือผลักประตูเหล็กหนักๆ ที่ปิดอยู่ออก ประตูเหล็กมีรอยสนิมและเต็มไปด้วยเถาวัลย์ที่เลื้อยขึ้นมาเกาะเต็ม นึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะออกแรงดึงแล้วก็เปิดประตูไม่ออก ฉินเหลยขมวดคิ้ว เดินขึ้นไปแล้วยกมือจับที่จับประตู เขาคำรามออกมาแล้วดึงประตูเหล็กออก ทันใดนั้นลมหนาวพัดพาเสียงร้องแหลมพุ่งเข้าใส่ใบหน้าของผู้บัญชาการทหารองครักษ์อวี้หลินผู้นี้
“วิ้ง!”
โซ่เทวะปรากฏออกมา ประกายแสงสีทองขับไล่เมฆหมอกพวกนี้ออกไป โซ่เทวะคือวิญญาณยุทธ์มังกรแท้อันดับหนึ่ง เป็นวิญญาณยุทธ์หมวดแสงสว่างที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า โซ่สีทองสามเส้นหมุนวนล้อมตัวฉินเหลย คุ้มครองเขาไม่ให้ได้รับอันตราย ส่วนทหารอวี้หลินสองนายนั้นล้มลุกคลุกคลานวิ่งออกไป ฉินเหลยขมวดคิ้วพูด “เจ้าพวกไม่เอาไหน…”
เฟิงจี้สิงคุ้มกันหลินมู่อวี่มาถึงด้านล่างของเจดีย์ กล่าว “อาอวี่ เจ้าต้องระวังตัวด้วย”
“อื้ม!”
หลินมู่อวี่มองสภาพด้านในเจดีย์ที่มืดสนิท หายใจเข้าลึกๆ กระชับกระบี่เหลียวหยวนไว้แน่น หลังจากนั้นก็ยิ้มกับฉินเหลย “พี่ฉินเหลย งั้นข้าเข้าไปแล้วนะ”
ฉินเหลยหวั่นไหวขึ้นมา สีหน้าอาลัยอาวรณ์ พูดเสียงสั่น “อาอวี่ เจ้าต้องจำเอาไว้ พวกเรายังรอเจ้าไปเอาคืนเซียงอวี้เจ้าระยำด้วยกันอยู่นะ…”
ไม่ไกลออกไป สีหน้าของเซียงอวี้หม่นลง ผู้ดูแลอาวุโสวิหารศักดิ์สิทธิ์เหลยหงก็อยู่ที่นี่ เซียงอวี้ก็ไม่กล้าที่จะบุ่มบ่าม อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าเขาจะแข็งแกร่งก็ยังไม่อาจเป็นคู่มือของเหลยหง
“แซ่ก แซ่ก…”
หลินมู่อวี่ยกเท้าขึ้นเหยียบไปบนขั้นบันไดที่เต็มไปด้วยหญ้าและฝุ่น เขาก้าวขึ้นไปทีละขั้น แล้วก็ไม่หันกลับมามองอีก ด้านหลังมีเสียงห่วงใยของเฟิงจี้สิงดังมา “อาอวี่ ร่างกายของเจ้ายังบาดเจ็บ ตอนกลางวันอยู่ที่ชั้นหนึ่งรักษาอาการบาดเจ็บก็พอ อย่าได้ขึ้นไปชั้นสองเชียวนะ”
“ตึง!”
หลินมู่อวี่ดึงประตูเหล็กปิด ทันใดนั้นทุกอย่างก็มืดลง กำแพงด้านในเจดีย์มีแสงแดดลอดเข้ามา ยังดีที่ไม่ถึงกับมืดสนิท ประตูเหล็กด้านนอกมีเสียงคล้องโซ่ดังขึ้น ภายในหนึ่งเดือนนี้ตนเองออกไปไม่ได้แล้ว
“แกร๊ก” ช่องประตูเล็กๆ บนประตูเหล็กถูกเปิดออก ทหารรักษาพระองค์นายหนึ่งนำอาหารและน้ำส่งเข้ามา ล้วนเป็นอาหารแห้งปริมาณพอสำหรับสามวัน
เสียงฝีเท้าห่างออกไป ทุกคนคงจากไปหมดแล้ว
……
ตอนนี้เองหลินมู่อวี่ถึงมีเวลามองไปรอบตัว ผนังหินของเจดีย์ทงเทียนขมุกขมัว บนผนังมีตัวอักษรที่เขาอ่านไม่ออกสลักไว้ แต่น่าจะเป็นอักษรรูปภาพ ภายในชั้นที่หนึ่งของเจดีย์นั้นว่างเปล่า มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณหนึ่งร้อยเมตร กว้างขวางมาก ไม่มีข้าวของใดๆ วางอยู่เลยแม้แต่ชิ้นเดียว โล่งว่างเปล่าอยู่แบบนั้น
ทักษะชีพจรวิญญาณแผ่ขยายออกไปเอง ฌาณสัมผัสแผ่คลื่นออกไปช้าๆ
หลินมู่อวี่นั่งขัดสมาธิ ค่อยๆ ปรับลมหายใจรักษาอาการบาดเจ็บ ขณะเดียวกันก็แผ่ฌาณสัมผัสขึ้นไปยังชั้นที่สอง ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ถึงกระแสพลังแข็งแกร่งสามสาย พลังทั้งสามสายนี้เดี๋ยวแข็งแกร่งเดี๋ยวอ่อนแอ คล้ายกับเคลื่อนไหวเตรียมโจมตี
เขาหลับตาลง จะต้องฟื้นฟูเรี่ยวแรงให้เร็วที่สุด ดูเหมือนพลังที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรเหล่านั้นไม่คิดจะ “กำจัด” เขาในช่วงที่ฟ้าสว่าง แต่ถ้าถึงตอนกลางคืนก็พูดยาก
เปิดห่อผ้าที่เฟิงจี้สิงเตรียมให้ ในนั้นมีน้ำมันอยู่ไม่น้อย หลินมู่อวี่อดยิ้มออกมาไม่ได้ ยังคงเป็นเฟิงจี้สิงที่ค่อนข้างละเอียดรอบคอบ แบบนี้คืนนี้ตัวเขาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องแสงสว่างแล้ว
หลังจากโคจรทักษะหลอมกระดูกมังกรเจ็ดสิบสองรอบแล้ว ทั้งร่างรู้สึกสบาย ชีพจรไหลเวียนดี อาการบาดเจ็บก็หายดีแล้ว และวิญญาณยุทธ์น้ำเต้าดูดซับไอวิญญาณโดยรอบอย่างบ้าคลั่งเพื่อทดแทนปราณยุทธ์ที่ตัวเขาเสียไป หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงเขาก็ฟื้นฟูกลับมาอยู่ในสภาพสมบูรณ์สูงสุดอีกครั้ง
เขาหันหลังมองออกไปยังที่ไกลๆ แสงอาทิตย์ยามเย็นนั้นอยู่ระดับเดียวกับน้ำ พระอาทิตย์ตกแล้ว
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง บริเวณโดยรอบเงียบสงัดไร้เสียง เสียงเดียวที่ได้ยินคือเสียงฝีเท้าม้าจากที่ไกลๆ ทหารรักษาพระองค์และทหารอวี้หลินต้องเว้นระยะห่างจากเจดีย์ทงเทียนหนึ่งลี้ และในช่วงกลางคืนดูเหมือนพวกเขาจะไม่กล้าเข้ามาใกล้เจดีย์ทงเทียน
หลังจากนั้นไม่นาน ด้านนอกก็มีพายุและฟ้าคะนอง ท้องฟ้ามีฟ้าแลบ เมฆดำหมุนวนนั้นคล้ายกำลังบ้าคลั่ง มันก่อตัวเป็นพายุหมุนขนาดยักษ์หมุนวนอยู่เหนือเจดีย์ทงเทียน
หลินมู่อวี่มองไม่เห็นด้านนอกว่าสภาพเป็นอย่างไร แต่รู้ว่าท้องฟ้ายามราตรีของที่นี่แปลกประหลาดจริงๆ
เขาลุกขึ้นยืน จุดคบเพลิงแขวนไว้ที่ผนัง จากนั้นจึงทานอาหารแห้ง
หลังจากนั้นไม่นาน ท้องฟ้าก็มืดลง ม่านราตรีย่างกรายเข้ามาแล้ว
ด้วยการรับรู้ของทักษะชีพจรวิญญาณ กระแสพลังที่ชั้นสองนั้นกระสับกระส่ายไม่สงบนิ่งแล้ว หลินมู่อวี่เองก็จับด้ามกระบี่เหลียวหยวนเอาไว้โดยไม่รู้ตัว กระบี่เล่มนี้เป็นที่พึ่งเพียงอย่างเดียวของตนแล้ว
“แซ่ก แซ่ก…”
บนบันไดมีเสียงเล็กๆ แผ่วเบาดังมา มือสองข้างของเขารีบจับดาบด้วยความระแวดระวัง วิญญาณยุทธ์ค่อยๆ ปรากฏขึ้น
“เจี๊ยกๆ!”
เสียงคำรามดังขึ้น เงาสีดำกระโดดพุ่งมาจากชั้นสองที่สูงหลายเมตร กรงเล็บแหวกอากาศตรงเข้าใส่ต้นคอของหลินมู่อวี่ คิดจะสังหารเขาทันที!
หลินมู่อวี่ที่เตรียมตัวอยู่ก่อนแล้วนั้น ใช้ฝีเท้าดาวตกหลบการโจมตีไปได้ ขณะเดียวกันกระบี่เหลียวหยวนก็ฟันฉัวะเข้าใส่ด้านหลังของอีกฝ่าย “เปรี้ยง” เสียงดังขึ้นพร้อมมีประกายไฟออกมา อีกฝ่ายร้องโหยหวน “กี้ด กี้ด” และกระแทกเข้ากับกำแพง แต่ก็ลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ในตอนนี้เองหลินมู่อวี่ถึงได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของมัน
เป็นลิงตัวหนึ่ง แต่กลับไม่ใช่ลิงธรรมดา แต่เป็นลิงที่มีผิวเป็นหินหนาๆ มันคือวานรหิน ดวงตามันเป็นสีแดง บนหัวของมันมีเส้นทองสี่เส้น เห็นได้ชัดว่ามันเป็นสัตว์วิญญาณอายุสี่ฟันปี นัยน์ตาสีแดงมีความดุร้าย ทันใดนั้นมันก็กระโดดเข้ามาโจมตีอีกครั้ง
“เจี๊ยกๆ!”
ครั้งนี้กรงเล็บของมันปรากฏประกายไฟขึ้น เปลวเพลิงกระเพื่อมอยู่บนกรงเล็บของมัน
หลินมู่อวี่รู้ความร้ายกาจของมัน ยกมือซ้ายขึ้นมาเบาๆ เรียกกำแพงน้ำเต้าออกมา กระดองเต่าทมิฬบวกกับปราการเกล็ดมังกรก็ก่อตัวขึ้นสำเร็จแล้ว ปราณยุทธ์พลันพุ่งออกมา โจมตีด้วยหมัดเสียงปีศาจแหวกอากาศออกไป “เปรี้ยง” นึกไม่ถึงว่าหมัดเสียงปีศาจจะทำอะไรผิวศิลาของมันไม่ได้ แต่กลับเป็นกรงเล็บของมันที่ข่วนกระดองเต่าทมิฬจนเป็นรูขนาดใหญ่ เปลวเพลิงสลายไป แต่เขามีพลังฟื้นฟูทำให้ฟื้นฟูสภาพได้อย่างรวดเร็ว
“เฮือก…”
หลินมู่อวี่รู้สึกกลัดกลุ้ม ถอยหลังอย่างรวดเร็ว สายตาคมกริบเห็นทุกสิ่งชัดเจน ทันใดนั้นเขากระทืบเท้า เปล่งเสียงเรียกเถาวัลย์น้ำเต้าให้ออกไปรัดการเคลื่อนไหวของวานรหินอย่างรวดเร็ว โอกาสที่หายากแบบนี้จะพลาดได้อย่างไร ฝ่ามือของหลินมู่อวี่มีแก่นเพลิงมังกรไหลวนอย่างรวดเร็ว กระบี่เหลียวหยวนหวีดร้องอยู่กลางอากาศ โจมตีศัตรูด้วยเกลียวเพลิงมังกรคลั่ง
และในเวลาเดียวกันนี้ ด้านหลังก็รู้สึกเย็นวูบขึ้นมา
ยังมีวานรหินอีกตัว!
ในความมืดมีประกายสีแดงสองสายพุ่งออกมา เป็นวานรหินอีกสองตัวจู่โจมเข้ามา
หลินมู่อวี่หันกลับไปอย่างรวดเร็ว กางฝ่ามือออก ทันใดนั้นดอกน้ำเต้าปรากฏออกมา และพ่นพิษออกไปอย่างเร็ว วานรหินสองตัวนั้นมีสัญชาตญาณ รู้ความร้ายกาจของพิษเหลว รีบหมุนตัวหลบกลางอากาศ แต่ด้านหลังกลับมีเลือดไหลและเสียงร้องโหยหวนของวานรหิน วานรหินตัวแรกถูกแก่นเพลิงมังกรของกระบี่เหลียวหยวนกำจัดไปแล้ว
“หมับ!”
หลินมู่อวี่คว้าด้ามกระบี่เอาไว้ พุ่งตัวเข้าไปฟันวานรหินตัวที่สองจนกระเด็นออกไป แต่ด้านหลังเขากลับเย็นวูบ ไหล่ได้รับบาดเจ็บ วานรหินตัวที่สามหลบหลีกการป้องกันของกระดองเต่าทมิฬอย่างชาญฉลาด โจมตีตรงเข้าที่ด้านหลังของเขา โชคดีที่หลังจากฝึกวิชาก่อชั้นผิวกระดูกเหล็กผิวเหล็ก จึงได้รับบาดเจ็บไม่หนักมาก
หันกลับไปไม่ทันแล้ว หลินมู่อวี่กัดฟัน กำปั้นซ้ายถูกหุ้มด้วยพลังสีเลือด ทักษะชีพจรวิญญาณจับตำแหน่งของวานรหินตัวที่สาม เขาหันกลับไปแล้วปล่อยหมัดโจมตีเข้าใส่!
หนึ่งประทีปพิฆาตชีวัน!
“เปรี้ยง!”
ท่ามกลางเสียงร้องครวญครางและโหยหวนนั้น วานรหินตัวนั้นถูกอัดเข้าไปในกำแพงของเจดีย์ แต่ดูเหมือนผนังของเจดีย์ทงเทียนนั้นแข็งแกร่งมาก ผิวหนังด้านนอกของวานรหินแตกเป็นชิ้นๆ แต่บนผนังหินกลับไม่มีรอยแตกแม้แต่รอยเดียว
หลินมู่อวี่เล็งจังหวะเหมาะ ยกมือขึ้นใช้อัสนีควบคุมกระบี่เหลียวหยวนให้บินออกไป วินาทีต่อมาคอของวานรหินตัวที่สามก็ถูกแทงทะลุ หลังจากผิวศิลาของมันถูกทำลาย พลังการป้องกันของมันก็เปราะบางลงมาก ด้วยความคมของกระบี่เหลียวหยวนจึงสังหารมันได้อย่างง่ายดาย