พระอาทิตย์ตกลงที่ด้านหลังภูเขา ท้องฟ้าทางทิศตะวันออกเริ่มจางลง
บนเตียง หลินเมิ้งหยาดื่มยาไปแล้วสองครั้ง ดื่มน้ำแกงไปอีกเล็กน้อย
ทว่า นางยังคงนอนอยู่บนเตียง
ทุกชั่วโมง ป๋ายซ่าวและป๋ายจีจะเข้ามาเปลี่ยนที่นอนให้กับหลินเมิ้งหยา
และเช็ดตัวของนางตามคำสั่งของหมอหลวง
อดหลับอดนอนตลอดคืน ในตำหนักหลิวซิน นอกจากอาเสว่และหมาป่าน้อยที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ทุกคนล้วนไม่ยอมออกห่างจากเตียงของหลินเมิ้งหยาแม้เพียงก้าวเดียว
“ไข้ของนายหญิงลดลงแล้ว”
ป๋ายจื่อยื่นมือขึ้นไปอังหน้าผากของหลินเมิ้งหยา ก่อนจะร้องออกมาด้วยความดีใจ
ป๋ายจีและป๋ายซ่าวที่ฟุบหลับอยู่ข้างเตียงรีบกะพริบตา ก่อนจะเข้าไปแตะหน้าผากของหลินเมิ้งหยา
พวกนางสบตากัน ก่อนจะร้องออกมาด้วยความดีใจ
“ไข้ลดแล้ว ไข้ลดแล้ว”
สาวใช้ทั้งสี่กอดกันร้องไห้ นี่เป็นข่าวดีข่าวแรกภายในระยะเวลาห้าวัน
หัว…ปวดหัวจัง
หลินเมิ้งหยาสะลึมสะลือ สติเริ่มกลับมา
เหมือนท้องฟ้ากำลังหมุนติ้ว
แม้แต่การเคลื่อนไหวที่ง่ายที่สุดอย่างการลืมตายังทำได้ยากเย็น
ร่างกายเสมือนถูกเกวียนบรรทุกทับ ความเจ็บปวดแล่นพล่านไปทั่วทุกอณู
สมองมีเพียงความมืดมิด ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานขนาดไหน ดวงตาของหลินเมิ้งหยาจึงเปิดออกเล็กน้อย
“น้ำ…”
ส่งเสียงแหบแห้ง ร่างกายอ่อนแรง ขณะเดียวกัน หัวใจของทุกคนกลับมาเต้นเป็นปกติอีกครั้ง
“ฟื้นแล้ว นายหญิงฟื้นแล้ว หิวน้ำใช่หรือไม่เจ้าคะ ข้าจะไปเอา จะไปเอาเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
ป๋ายจื่อร้องไห้จนไม่มีน้ำตาอีกต่อไป นางรีบวิ่งไปเทน้ำให้หลินเมิ้งหยา
หลินเมิ้งหยาที่เพิ่งจะลืมตารู้สึกว่าร่างกายของตนเองไร้ซึ่งเรี่ยวแรง
ป๋ายซ่าว ป๋ายจี ป๋ายซู ชิงหู หลินจงอวี้
ทุกคนล้วนอยู่ที่นี่
ยกเว้นเขา
นางไร้ซึ่งเรี่ยวแรงเอ่ยถาม หลินเมิ้งหยาจิบน้ำเข้าไปครึ่งแก้วเล็กหลังจากถูกป๋ายจื่อพยุง จากนั้นก็หลับไปอีกครั้ง
“หมอหลวง ไข้ของนายหญิงลดลงแล้ว นางยังฟื้นแล้วด้วย ท่านลองตรวจดูหน่อยเถิดว่ายังมีปัญหาอะไรหรือไม่”
ทั้งตำหนักหลิวซินล้วนดีอกดีใจ
หลินจงอวี้ส่งคนไปตามหมอหลวงมา ทุกคนหันมามองเขา สายตากระตือรือร้น แม้แต่หมอหลวงผู้มากประสบการณ์ยังหน้าร้อนผ่าว
ตรวจจับชีพจร ก่อนจะใช้มือลูบเคราของตนเอง
“พระชายาพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่เพราะมีแผลใจ กอปรกับยาพิษแปลกประหลาดในร่างกาย ดังนั้นพระองค์จึงควรพักผ่อนให้มาก”
คำพูดของหมอหลวงทำให้คนในตำหนักหลิวซินรู้สึกคึกคักขึ้นมา
ในที่สุดก็ได้ยินคำว่าหลินเมิ้งหยาจะไม่จากพวกนางไปไหน
บรรยากาศคึกคักเหมือนช่วงวันตรุษจีน ในที่สุดเมฆครึ้มที่ลอยเหนือตำหนักหลิวซินก็สลายหายไป
“เจ้าเด็กน้อย ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องฟื้น”
มีชีวิตอยู่มานานหลายปี เขาไม่เคยรู้สึกขอบคุณเทพเจ้าด้วยความจริงใจเหมือนอย่างครั้งนี้มาก่อน
โชคดีที่เขายังเหลือเวลาอีกสามปีในการคุ้มครองดูแลหลินเมิ้งหยา
เขาเงยหน้า ได้เห็นสาวใช้ทั้งสี่ที่ไม่ได้หลับไม่ได้นอนเดินโซเซไปทางเตียงของหลินเมิ้งหยาก่อนจะล้มลง
มุมปากหยักยิ้มเล็กน้อย
พวกนางเปรียบเสมือนหัวใจของหลินเมิ้งหยา
เขาอุ้มร่างพวกนางกลับไปวางไว้ที่ห้องนอนของแต่ละคน ก่อนจะพาหลินจงอวี้ที่ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงกลับไปยังเรือนหลังเล็กของเขา
ห้องนอนจึงเงียบสงบลง นอกจากหลินเมิ้งหยาที่กำลังหลับใหลแล้ว ก็ยังมีชิงหูที่อยู่เป็นเพื่อน
“ดีจริง ๆ เด็กพวกนั้นเอะอะโวยวายน่ารำคาญ เจ้าเด็กน้อย ในที่สุดพวกเราสองคนก็ได้มีโอกาสอยู่กันตามลำพังเสียที”
หยิบผ้าที่ยังอุ่นอยู่ขึ้น ก่อนจะเช็ดลงบนใบหน้าของหลินเมิ้งหยาอย่างเบามือ
“เจ้าเด็กน้อย ข้ารู้ว่าเจ้าได้ยินเสียงของข้า ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังเจ็บปวด คุณหนูเยว่ถิงต้องตายอย่างทรมาน แต่เจ้าจะทำร้ายตัวเองเช่นนี้ไม่ได้”
เขาเป็นคนไร้ความรู้สึก หลังจากที่เขาได้เห็นนรกที่แท้จริงบนโลกใบนี้ เขาไม่เคยใส่ใจต่อความทรมานของผู้อื่นอีกเลย
ส่วนการตายของเยว่ถิง เขาเพียงแต่รู้สึกเสียดายเท่านั้น
ทว่า เมื่อเขาได้เห็นนางกระอักออกมาเป็นเลือด นับเป็นครั้งแรกที่หัวใจของเขารู้สึกเสมือนถูกกรีด
“เจ้าเด็กน้อย ต่อจากนี้ไปห้ามทำให้ข้าตกใจแบบนั้นอีก เข้าใจหรือไม่? ”
ส่งเสียงอ่อนโยน มิได้มีท่าทางเหลาะแหละเหมือนแต่ก่อน แต่มันกลับเปี่ยมไปด้วยความเอ็นดู
หยดน้ำตารินไหลลงมาจากหางตาของหลินเมิ้งหยา
นางลืมตาขึ้น ดวงตาคู่สวยหม่นหมอง หยดน้ำตาพรั่งพรูออกมามากมาย ชิงหูรู้สึกเจ็บปวดใจเหลือเกิน
“พี่เยว่ถิง…”
ชิงหูโอบกอดหลินเมิ้งหยา ส่งมอบความเข้มแข็งและอ่อนโยนผ่านทางอ้อมกอด ก่อนจะส่งเสียงแผ่วเบาเพื่อปลอบโยน
“เด็กดี ไม่ร้องแล้วนะ ข้าสัญญากับเจ้า ขอเพียงเจ้าต้องการ ไม่ว่าใครหน้าไหน ข้าก็จะฆ่าให้หมดดีหรือไม่? ”
เป็นนักฆ่ามานานหลายปี ไม่ว่าจะเอ่ยอะไรออกมาก็ล้วนเกี่ยวข้องกับการนองเลือด
หลินเมิ้งหยากลับร้องไห้ประหนึ่งเจ้าแม่น้ำตา มือเล็กจับเสื้อของเขาแน่นไม่ยอมปล่อย
“เจ้าเด็กน้อย น้ำตาเจ้าลวกตัวข้าหมดแล้ว”
“สมน้ำหน้า”
ชิงหูหยักยิ้มแปลกประหลาด ทว่าไม่ดันตัวนางออกไป ซ้ำยังกอดนางแน่นมากกว่าเดิม
ร้องไห้อยู่พักใหญ่กว่าหลินเมิ้งหยาจะปรับอารมณ์ได้และกลับมาสงบนิ่งดังเดิม
นอนหลับอีกทั้งวัน เมื่อถึงเวลาค่ำ จิตใจของนางดีขึ้นเล็กน้อย แม้จะยังตกอยู่ในอาการโศกเศร้าก็ตาม
เรื่องของสกุลเยว่เปรียบเสมือนเข็มอาบยาพิษที่กำลังทิ่มแทงคนในตำหนักหลิวซิน
ทุกคนระมัดระวังเป็นอย่างมากในการพูดถึงเรื่องนี้ เพื่อป้องกันมิให้หลินเมิ้งหยากลับมาเสียใจอีก
กินโจ๊กที่ป๋ายจีทำเองกับมือ ในที่สุดหลินเมิ้งหยาก็กลับมาอยากอาหารอีกครั้ง
กินโจ๊กเข้าไปถ้วยใหญ่ ใบหน้าที่เคยขาวซีดกลับมามีสีเลือดอีกครั้ง
นั่งอยู่บนเตียงนอน หลินเมิ้งหยากวาดสายตาไปทั่วห้อง ก่อนจะกระซิบถาม
“หาร่างของพี่เยว่ถิงเจอแล้วหรือยัง? ”
ทุกคนตกอยู่ในอาการเหม่อลอยเพราะคำพูดของหลินเมิ้งหยา
ไม่มีใครกล้าตอบ
“เจอแล้ว ตอนนี้อยู่ที่บ้านสกุลเยว่”
ชิงหูยืนอยู่ข้างกายของหลินเมิ้งหยา เอ่ยตอบคำถาม ทุกคนถลึงตาใส่เขา
ตอนนี้หลินเมิ้งหยาเพิ่งจะฟื้นขึ้นมา ถ้าถูกจี้จุดอีกจะทำเช่นไร?
“ป๋ายจีไปเตรียมเกี้ยวให้ข้า ป๋ายจื่อ พวกเรากลับบ้านสกุลหลินกัน”
เมื่อได้ยินว่าหลินเมิ้งหยาจะออกจากบ้านทั้งที่เพิ่งฟื้น ทุกคนเริ่มร้อนใจ
โดยเฉพาะป๋ายจื่อ นางรีบคลานเข้ามาหาหลินเมิ้งหยาทั้งใบหน้าเปื้อนน้ำตา
“คุณหนู ข้าขอร้อง รักตัวเองหน่อยเถิดเจ้าค่ะ หากท่านทำเช่นนี้ ต่อให้ป๋ายจื่อตายไปก็ไม่มีหน้าไปพบฮูหยินหรอกนะเจ้าคะ”
ป๋ายจื่อส่งเสียงร่ำไห้ ทุกคนส่งสายตาวิงวอน
หลินเมิ้งหยาขมวดคิ้วเข้าหากัน ก่อนจะส่ายหน้า
“ไม่ ข้าไม่วันยอมให้พี่เยว่ถิงต้องมีมลทิน”
ตามประเพณีเดิม หากลูกสาวตายไปก่อนที่จะแต่งงาน พวกนางจะไม่สามารถถูกฝังในหลุมศพของเหล่าบรรพบุรุษได้
โดยเฉพาะพี่เยว่ถิงที่เจอกับเหตุการณ์เช่นนั้น นางต้องเจอกับคำดูถูกและข้อครหามากมาย
ซูเหม่ยหยุนสามารถทำให้พี่เยว่ถิงตายได้ เชื่อว่า นางสามารถฝังพี่เยว่ถิงโดยไม่จัดพิธีได้เช่นกัน
หากมิใช่เพราะพี่เยว่ถิงรักพี่ชายมาก บางทีนางอาจจะไม่คิดสั้นเช่นนั้น
หรือบางที หากความสัมพันธ์ระหว่างนางกับพี่เยว่ถิงไม่ดีเช่นนี้ คนพวกนั้นคงไม่ลงมือทำร้ายหญิงสาวผู้น่าสงสารคนนี้
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร คนสกุลหลินล้วนติดหนี้พี่เยว่ถิงทั้งสิ้น
“นายหญิง แต่ร่างกายของท่าน…”
ป๋ายจีส่งเสียงขึ้นด้วยความกังวล ทว่าชิงหูกลับก้มตัวลงแล้วใส่รองเท้าให้กับหลินเมิ้งหยา
“ข้าพาเจ้าไปเอง”
ฉีกยิ้ม ชิงหูอุ้มหลินเมิ้งหยาขึ้น
เขารู้จักหลินเมิ้งหยาดี หากไม่ปล่อยให้นางไป นางคงทรมานเสียยิ่งกว่าตาย
“พวกเราเองก็จะไปด้วย”
สาวใช้ทั้งสี่เดินตามหลังชิงหู
ในเมื่อไม่อาจห้ามหลินเมิ้งหยาได้ เช่นนั้นพวกนางจะคอยคุ้มครองดูแลนางอยู่ข้างกาย
ทันทีที่เดินออกจากประตู หลินเมิ้งหยาดันมือชิงหูออกเบา ๆ
ป๋ายซู ป๋ายซ่าว รีบเข้ามาพยุงร่างหลินเมิ้งหยา
นางกัดฟัน เชิดหน้าขึ้น
ทุกย่างก้าว ล้วนโซซัดโซเซ ทุกย่างก้าว ล้วนทำให้นางหน้ามืดตาลาย
ระหว่างทาง ข้าทาสบริวารล้วนถวายคำนับหลินเมิ้งหยา
นางพยายามบังคับตัวเองให้ดูเป็นปกติ เพราะนางอยากให้คนเหล่านั้นได้เห็นว่าหลินเมิ้งหยาคนนี้ยังไม่แพ้!
หญิงสาวเดินออกไปจากจวนด้วยตนเอง
ด้านนอก รถม้าหรูหราสวยงามคันหนึ่งจอดรออยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว
“พี่สาว ให้ข้าพยุงท่านเถิด”
หลินจงอวี้ยืนคอยท่าอยู่บนรถม้านานแล้ว เขารับมือนางจากสาวใช้ทั้งสอง
มือเล็กทั้งสองข้างนุ่มนิ่มและอบอุ่น ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ขอบตาของหลินจงอวี้พลันเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา
พี่สาวผู้แข็งแกร่งและงดงามของเขากลายเป็นคนอ่อนแอขนาดนี้เชียวหรือ
“เสี่ยวอวี้ ข้าไม่เป็นไร อย่าร้องไห้”
ภายในรถ หลินเมิ้งหยาพิงร่างหลินจงอวี้ ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้กับเขา
“พี่สาว พี่สาว เสี่ยวอวี้ไม่ได้เรื่อง เสี่ยวอวี้ไม่อาจปกป้องพี่สาวได้”
หากเขามีมีอำนาจมากเพียงพอ เขาคงปกป้องดูคนที่พี่สาวใส่ใจได้
เช่นนั้น พี่สาวจะได้มีแต่รอยยิ้ม
ทว่าเขาในเวลานี้กลับอ่อนแอเหลือเกิน
“เด็กโง่ พวกเราทุกคนล้วนต้องถูกกระตุ้นก่อนจึงจะเติบโต ยิ่งไปกว่านั้น อีกไม่นานร่างกายของข้าก็จะกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม เด็กดี อย่าทำให้คนอื่นคิดว่าพี่สาวของเจ้าป่วยหนัก”
เขาพยักหน้าลง หลินจงอวี้ตัดสินใจ
อีกเดี๋ยวเขาจะออกคำสั่งให้หายาที่ดีที่สุดมาบำรุงร่างกายของหลินเมิ้งหยา
จะต้องทำให้พี่สาวอ้วนถ้วนสมบูรณ์ให้ได้
สาวใช้ทั้งสี่นั่งอยู่ภายในรถม้า ส่วนชิงหูไล่คนขับรถลงไปและขับพาหลินเมิ้งหยาไปด้วยตนเอง
รอบรถม้า หลินขุ๋ยพาองครักษ์ร่างกำยำสิบหกคนติดตามไปปกป้องดูแลหลินเมิ้งหยา
ด้านหลัง รถม้าสองคันที่ถูกบรรจุสิ่งของมีค่าเต็มคันรถขับตามมา
หลินจงอวี้เตรียมของมีค่าเหล่านั้นเอาไว้เพื่อมอบให้หลินเมิ้งหยา