เล่มที่ 5 บทที่ 145 หลังการตายของเยว่ถิง

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

พระอาทิตย์ตกลงที่ด้านหลังภูเขา ท้องฟ้าทางทิศตะวันออกเริ่มจางลง

  บนเตียง หลินเมิ้งหยาดื่มยาไปแล้วสองครั้ง ดื่มน้ำแกงไปอีกเล็กน้อย

  ทว่า นางยังคงนอนอยู่บนเตียง

  ทุกชั่วโมง ป๋ายซ่าวและป๋ายจีจะเข้ามาเปลี่ยนที่นอนให้กับหลินเมิ้งหยา

  และเช็ดตัวของนางตามคำสั่งของหมอหลวง

  อดหลับอดนอนตลอดคืน ในตำหนักหลิวซิน นอกจากอาเสว่และหมาป่าน้อยที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ทุกคนล้วนไม่ยอมออกห่างจากเตียงของหลินเมิ้งหยาแม้เพียงก้าวเดียว

  “ไข้ของนายหญิงลดลงแล้ว”

  ป๋ายจื่อยื่นมือขึ้นไปอังหน้าผากของหลินเมิ้งหยา ก่อนจะร้องออกมาด้วยความดีใจ

  ป๋ายจีและป๋ายซ่าวที่ฟุบหลับอยู่ข้างเตียงรีบกะพริบตา ก่อนจะเข้าไปแตะหน้าผากของหลินเมิ้งหยา

  พวกนางสบตากัน ก่อนจะร้องออกมาด้วยความดีใจ

  “ไข้ลดแล้ว ไข้ลดแล้ว”

  สาวใช้ทั้งสี่กอดกันร้องไห้ นี่เป็นข่าวดีข่าวแรกภายในระยะเวลาห้าวัน

  หัว…ปวดหัวจัง

  หลินเมิ้งหยาสะลึมสะลือ สติเริ่มกลับมา

  เหมือนท้องฟ้ากำลังหมุนติ้ว

  แม้แต่การเคลื่อนไหวที่ง่ายที่สุดอย่างการลืมตายังทำได้ยากเย็น

  ร่างกายเสมือนถูกเกวียนบรรทุกทับ ความเจ็บปวดแล่นพล่านไปทั่วทุกอณู

  สมองมีเพียงความมืดมิด ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานขนาดไหน ดวงตาของหลินเมิ้งหยาจึงเปิดออกเล็กน้อย

  “น้ำ…”

  ส่งเสียงแหบแห้ง ร่างกายอ่อนแรง ขณะเดียวกัน หัวใจของทุกคนกลับมาเต้นเป็นปกติอีกครั้ง

  “ฟื้นแล้ว นายหญิงฟื้นแล้ว หิวน้ำใช่หรือไม่เจ้าคะ ข้าจะไปเอา จะไปเอาเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”

  ป๋ายจื่อร้องไห้จนไม่มีน้ำตาอีกต่อไป นางรีบวิ่งไปเทน้ำให้หลินเมิ้งหยา

  หลินเมิ้งหยาที่เพิ่งจะลืมตารู้สึกว่าร่างกายของตนเองไร้ซึ่งเรี่ยวแรง

  ป๋ายซ่าว ป๋ายจี ป๋ายซู ชิงหู หลินจงอวี้

  ทุกคนล้วนอยู่ที่นี่

  ยกเว้นเขา

  นางไร้ซึ่งเรี่ยวแรงเอ่ยถาม หลินเมิ้งหยาจิบน้ำเข้าไปครึ่งแก้วเล็กหลังจากถูกป๋ายจื่อพยุง จากนั้นก็หลับไปอีกครั้ง

  “หมอหลวง ไข้ของนายหญิงลดลงแล้ว นางยังฟื้นแล้วด้วย ท่านลองตรวจดูหน่อยเถิดว่ายังมีปัญหาอะไรหรือไม่”

  ทั้งตำหนักหลิวซินล้วนดีอกดีใจ

  หลินจงอวี้ส่งคนไปตามหมอหลวงมา ทุกคนหันมามองเขา สายตากระตือรือร้น แม้แต่หมอหลวงผู้มากประสบการณ์ยังหน้าร้อนผ่าว

  ตรวจจับชีพจร ก่อนจะใช้มือลูบเคราของตนเอง

  “พระชายาพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่เพราะมีแผลใจ กอปรกับยาพิษแปลกประหลาดในร่างกาย ดังนั้นพระองค์จึงควรพักผ่อนให้มาก”

  คำพูดของหมอหลวงทำให้คนในตำหนักหลิวซินรู้สึกคึกคักขึ้นมา

  ในที่สุดก็ได้ยินคำว่าหลินเมิ้งหยาจะไม่จากพวกนางไปไหน

  บรรยากาศคึกคักเหมือนช่วงวันตรุษจีน ในที่สุดเมฆครึ้มที่ลอยเหนือตำหนักหลิวซินก็สลายหายไป

  “เจ้าเด็กน้อย ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องฟื้น”

  มีชีวิตอยู่มานานหลายปี เขาไม่เคยรู้สึกขอบคุณเทพเจ้าด้วยความจริงใจเหมือนอย่างครั้งนี้มาก่อน

  โชคดีที่เขายังเหลือเวลาอีกสามปีในการคุ้มครองดูแลหลินเมิ้งหยา

  เขาเงยหน้า ได้เห็นสาวใช้ทั้งสี่ที่ไม่ได้หลับไม่ได้นอนเดินโซเซไปทางเตียงของหลินเมิ้งหยาก่อนจะล้มลง

  มุมปากหยักยิ้มเล็กน้อย

  พวกนางเปรียบเสมือนหัวใจของหลินเมิ้งหยา

  เขาอุ้มร่างพวกนางกลับไปวางไว้ที่ห้องนอนของแต่ละคน ก่อนจะพาหลินจงอวี้ที่ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงกลับไปยังเรือนหลังเล็กของเขา

  ห้องนอนจึงเงียบสงบลง นอกจากหลินเมิ้งหยาที่กำลังหลับใหลแล้ว ก็ยังมีชิงหูที่อยู่เป็นเพื่อน

  “ดีจริง ๆ เด็กพวกนั้นเอะอะโวยวายน่ารำคาญ เจ้าเด็กน้อย ในที่สุดพวกเราสองคนก็ได้มีโอกาสอยู่กันตามลำพังเสียที”

  หยิบผ้าที่ยังอุ่นอยู่ขึ้น ก่อนจะเช็ดลงบนใบหน้าของหลินเมิ้งหยาอย่างเบามือ

  “เจ้าเด็กน้อย ข้ารู้ว่าเจ้าได้ยินเสียงของข้า ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังเจ็บปวด คุณหนูเยว่ถิงต้องตายอย่างทรมาน แต่เจ้าจะทำร้ายตัวเองเช่นนี้ไม่ได้”

  เขาเป็นคนไร้ความรู้สึก หลังจากที่เขาได้เห็นนรกที่แท้จริงบนโลกใบนี้ เขาไม่เคยใส่ใจต่อความทรมานของผู้อื่นอีกเลย

  ส่วนการตายของเยว่ถิง เขาเพียงแต่รู้สึกเสียดายเท่านั้น

  ทว่า เมื่อเขาได้เห็นนางกระอักออกมาเป็นเลือด นับเป็นครั้งแรกที่หัวใจของเขารู้สึกเสมือนถูกกรีด

  “เจ้าเด็กน้อย ต่อจากนี้ไปห้ามทำให้ข้าตกใจแบบนั้นอีก เข้าใจหรือไม่? ”

  ส่งเสียงอ่อนโยน มิได้มีท่าทางเหลาะแหละเหมือนแต่ก่อน แต่มันกลับเปี่ยมไปด้วยความเอ็นดู

  หยดน้ำตารินไหลลงมาจากหางตาของหลินเมิ้งหยา

  นางลืมตาขึ้น ดวงตาคู่สวยหม่นหมอง หยดน้ำตาพรั่งพรูออกมามากมาย ชิงหูรู้สึกเจ็บปวดใจเหลือเกิน

  “พี่เยว่ถิง…”

  ชิงหูโอบกอดหลินเมิ้งหยา ส่งมอบความเข้มแข็งและอ่อนโยนผ่านทางอ้อมกอด ก่อนจะส่งเสียงแผ่วเบาเพื่อปลอบโยน

  “เด็กดี ไม่ร้องแล้วนะ ข้าสัญญากับเจ้า ขอเพียงเจ้าต้องการ ไม่ว่าใครหน้าไหน ข้าก็จะฆ่าให้หมดดีหรือไม่? ”

  เป็นนักฆ่ามานานหลายปี ไม่ว่าจะเอ่ยอะไรออกมาก็ล้วนเกี่ยวข้องกับการนองเลือด

  หลินเมิ้งหยากลับร้องไห้ประหนึ่งเจ้าแม่น้ำตา มือเล็กจับเสื้อของเขาแน่นไม่ยอมปล่อย

  “เจ้าเด็กน้อย น้ำตาเจ้าลวกตัวข้าหมดแล้ว”

  “สมน้ำหน้า”

  ชิงหูหยักยิ้มแปลกประหลาด ทว่าไม่ดันตัวนางออกไป ซ้ำยังกอดนางแน่นมากกว่าเดิม

  ร้องไห้อยู่พักใหญ่กว่าหลินเมิ้งหยาจะปรับอารมณ์ได้และกลับมาสงบนิ่งดังเดิม

  นอนหลับอีกทั้งวัน เมื่อถึงเวลาค่ำ จิตใจของนางดีขึ้นเล็กน้อย แม้จะยังตกอยู่ในอาการโศกเศร้าก็ตาม

  เรื่องของสกุลเยว่เปรียบเสมือนเข็มอาบยาพิษที่กำลังทิ่มแทงคนในตำหนักหลิวซิน

  ทุกคนระมัดระวังเป็นอย่างมากในการพูดถึงเรื่องนี้ เพื่อป้องกันมิให้หลินเมิ้งหยากลับมาเสียใจอีก

  กินโจ๊กที่ป๋ายจีทำเองกับมือ ในที่สุดหลินเมิ้งหยาก็กลับมาอยากอาหารอีกครั้ง

  กินโจ๊กเข้าไปถ้วยใหญ่ ใบหน้าที่เคยขาวซีดกลับมามีสีเลือดอีกครั้ง

  นั่งอยู่บนเตียงนอน หลินเมิ้งหยากวาดสายตาไปทั่วห้อง ก่อนจะกระซิบถาม

  “หาร่างของพี่เยว่ถิงเจอแล้วหรือยัง? ”

  ทุกคนตกอยู่ในอาการเหม่อลอยเพราะคำพูดของหลินเมิ้งหยา

  ไม่มีใครกล้าตอบ

  “เจอแล้ว ตอนนี้อยู่ที่บ้านสกุลเยว่”

  ชิงหูยืนอยู่ข้างกายของหลินเมิ้งหยา เอ่ยตอบคำถาม ทุกคนถลึงตาใส่เขา

  ตอนนี้หลินเมิ้งหยาเพิ่งจะฟื้นขึ้นมา ถ้าถูกจี้จุดอีกจะทำเช่นไร?

  “ป๋ายจีไปเตรียมเกี้ยวให้ข้า ป๋ายจื่อ พวกเรากลับบ้านสกุลหลินกัน”

  เมื่อได้ยินว่าหลินเมิ้งหยาจะออกจากบ้านทั้งที่เพิ่งฟื้น ทุกคนเริ่มร้อนใจ

  โดยเฉพาะป๋ายจื่อ นางรีบคลานเข้ามาหาหลินเมิ้งหยาทั้งใบหน้าเปื้อนน้ำตา

  “คุณหนู ข้าขอร้อง รักตัวเองหน่อยเถิดเจ้าค่ะ หากท่านทำเช่นนี้ ต่อให้ป๋ายจื่อตายไปก็ไม่มีหน้าไปพบฮูหยินหรอกนะเจ้าคะ”

  ป๋ายจื่อส่งเสียงร่ำไห้ ทุกคนส่งสายตาวิงวอน

  หลินเมิ้งหยาขมวดคิ้วเข้าหากัน ก่อนจะส่ายหน้า

  “ไม่ ข้าไม่วันยอมให้พี่เยว่ถิงต้องมีมลทิน”

  ตามประเพณีเดิม หากลูกสาวตายไปก่อนที่จะแต่งงาน พวกนางจะไม่สามารถถูกฝังในหลุมศพของเหล่าบรรพบุรุษได้

  โดยเฉพาะพี่เยว่ถิงที่เจอกับเหตุการณ์เช่นนั้น นางต้องเจอกับคำดูถูกและข้อครหามากมาย

  ซูเหม่ยหยุนสามารถทำให้พี่เยว่ถิงตายได้ เชื่อว่า นางสามารถฝังพี่เยว่ถิงโดยไม่จัดพิธีได้เช่นกัน

  หากมิใช่เพราะพี่เยว่ถิงรักพี่ชายมาก บางทีนางอาจจะไม่คิดสั้นเช่นนั้น

  หรือบางที หากความสัมพันธ์ระหว่างนางกับพี่เยว่ถิงไม่ดีเช่นนี้ คนพวกนั้นคงไม่ลงมือทำร้ายหญิงสาวผู้น่าสงสารคนนี้

  ไม่ว่าจะพูดอย่างไร คนสกุลหลินล้วนติดหนี้พี่เยว่ถิงทั้งสิ้น

  “นายหญิง แต่ร่างกายของท่าน…”

  ป๋ายจีส่งเสียงขึ้นด้วยความกังวล ทว่าชิงหูกลับก้มตัวลงแล้วใส่รองเท้าให้กับหลินเมิ้งหยา

  “ข้าพาเจ้าไปเอง”

  ฉีกยิ้ม ชิงหูอุ้มหลินเมิ้งหยาขึ้น

  เขารู้จักหลินเมิ้งหยาดี หากไม่ปล่อยให้นางไป นางคงทรมานเสียยิ่งกว่าตาย

  “พวกเราเองก็จะไปด้วย”

  สาวใช้ทั้งสี่เดินตามหลังชิงหู

  ในเมื่อไม่อาจห้ามหลินเมิ้งหยาได้ เช่นนั้นพวกนางจะคอยคุ้มครองดูแลนางอยู่ข้างกาย

  ทันทีที่เดินออกจากประตู หลินเมิ้งหยาดันมือชิงหูออกเบา ๆ

  ป๋ายซู ป๋ายซ่าว รีบเข้ามาพยุงร่างหลินเมิ้งหยา

  นางกัดฟัน เชิดหน้าขึ้น

  ทุกย่างก้าว ล้วนโซซัดโซเซ ทุกย่างก้าว ล้วนทำให้นางหน้ามืดตาลาย

  ระหว่างทาง ข้าทาสบริวารล้วนถวายคำนับหลินเมิ้งหยา

  นางพยายามบังคับตัวเองให้ดูเป็นปกติ เพราะนางอยากให้คนเหล่านั้นได้เห็นว่าหลินเมิ้งหยาคนนี้ยังไม่แพ้!

  หญิงสาวเดินออกไปจากจวนด้วยตนเอง

  ด้านนอก รถม้าหรูหราสวยงามคันหนึ่งจอดรออยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว

  “พี่สาว ให้ข้าพยุงท่านเถิด”

  หลินจงอวี้ยืนคอยท่าอยู่บนรถม้านานแล้ว เขารับมือนางจากสาวใช้ทั้งสอง

  มือเล็กทั้งสองข้างนุ่มนิ่มและอบอุ่น ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ขอบตาของหลินจงอวี้พลันเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา

  พี่สาวผู้แข็งแกร่งและงดงามของเขากลายเป็นคนอ่อนแอขนาดนี้เชียวหรือ

  “เสี่ยวอวี้ ข้าไม่เป็นไร อย่าร้องไห้”

  ภายในรถ หลินเมิ้งหยาพิงร่างหลินจงอวี้ ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้กับเขา

  “พี่สาว พี่สาว เสี่ยวอวี้ไม่ได้เรื่อง เสี่ยวอวี้ไม่อาจปกป้องพี่สาวได้”

  หากเขามีมีอำนาจมากเพียงพอ เขาคงปกป้องดูคนที่พี่สาวใส่ใจได้

  เช่นนั้น พี่สาวจะได้มีแต่รอยยิ้ม

  ทว่าเขาในเวลานี้กลับอ่อนแอเหลือเกิน

  “เด็กโง่ พวกเราทุกคนล้วนต้องถูกกระตุ้นก่อนจึงจะเติบโต ยิ่งไปกว่านั้น อีกไม่นานร่างกายของข้าก็จะกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม เด็กดี อย่าทำให้คนอื่นคิดว่าพี่สาวของเจ้าป่วยหนัก”

  เขาพยักหน้าลง หลินจงอวี้ตัดสินใจ

  อีกเดี๋ยวเขาจะออกคำสั่งให้หายาที่ดีที่สุดมาบำรุงร่างกายของหลินเมิ้งหยา

  จะต้องทำให้พี่สาวอ้วนถ้วนสมบูรณ์ให้ได้

  สาวใช้ทั้งสี่นั่งอยู่ภายในรถม้า ส่วนชิงหูไล่คนขับรถลงไปและขับพาหลินเมิ้งหยาไปด้วยตนเอง

  รอบรถม้า หลินขุ๋ยพาองครักษ์ร่างกำยำสิบหกคนติดตามไปปกป้องดูแลหลินเมิ้งหยา

  ด้านหลัง รถม้าสองคันที่ถูกบรรจุสิ่งของมีค่าเต็มคันรถขับตามมา

  หลินจงอวี้เตรียมของมีค่าเหล่านั้นเอาไว้เพื่อมอบให้หลินเมิ้งหยา