“ท่านพ่อ?”

เริ่นจื่อเฮ่ายืนชิดหน้าต่าง ตะโกนเรียกเริ่นหลี่เจิ้งจากนอกหน้าต่าง

เริ่นกงซิ่นไม่สบาย ไม่สบายจริงๆ ทั้งจามทั้งวิงเวียน นอนอยู่บนเตียงเตา

ลืมตาก็ไม่มีสติ ตาบวม ไม่อยากสนใจผู้คน

เขามองไปที่เพดาน ถอนหายใจยาวๆ “หื้ออ!”

เริ่นจื่อจิ่วได้ยินเสียงไอของพ่อ รู้สึกได้ถึงจิตใจที่ทุกข์ทรมาน

สีหน้าที่บ่งบอกถึงความทุกข์ทรมาน แต่ไม่ยอมพูดว่าเป็นไปไม่ได้ ตอนนี้คนไปยืนรวมตัวกันที่ฝั่งแม่น้ำ

“ท่านพ่อ ได้ยินว่าสะใภ้ใหญ่สั่งให้ใช้แผ่นหินปูพื้นสะพานหรือ ถ้าฟังคำพูดนาง ข้าจะไป

เปิดประตูบ้านให้ขนของไปที่แม่น้ำ ให้ทุกคนช่วยกันแบกหิน แค่แบกหินก็ใช้เวลาเป็นวัน สิ่งของพวกนั้นหนักเกินไป พวกเราเลยต้องช่วยกันจับให้แน่น ทุกคนทั้งหมดรออยู่ที่ริมแม่น้ำ”

ได้ยินว่าจะต้องยกหินที่เก็บไว้ทั้งสองปีไปใช้ เริ่นหลี่เจิ้งแค่คิดก็เจ็บหัวใจ

แค่ได้ยินลูกชายรองพูดถึงลูกสะใภ้ใหญ่ คิดถึงคืนก่อนที่ลูกสะใภ้ใหญ่จะจากไป นางตะโกนโก่งคอด่า เจ็บเหมือนขวานผ่าหัวถึงใบหน้าอีกฉาดใหญ่ เรื่องที่เขาคิดว่าจะฉวยผล ประโยชน์กับเงินแค่สิบตำลึง และสุดท้ายเขาต้องเสียเงินมากกว่าเป็นสองร้อยตำลึงเพื่อซื้อข้าวสารเลี้ยงคนสองร้อยคนเป็นเวลาครึ่งปี เขาเกือบโดนด่าว่าไม่มีสมอง เพราะเรื่องนี้ เริ่นหลี่เจิ้งจึงป่วยด้วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

นี่หรือคือลูกสะใภ้ นางเหมือนจะเป็นบรรพบุรุษของตระกูลเสียมากกว่า

เริ่นกงซิ่นไม่มีแรงยกมือโบกไปมา

“ท่านพ่อ?”

เริ่นกงซิ่นโมโห ลืมไปว่าลูกชายมองไม่เห็นเขายกมือโบกไปมา เขาคิดในใจ

ข้ากวักมือให้เจ้าไปเรียกคนมา เจ้ายังจะเรียก พ่อ พ่อ พ่อ อยู่ได้ ข้ายังไม่ตายนะ เขารีบลุกขึ้นนั่งและพูดว่า “ไป ไป ไป ไป!” หลังจากตะโกนเสร็จ ร่างกายเหมือนวิญญาณจะหลุดออกจากร่าง

เริ่นจื่อจิ่วตกใจเสียงตะโกน รีบหันหลังวิ่งออกประตูไป

เมียใหม่ที่เริ่นกงซิ่นเพิ่งขอแต่งเข้ามา สวมเสื้อเขียวใส่ผ้าพันคอ ลุกขึ้นยืน รีบใช้มือนวดที่หน้าอก ใช้น้ำเสียงอ่อนเสียงหวานบอกว่า “ท่านพี่ อย่าโมโห ยิ่งโมโหจะยิ่งทำลายสุขภาพ”

“ไสหัวออกไป” เริ่นกงซิ่นห่มผ้าคลุมลงจากเตียงเตา ไม่มีจิตใจจะทำอะไร

เขากัดฟันคิดด้วยความแค้น ไม่รู้ชาติที่แล้วไปทำบาปอะไรกับคนพวกนั้น พวกสารเลว

พวกเจ้ารอดูข้าละกันว่าจะจัดการพวกเจ้ายังไง

กลับมีเสียงของหัวใจบอกว่า ด่าให้ตายแล้วจะได้อะไร

ไม่ใช่คนพวกนั้นกำลังกดดันเขา แต่เป็นลูกสะใภ้ใหญ่และลูกชายคนโตที่กดดันเขาจนแทบจะสิ้นใจแล้ว สั่งให้เขาทำตามคำสั่งของคนเฮงซวยซ่งฝูเซิง เข้าไปในเมืองเพื่อทำป้ายแดง

คนเฮงซวยซ่งฝูเซิงคือคนสารเลวที่สุด

“ใครจะไปโกงบัญชีเงินเจ้า”

ทั้งสองฝั่งปั๊มลายนิ้วมือเป็นพยานเซ็นบนใบขาวก็พอแล้ว และยังไม่ใช่สิ่งของสำคัญอะไรแค่อิฐสร้างบ้านกับพื้นดินทำนา

เด็กเมื่อวานซืนพวกนั้นปากแดงฟันขาว ทำอย่างไรก็ไม่ยินยอม

ยังบังคับให้เขาโอนบ้านมุงจาก เรือกสวนไร่นาพวกนั้น และยังต้องไปที่อำเภอทำสัญญาป้ายแดงอีก

สัญญาป้ายแดง ไม่ใช่ใครก็ทำได้ จะต้องให้เขาเดินทางไปถึงอำเภอถงเหยาและยังต้องไปรบกวนขุนนางในการใช้ตราประทับอีก ทั้งหมดจะต้องมีค่าบริการ เมื่อทำเสร็จแล้วเขายังเป็นคนต้องจ่ายเงินส่วนนี้อีก

เริ่นกงซิ่นนอนหมดอาลัยตายอยาก

เขาไม่เข้าใจ เขาทำป้ายแดงให้กับคนเหล่านั้น ช่วยพวกเขาวิ่งเต้น และเขายังต้องเป็นคนจ่ายค่าบริการอีกหรือ เพื่อจะประหยัดเงินของที่บ้านกับที่นาของเขาโดยไม่ต้องไปทำป้ายแดงถึงในเมือง

แต่ว่าเริ่นกงซิ่นยังต้องเก็บสีหน้า เขาแข็งใจเดินออกจากประตูไปเจอผู้ชายร่างกายกำยำที่กำลังร้องบอกให้ช่วยกันแบกหิน เขาแกล้งยิ้มออกมาแล้วพูดกับคนในหมู่บ้านว่า

“เฮ้ย เมื่อวานลูกชายคนโตของข้ามาที่นี่ พวกเจ้าคงเห็นหมดแล้ว ก่อนจะกลับ เขายังสั่งไว้ว่า เขามาถึงหมู่บ้านเห็นสะพานพวกเราพัง ลูกชายเขาทนเห็นสภาพสะพานพังแบบนี้ไม่ได้ จึงสั่งให้ซ่อมสะพานนี้เสีย แต่ถึงลูกชายคนโตของข้าไม่สั่ง ข้าก็ต้องให้ทุกคนไปช่วยซ่อมอยู่แล้ว…

…สะพานพังแล้ว ต่อไปพวกเราจะขึ้นภูเขาอย่างไร ช่วงฤดูใบไม้ผลิ เด็กหนุ่มต้องแต่งงานเข้าหอ ต้องไปหาฝืนมาทำหลังคา พวกเขาจะแบกลงมาอย่างไร…

…ข้าคิดถึงตรงนี้ ใครให้ข้าเป็นหลี่เจิ้งของหมู่บ้าน ใช้แค่ไม้ซ่อมแซมคงไม่ทนทาน ที่บ้านข้ามีแผ่นหิน ข้าจึงขอบริจาคให้หมู่บ้าน ถึงอย่างไรก็ทำเพื่อทุกคนอยู่แล้ว”

เริ่นจื่อจิ่วรีบพูดเสริมพ่อของเขา “พ่อของข้าเป็นคนทำให้คนในชุมชนร่ำรวย บ้านของข้าส่งหินแผ่นไปทำสะพานเพื่ออยากให้ทุกคนเดินทางขึ้นเขาได้สะดวก และยังให้ค่าจ้างทุกคน เจ้าคิดว่าพ่อข้าจะมีแผนการอะไรอีก”

จากคำพูดนี้ คนที่ได้ยินและมาทำงานคงรู้สึกไม่ดีที่รับเงินค่าจ้าง

พวกเขาก็คงเห็นแล้ว แผ่นหินพวกนี้มีราคาแพงมาก

พวกเขาเห็นว่าสองปีมานี้ หลี่เจิ้งมักจะให้คนงานขึ้นไปบนภูเขา ใช้สว่านเจีย ใช้ค้อนเหล็กขนาดใหญ่ ให้คนงานสิบถึงยี่สิบคนผลัดเวรยามในการทุบก้อนหินเพื่อให้หินแยกออกจากกัน แยกออกมาเป็นแผ่น เสร็จแล้วก็แบกลงมาอย่างลำบาก ได้ยินว่าหลี่เจิ้งทำอย่างละเอียด หินแผ่นที่ให้คนขนลงมาลงมาถึงบ้าน หลี่เจิ้งยังให้คนงานใช้เลื่อยเจียรให้หินมีลวดลายเรียบดูสวยงาม เป็นงานละเอียดมาก แต่ตอนนี้จะเอาแผ่นหินพวกนั้นมาให้พวกเราปูสะพานหรือ

เริ่นกงซิ่นพึงพอใจกับสีหน้าที่ทุกคนแสดงออกมา เรียกทุกคนมาทำงานตั้งแต่ตอนกลางคืน ถึงแม้จะบอกว่าทำสะพานแบบไม่มีค่าจ้าง แต่ตอนนี้จะจ่ายค่าจ้างให้ ถ้าวันนี้สะพานทำเสร็จแล้วพวกเจ้าจะยังกล้ารับเงินค่าจ้างหรือไม่

ถ้าใครไม่รับค่าจ้างเขาก็จะให้เป็นข้าวเปลือกคนละสามถึงห้าจิน

ข้าวเปลือกเอามาจากที่ไหน ก็คือข้าวที่พวกเราได้รับมาจากการบรรเทาทุกข์อย่างไรล่ะ

เขาเอาข้าวขาวแลกกข้าวเปลือกพวกนั้นมา ข้าวเปลือกก็ยังเป็นสิทธิ์ของเขา จึงวางแผนว่าอีกไม่นานจะเข้าในเมืองเพื่อจัดการเรื่องป้ายแดงและขนข้าวเปลือกพวกนั้นกลับมาบ้านด้วย

เริ่นกงซิ่นควบเกวียนออกจากหมู่บ้าน ซ่งฝูกุ้ยก็ถ่อแพของเขาขึ้นฝั่งมาจอด

ซ่งฝูกุ้ยได้ยินคนในหมู่บ้านพูดกันว่า หลี่เจิ้งจะทำอย่างนั้น อย่างนี้ ในการซ่อมสะพาน ทำอย่างไรจึงจะไม่พังลงมา เขาตะโกนถามไปว่า “เฮ้ย…อย่าคิดขนาดนั้น อะไรคือทำเพื่อพวกเจ้า เพื่อพวกข้าต่างหาก เขาไปที่หมู่บ้านของพวกเราและสัญญาไว้ จำเป็นต้องซ่อมสะพานให้เสร็จและยังต้องทำให้กว้างกว่าเดิมด้วย”

ชาวบ้านเหรินจยาได้ยินก็รู้สึกแปลกใจ เมื่อวานตอนกลางคืน คนที่ไปนอนด้วยกัน นินทาและคิดไปต่างๆ นานา ดังนั้นจึงมีคนถามกลับซ่งฝูกุ้ยว่าพวกเขาไปหาพวกเจ้าเพื่ออะไร ทำไม หลี่เจิ้งต้องสัญญาว่าจะซ่อมสะพานให้พวกเจ้า

“เขาทำเรื่องน่าละอายใจไงล่ะ”

“เรื่องน่าละอายใจอะไร”

“ไอ๊ยะ เรื่องนี้บอกกับพวกเจ้าไม่ได้ เป็นข้อตกลงร่วมกันที่เขาจะซ่อมแซมสะพานเพื่อให้พวกเราไม่ร้องเรียนเขาอีก” ซ่งฝูกุ้ยพูดเสร็จรีบเอามือตีปากตัวเอง “ดูปากข้า ข้าบอกพวกเจ้าแล้ว ข้าจะไม่พูดเรื่องไร้สาระ พวกเจ้าก็ยังไม่รู้เรื่องนี้”

คำพูดแค่ไม่กี่คำนี้ ยิ่งทำให้คนในหมู่บ้านหูผึ่ง และยิ่งอยากรู้มากยิ่งขึ้น ใจสั่นอยากรู้จนหยุดนิ่งไม่ได้

แต่ว่าซ่งฝูกุ้ยเหมือนกับตั้งใจเอาแพของเขาไปผูกให้เสร็จเรียบร้อย แล้วเดินไปด้วยตะโกนไปด้วย

“รับซื้อโอ่ง รับซื้อโอ่งเก่า รับซื้อโอ่งเก่าเอาไปทำผักส้มผักดองเค็มได้…

…ไม่ได้รับอย่างเดียว ยังให้เงินด้วย…

…บ้านใครหมักซอสไว้เยอะ พวกเราก็รับซื้อซอสด้วยนะ”

ทั้งหมู่บ้านได้ยินแต่เสียงตะโกนของซ่งฝูกุ้ย

เวลาไม่นาน ซ่งฝูกุ้ยก็ถูกล้อมรอบไปด้วยผู้หญิงวัยกลางคน ท่านย่า ท่านยายทั้งหลาย

มีคนพูดขึ้น บ้านข้ามีโอ่งเก่าที่ไม่ได้ใช้ ใบใหญ่มากสูงครึ่งตัวคน เจ้าจะซื้อเท่าไหร่ หรือบ้านข้ามีไหเหลือใช้หลายใบเจ้าเอาไหม

ซ่งฝูกุ้ยที่อยู่ในวงล้อมของพวกผู้หญิงจึงพูดขึ้นว่า

เขายังพูดกับบ้านนี้ว่า “บ้านเจ้ามีไหแตกหรือ พวกเราจะเอาเป็นไหไว้ดังไฟ ใบใหญ่มาก เขาจับดู ถูไปมา ข้าให้ราคาเจ้าได้ห้าเหวิน”

เมื่อไปอีกบ้านก็พูดว่า “ไหของเจ้าแตกขนาดนี้ ปากข้างบนยังไม่มีฝาปิดด้วย เงินสิบเหวินก็คุ้มค่าแล้ว”

“ไอ๊ยะ ท่านแม่ ซอสที่ท่านหมักทำไมมีกลิ่นเหม็นเท้าของเด็กล่ะ”

เช้านี้ซ่งฝูกุ้ยงานยุ่งมาก

เขาเวียนหัว คลื่นไส้ ไปทำนาไม่ได้ จะขึ้นภูเขาไปแบกฟืนก็คงไม่ไหว ซ่งฝูเซิงจึงส่งเขามาที่นี่ และยังให้เขามานั่งหน้าหมู่บ้าน คอยเป็นยามรอคนที่จะมาขุดบ่อน้ำแทน