คนขุดบ่อน้ำยังไม่มา ซ่งฝูกุ้ยเกือบจะถูกเริ่นจื่อเฮ่าโยนลงแม่น้ำ
เริ่นจื่อเฮ่าจ้องตาเขม็ง สองมือดึงแขนเสื้อผ้าฝ้ายที่เก่าจนจะขาดของซ่งฝูกุ้ย
เสื้อทำจากผ้าฝ้ายไม่ทนแรงดึง ใช้แรงเพียงเล็กน้อย เสื้อก็ขาดวิ่นจนเห็นรอยสักสีดำที่อยู่บนหัวไหล่โผล่ออกมา
ซ่งฝูกุ้ยใช้มือข้างเดียวคว้ามือของเริ่นจื่อเฮ่าออกไป กลัวว่าจะจับแรงจนแขนเขาขาด และมืออีกข้างเอามาปิดเสื้อที่ขาดจนเห็นหัวไหล่ “นี่เจ้าทำอะไร”
“เจ้าบอกใครไม่มีจิตใจเมตตา”
“เจ้าปล่อยมือจากเสื้อผ้าข้า ข้าบอกเจ้าว่าห้ามแตะต้องตัวข้า ข้าเวียนหัว”
เริ่นจื่อเฮ่ากำมือแน่น “เจ้าเอาคำพูดเมื่อครู่ที่บอกทุกคนสิ ไหนพูดอีกครั้ง ใครไม่มีจิตใจเมตตา”
“ข้าไม่พูด เจ้าจะทำไม เจ้าจะทำร้ายข้าหรือ ข้าจะบอกเจ้าไว้ ข้าจะเรียกคนมาช่วย”
เริ่นจื่อเฮ่าบอกว่า “เจ้าเรียกเลย ข้าจะเอามืออุดปากเจ้า” แล้วสั่งให้คนจับซ่งฝูกุ้ยโยนลงในแม่น้ำ ซ่งฝูกุ้ยตอนนี้สองเท้าลอยชี้ฟ้าไปแล้ว
ชาวบ้านที่ทำงานอยู่ข้างฝั่งแม่น้ำรีบวิ่งเข้ามาห้ามปรามไม่ให้ทะเลาะกัน
คนห้าคนเข้ามาช่วยกันห้าม เริ่นจื่อเฮ่ากับซ่งฝูกุ้ยจึงหลุดออกมาได้
เขาจับเสื้อฝ้ายที่ถูกดึงจนขาดเข้ามาห่มตัว โกรธจนทนไม่ได้ ใช้มือควานหาแตรจากถุงในกระเป๋ากางเกงออกมา
ถูกแล้ว แตรของบ้านซ่งฝูหลิงถูกเอาออกมา ซ่งฝูเซิงยกให้ซ่งฝูกุ้ย
เอาไว้ใช้เวลาเมื่อคนมาเจาะบ่อน้ำมาถึง หรือจะซื้อไห ซื้อโอ่งเยอะจนเอากลับไปไม่ไหว ถ้าซ่งฝูกุ้ยคิดว่าคนเดียวกำลังแรงงานไม่เพียงพอ ก็ให้เป่าแตรเรียกคนมาช่วย
เสียงแตรดังก้อง ซ่งฝูกุ้ยเป่าแตรไปทางฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำจนแสบแก้วหู และปากก็ตะโกนด่ากับคนที่ถูกห้ามไม่ให้ทะเลาะ “เจ้ารอข้า เจ้ารอพวกข้ามาก่อน”
คำนี้ยิ่งทำให้เริ่นจื่อเฮ่าโกรธจนทนไม่ไหว
เขาออกจากบ้านเดินทางมาถึงฝั่งของแม่น้ำ ได้ยินคนในหมู่บ้านวิพากษ์วิจารณ์พ่อของเขา มีทั้งเรื่องดีและเรื่องไม่ดี พอถามคนแถวนั้นจึงได้รู้ว่า ไอ้เด็กเมื่อวานซืนคนนี้กำลังพูดจาเหลวไหล
ข้าวก็ส่งให้พวกเจ้าแล้ว ส่งให้ครั้งเดียวพอกินไปครึ่งปี ทั้งยังเป็นข้าวขาวขัดสี ได้กินของดีกว่าคนอื่น แถมพี่ใหญ่ยังซื้ออิฐส่งมาให้ด้วย พ่อข้าออกเงินเพื่อทำเรื่องป้ายแดงในเมืองให้ ที่ดินก็แบ่งให้พวกเจ้ายี่สิบกว่าไร่ ไม่มีใครยอมเสียเปรียบเท่ากับบ้านเขาแล้ว
ถ้าให้เขาจัดการเรื่องพวกนี้ ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะยอมขนาดนี้ คนพวกนั้นจะทำอะไรก็ทำไปเลย
แต่พี่ใหญ่ต้องการให้เป็นแบบนี้ ก็ได้ เขาจะกัดฟันยอมรับ ไม่ใช่ตกลงกันดีแล้วหรือว่าให้ของแล้วจะต้องไม่พูดจาเหลวไหล ทำไมยังปากพล่อยขนาดนี้อีก
เริ่นจื่อเฮ่าผลักคนที่เข้ามาห้ามปรามออกไป เขาถือไม้ฟืนตีสิ่งของที่ซ่งฝูกุ้ยไปรับซื้อของเก่ามา พวกไหสิบกว่าอัน โอ่งสิบกว่าอัน ของพวกนี้ไม่มีราคา แต่โอ่งใบใหญ่หนักขนาดไหนเจ้ารู้หรือไม่ ซ่งฝูกุ้ยใช้แรงขนของเก่าผุพังพวกนี้มาจนถึงฝั่งแม่น้ำไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
บ้านที่ขายของพวกนี้ให้เขาไม่ยอมมาช่วยเคลื่อนย้าย บอกว่าเงินที่ได้น้อยเกินไป ไม่รวมกับค่าขนส่งไปที่ฝั่งแม่น้ำ
แต่ว่าซ่งฝูกุ้ยแค่มัวเข็นโอ่งใบใหญ่ก็ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว เขาเหนื่อยจนเหงื่อท่วมหัวท่วมตัว เจ้านี่ยังมาตีโอ่งจนแตก เขายิ่งรู้สึกเสียใจมากกว่าถูกโยนลงแม่น้ำเมื่อครู่เสียอีก
ซ่งฝูกุ้ยเสียใจจนตาแดงก่ำ ในขณะเดียวกันก็รีบเป่าแตรเสียงดัง และยังป้องกันตัวเองพร้อมอ้าปากด่าออกไป “แม่เจ้าสิ ถ้ายังกล้าตีไหของข้าแตก ข้าจะเรียกคนออกมาให้หมด พวกข้าหลายร้อยคนจะบุกไปที่บ้านเจ้า ตีโอ่งให้แตก เจ้ารอดูข้าเถอะ”
เริ่นจื่อเฮ่าได้ยินคำนี้ก็โกรธและหัวเราะออกมา
พวกเจ้าร้อยกว่าคนจะกล้าทำอะไรหมู่บ้านเหรินจยาที่มีคนเป็นพันคน เจ้ากล้าไปตีกับคนที่หมู่บ้านข้าก็ลองดู
ซ่งฝูกุ้ยโกรธและหัวเราะออกมาเหมือนกัน
เจ้าบอกว่า พวกเจ้ามีเป็นพันคนแล้วอย่างไร พวกเจ้ากี่หมื่นคนแต่ไม่มีหัวใจเดียวกันก็ไม่มีประโยชน์ พวกข้าไม่เหมือนพวกเจ้า
เขาบอกว่า “ข้าจะประกาศตรงนี้ วันนี้ถ้าเจ้ากล้าตีไห ตีโอ่งหมักซอสของข้า ยังกล้าโยนข้าลงแม่น้ำ หรือทำร้ายข้าแม้แต่เส้นผมเส้นเดียว พวกข้าสองร้อยกว่าคน ไม่ว่าคนแก่หรือเด็ก จะมาแก้แค้นเจ้าจนเลือดเป็นน้ำเต้า พวกเจ้ามีเป็นพันคนแต่ไม่มีคนคอยช่วยเหลือ พ่อเจ้าเป็นหลี่เจิ้งก็ใช่ว่าจะทำตัวดี ถ้าเจ้ากล้าทำร้ายข้าอีก พวกข้าสองร้อยกว่าคนจะต้องมาแก้แค้นเจ้าจนตาย ถ้าเจ้าไม่เชื่อก็ลองดูได้”
เริ่นจื่อเฮ่ากระโจนผ่านฝูงคนที่ห้ามปรามเข้ามา “ข้าจะลองดู” ซ่งฝูกุ้ยรีบถอยไปสองสามก้าวปรากฏว่าคนแพ้ แต่ปากไม่ยอมแพ้ด้วย พูดต่อว่า “ก่อนที่เจ้าจะลองเข้ามา ข้าจะเตือนเจ้าก่อน เจ้าลองไปถามพี่ใหญ่เจ้าดู เจ้าอย่าทำให้พวกข้าไม่มีทางเลือก พวกข้ากล้าทำทุกอย่าง ถ้าพวกข้าทำให้พี่ใหญ่เจ้าเดือดร้อนก็อย่าโทษพวกข้าก็แล้วกัน”
เริ่นจื่อจิ่วรีบวิ่งเข้ามาห้ามน้องชาย ดึงน้องชายออกไปด้านข้าง กัดฟันใช้เสียงเบาพูดกับเริ่นจื่อเฮ่า “อย่าไปสนใจซ่งฝูกุ้ย รีบซ่อมสะพานให้เสร็จ นี่คือเรื่องสำคัญกว่า…
…และสิ่งที่เจ้าคนไม่มีหัวนอนปลายเท้านั่นพูดก็ถูก พวกเราตอนนี้เสียเปรียบเยอะ อย่าทำให้เสียผลประโยชน์ และทำให้ท่านพ่อกับพี่ใหญ่เดือดร้อน”
ในขณะเดียวกัน อีกฝั่งของแม่น้ำก็ได้ยินเสียงแตรเป่าเรียกคนแล้ว
ซ่งจินเป่าอยู่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำ ตะโกนถาม “ท่านลุงฝูกุ้ย มีเรื่องอะไรหรือไม่”
ซ่งฝูกุ้ย “…”
ดีที่ไม่เกิดเรื่อง ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา มีแค่ซ่งจินเป่าจะไปช่วยอะไรเขาได้
“ไม่มีอะไร เจ้ากลับไปเถอะ” เขาพบว่าคนที่ทำงานอยู่ริมฝั่งแม่น้ำมองเขาเหมือนหัวเราะเยาะ
เพื่อไม่ให้เสียหน้า ซ่งฝูกุ้ยใช้มือดึงเสื้อผ้าฝ้ายขึ้นมาห่อตัวและสบถออกมาว่า “พวกเจ้าเห็นแล้วหรือไม่ ช่างหน้าขันยิ่งนัก เขากล้าทำร้ายข้าหรือไม่ อาศัยความกล้าอันน้อยนิด พวกเขาไม่มีทางทำได้แน่”
ซ่งฝูกุ้ยด่าเสร็จ ชาวบ้านที่อยู่ตรงนั้นก็ตะโกนถาม “บ้านซ่งฝูเซิงไปทางไหนหรือ?”
ใครกัน?
“บ้านซ่งฝูเซิงไปทางไหนหรือ?”
ซ่งฝูกุ้ยรีบเดินไปด้านหน้า พบว่าคนพวกนี้มีขบวนรถบรรทุกขนฟักทองมาหลายคัน จึงถามขึ้น “เจ้าคือใคร เจ้าถามหาพี่ชายข้าทำไม?”
พวกเขาแนะนำตัวเอง พวกเขามาจากอำเภออวิ๋นจง ท่านลุงสุ่ยแนะนำมาที่นี่ ท่านลุงสุ่ยก็คือคนที่มีร้านขายหนังสัตว์ ได้ยินว่าพวกเจ้ามีคนเยอะ ต้องการซื้อผักไว้กินในฤดูหนาว พวกเรามีฟักทองเยอะ เขาจึงแนะนำและบอกให้พวกข้าเอามาขายให้พวกเจ้าในราคาไม่แพง พวกเจ้าต้องซื้อแน่นอน พวกเจ้าตกลงจะซื้อหรือไม่?”
ซ่งฝูกุ้ยตบมือหนึ่งฉาด “ซื้อ เจ้ารอข้าก่อน ไอ๊ยะ…เอาของมาส่งให้ถึงบ้านด้วย”
เสียงแตรดังขึ้นอีกครั้ง
เวลาผ่านไปไม่นาน เสียงฝีเท้าวิ่ง ตึง…ตึง…ตึง…ซ่งจินเป่าวิ่งจากบ้านหลังคามุงจากกลับมาอีกครั้ง เขาถามขึ้นว่า “ท่านลุงฝูกุ้ย ท่านมีเรื่องอะไร”
“เรียกคนมา เรียกคนมาซื้อฟักทองเร็วเข้า”