เล่มที่ 5 บทที่ 146 ครอบครัวสกุลหลิน

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

รถม้าแน่นเอี๊ยดเดินทางออกจากจวนอวี้ โลดแล่นบนถนนใหญ่ ก่อนจะตรงมาที่บ้านสกุลหลินซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองหลวง

  แม้หลินมู่จือจะเป็นเจ้าตระกูล ทว่าสกุลหลินยังมีผู้นำคนอื่นที่ยิ่งใหญ่เหลืออยู่

  เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเกียรติยศของวงศ์ตระกูล ปกติแล้วจะมีผู้อาวุโสทั้งสามเป็นคนตัดสินใจ

  โชคดีที่หลินมู่จือเป็นคนอบอุ่นและจิตใจกว้างขวาง มารดาของหลินเมิ้งหยาเองก็อ่อนโยนและจิตใจโอบอ้อมอารี

  ดังนั้น ผู้อาวุโสทั้งสามล้วนดูแลหลินเมิ้งหยาเป็นอย่างดี

  แน่นอนว่านั่นคือเรื่องราวก่อนที่ซ่างกวนชิงจะแต่งงานเข้ามา

  ในห้องโถงของเหล่าบรรพบุรุษ ผู้อาวุโสนั่งรวมตัวกัน

  นั่งอยู่ด้านบนคือเหล่าผู้อาวุโสที่มีอายุยืนยาว อยู่มานานกว่าสามรุ่น

  ปกติผู้อาวุโสสกุลหลินมักจะอาศัยอยู่ที่บ้านของตนเอง ทว่าวันนี้พวกเขากลับมารวมตัวกัน

  นั่นก็เพราะ หลินเมิ้งหยาที่เคยเป็นคนสติฟั่นเฟือน ตอนนี้กลายเป็นชายาอวี้ไปแล้ว

  “มาแล้ว มาแล้ว ผู้อาวุโสทั้งสาม ชายาอวี้เสด็จแล้ว”

  ทันทีที่รถม้าของหลินเมิ้งหยาปรากฏขึ้นบนถนนฝั่งตะวันตก เสี่ยวซีก็รีบร้อนร้องประกาศ

  “ตื่นเต้นจนกลายเป็นอะไรไปแล้วก็ไม่รู้ อย่าทำให้พวกข้าขายหน้า ตามมา พวกเราไปรับพระชายากัน”

  หากมองในแง่ของความอาวุโส หลินเมิ้งหยาควรเรียกพวกเขาทั้งสามว่าท่านปู่

  แต่เพราะตอนที่ยังทำงานในวังหลวง พวกเขาเป็นเพียงขุนนางระดับสี่ ดังนั้นสถานะของพวกเขาจึงด้อยกว่าหลินเมิ้งหยามาก

  ทุกคนยืนอยู่ด้านหลังผู้อาวุโสทั้งสามเพื่อรอต้อนรับหลินเมิ้งหยา

  “ข้าน้อยหลินเล่ยขอต้อนรับพระชายา”

  ผู้อาวุโสหลินเล่ยเคยเป็นทหารในกองทัพ อีกทั้งยังเป็นคนซื่อตรงและเป็นลุงแท้ ๆ ของหลินมู่จือ

  กอปรกับอายุที่มากกว่าผู้อื่นและสถานะที่สูงที่สุด ดังนั้นเขาจึงเป็นตัวแทนของบ้านสกุลหลินในการต้อนรับหลินเมิ้งหยา

  “ทุกท่านได้โปรดลุกขึ้นเถิด ล้วนเป็นญาติมิตรกันทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องมากพิธี”

  เสียงหวานเสมือนคนไร้เรี่ยวแรงดังขึ้นจากภายในรถม้า ก่อนที่แขนสีขาวราวหิมะจะแหวกผ้าสีฟ้าเข้มออก

  ต่อมา สาวใช้หน้าตางดงามสี่คนเดินลงจากรถม้าแล้วยืนเรียงเป็นสองแถว

  “ไม่ได้เจอกันหลายปี มิรู้ว่าผู้อาวุโสทั้งสามยังสบายดีหรือไม่? ”

  ภายในรถม้า ไม่นานหญิงสาวหน้าตางดงามคนหนึ่งเดินลงมา

  ใบหน้าเรียวเล็กโดดเด่นงดงาม แม้สีหน้าจะขาวซีด แต่มิได้ทำให้ความสง่างามลดลงไปเลย

  สาวใช้พยุงร่างหลินเมิ้งหยาลงจากรถม้า

  “ทุกคนสบายดีพ่ะย่ะค่ะ ทำให้พระชายาต้องเป็นกังวลแล้ว เชิญด้านในเถิด”

  หลินเล่ยเอ่ยด้วยความเกรงใจ ก่อนจะพาพวกหลินเมิ้งหยาเข้าไป ปกติแล้วไม่ค่อยมีใครมาเยี่ยมที่นี่นัก

  แต่มักมีคนมาทำความสะอาด ดังนั้น แม้บ้านหลังนี้จะเก่า แต่ยังคงสมบูรณ์ดี

  พวกเขาเดินผ่านสวนดอกไม้เข้ามา จนกระทั่งมาถึงห้องโถงบรรพชน

  ขณะนี้ไร้ซึ่งคนนอก หลินเมิ้งหยาจึงโค้งคำนับผู้อาวุโสทั้งสามตามกฎระเบียบ

  “หลานหลินเมิ้งหยาขอคำนับบรรพบุรุษและผู้อาวุโสทั้งสาม”

  หลินเมิ้งหยาก้มตัวลง ความพึงพอใจถูกวาดลงบนดวงตาของผู้อาวุโสทั้งสาม

  มิใช่วัวลืมตีน แม้นางจะเป็นถึงพระชายา แต่ยังคงเคารพกฎระเบียบของสกุลหลิน

  ดูเหมือนลูกสาวของมู่จือจะถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี

  ตอนที่ยังอยู่บนรถม้า สาวใช้ทั้งสี่ช่วยกันหวีผมให้หลินเมิ้งหยา

  ชิงหูทนไม่ได้ที่ต้องเห็นร่างกายอ่อนแอของหลินเมิ้งหยา ดังนั้นเขาจึงหาโสมมาให้นางกิน

  เมื่อกินโสมลงท้อง แขนและขาของหลินเมิ้งหยาก็ไม่สั่นเทิ้มอีกต่อไป

  “ผู้อาวุโสทั้งสามได้โปรดอภัย หลังจากเมิ้งหยาออกเรือน เมิ้งหยาควรมาไหว้บรรพบุรุษ แต่เพราะงานในจวนมีค่อนข้างมาก หย๋าเอ๋อร์เพิ่งเคยจัดการงานเหล่านั้นเป็นครั้งแรก ดังนั้นจึงยังขาดตกบกพร่องอยู่บ้าง ผู้อาวุโสได้โปรดอภัยให้เมิ้งหยาด้วย”

  หลินเมิ้งหยาคุกเข่าอยู่บนพื้น ท่าทางเช่นนี้ประหยัดแรงได้มากกว่าการยืน

  แต่ในสายตาของผู้อาวุโสทั้งสาม พวกเขารู้สึกว่านางเคารพนับถือพวกเขาอย่างแท้จริง

  “เจ้าเด็กคนนี้นี่ พวกเราอายุมากขนาดนี้แล้วแท้ ๆ จะไม่รู้เรื่องพวกนั้นได้อย่างไร ลุกขึ้นเถิด พื้นมันเย็น”

  หลินเล่ยนั่งตรงกลาง ขณะเดียวกันเขารู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก

  ทว่า หลินเมิ้งหยาส่ายหน้า สีหน้ามุ่งมั่น

  “ที่มาในครั้งนี้ก็เพราะมีเรื่องต้องการขอร้องผู้อาวุโสทั้งสาม”

  ผู้อาวุโสทั้งสามสบตากัน หลินเมิ้งหยาเป็นถึงพระชายา หรือนางมีเรื่องที่ต้องการให้พวกเขาออกหน้าให้อย่างนั้นหรือ?

  “ลองพูดมาก่อนเถิด แม้อำนาจของพวกเราจะมีขีดจำกัด แต่ถ้าหากช่วยได้ พวกเราจะช่วย”

  ผู้อาวุโสรีบตอบตกลง หลินเมิ้งหยาไม่รู้สึกประหลาดใจเลย

  “ข้าอยากนำป้ายสถิตวิญญาณของพี่เยว่ถิงมาไว้ที่สุสานบรรพชนของสกุลหลิน โดยให้นางได้เข้ามาในฐานะลูกสะใภ้และฝังร่างของนางไว้ในสุสานสกุลหลิน”

  “อะไรนะ? ”

  คำพูดของหลินเมิ้งหยาเปรียบเสมือนราดน้ำมันเข้ากองไฟ

  ทุกคนในเมืองหลวงรู้เรื่องการตายของเยว่ถิง

  มีคนบอกว่านางตายทั้งที่ยังเป็นสาวพรหมจรรย์

  บางคนบอกว่าเพราะเรื่องน่ารังเกียจในสิ่งที่นางได้กระทำ ดังนั้นสกุลเยว่จึงทอดทิ้งนาง

  สรุปแล้ว มีทั้งคำพูดที่ดีและไม่ดี

  ส่วนสกุลหลินที่ได้ทำการหมั้นหมายกับสกุลเยว่เอาไว้ ต้องแบกรับผลกระทบจากข่าวลือเหล่านี้

  สีหน้าของผู้อาวุโสทั้งสามเปลี่ยนเป็นไม่น่ามอง

  หลินเมิ้งหยาเป็นพระชายา แต่คำขอเช่นนี้ก็ยากที่จะอนุญาต

  หลินเล่ยเงียบไป ก่อนจะส่งเสียงตัดทอนกำลังใจไม่ให้พูดต่อ

  “ไร้สาระ! ร่างกายของเยว่ถิงมีมลทิน อีกทั้งยังถูกคนทั้งเมืองประณาม หรือเจ้าเองก็อยากให้สกุลหลินของพวกเราต้องแปดเปื้อนไปด้วย? เมิ้งหยา พวกเราไม่คิดเอาเรื่องเจ้าเพราะเห็นว่าเจ้าเป็นลูกสาวของมู่จือ แต่อย่าได้เอ่ยเรื่องนี้ออกมาอีก”

  เสียงเคร่งขรึม เขาเป็นตัวแทนในการแสดงเจตนารมณ์ของสกุลหลิน

  หลินเมิ้งหยาเดาไว้อยู่แล้ว ดังนั้น นางจึงโขกหน้าผากกับพื้น

  “ข้ารู้ว่าผู้อาวุโสหมายความว่าอย่างไร ข้ารู้ดีที่สุดว่าการขอร้องเช่นนี้เป็นสิ่งที่มากเกินไป แต่ว่า…ท่านปู่ นับตั้งแต่วันที่พี่เยว่ถิงและพี่ชายหมั้นหมายกัน นั่นก็เท่ากับว่าทั้งสองตระกูลได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกันแล้วมิใช่หรือ? ”

  ตอนนั้นความรู้สึกที่พี่ชายมีต่อพี่เยว่ถิงเป็นเพียงความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง

  แต่เพื่อผลประโยชน์ของทั้งสองตระกูล พวกเขาเพิกเฉยต่อการต่อต้านของพี่ชายและทำการหมั้นหมายจนสำเร็จ

  แม้ว่าต่อมาความอ่อนโยนของพี่เยว่ถิงจะเอาชนะใจของพี่ชายได้ก็ตาม

  ตอนนั้นก็เหมือนกัน เพื่อผลประโยชน์แล้ว พวกผู้อาวุโสบีบบังคับให้ท่านพ่อแต่งงานกับซ่างกวนชิง

  สิ่งนี้ได้กลายเป็นหนามยอกอกของพวกเขาเหล่านี้

  “ตอนนั้นก็คือตอนนั้น ตอนนี้ก็คือตอนนี้ หากมิได้เกิดเรื่องน่ารังเกียจกับเยว่ถิง พวกเราอาจจะพิจารณายินยอมให้ก็ได้ แต่ตอนนี้…ไม่มีทาง”

  คำพูดของหลินเล่ยได้รับความเห็นชอบจากคนที่เหลือ

  ทว่า ในตอนนั้นเองหลินเมิ้งหยามิได้แสดงท่าทางนอบน้อมอีกต่อไป สาวใช้เข้ามาพยุงร่างของนางให้ลุกขึ้น

  “สกุลหลิน? ฮึ น่าขันนัก”

  หญิงสาวที่เคยมีท่าทางนอบน้อมถ่อมตนเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ เสียงเย็นยะเยือกเจือไว้ซึ่งความเย่อหยิ่ง

  “ตอนนั้นพวกท่านบังคับให้ท่านพ่อของข้าแต่งงานกับซ่างกวนชิง โดยไม่สนใจใยดีหลานสาวผู้น่าสงสารอย่างข้าที่ถูกซ่างกวนชิงทรมาน ผู้อาวุโส ท่านยังจำคำขอร้องที่ท่านแม่ของข้าร้องขอต่อพวกท่านในวันที่นางตายได้หรือไม่? ”

  เพียงได้ยินหลินเมิ้งหยาเอ่ยถึงมารดาผู้ให้กำเนิด สีหน้าของผู้อาวุโสก็เปลี่ยนไป

  ผู้อาวุโสคนที่สอง หลินฉงโบกมือไล่

  “เอาล่ะ พวกเจ้าออกไปก่อน”

  เหล่าผู้คนที่พยายามเงี่ยหูฟังความลับของต้นตระกูลทั้งหลายจำใจเดินออกไป

  “คำขอร้องของแม่เจ้า พวกเรายังจำได้ขึ้นใจ เพียงแค่…เรื่องนี้กับเรื่องนั้นมันคนละเรื่องกัน มิอาจเอามาปะปนกันได้ไม่”

  หลินเมิ้งหยาลุกขึ้นจากเก้าอี้ แค่นยิ้มเย็นชา สายตาจ้องมองพวกเขาเหล่านั้น

  “หลังจากที่แม่ข้าตาย ข้าพบสมุดบัญชีเล่มหนึ่งในห้องของท่านแม่ ตอนนั้นข้ายังเด็ก ไม่รู้ว่าตัวเลขเหล่านั้นคืออะไร น่าเสียดาย ข้ายังคงจดจำมันได้ พอโตขึ้นมาจึงได้รู้ว่าสมุดเล่มนั้นเขียนอะไรเอาไว้”

  เพียงได้ยินคำว่าสมุดบัญชี ผู้อาวุโสทั้งสามก็เริ่มตื่นตระหนก

  แม่ของหลินเมิ้งหยาเป็นคนฉลาดเฉลียว

  แน่นอนว่านางเป็นคนควบคุมดูแลบ้านสกุลหลิน

  แม้แต่ทรัพย์สินของพวกเขาทั้งสามก็เป็นทรัพย์สินส่วนรวม แม่ของหลินเมิ้งหยารู้ดีที่สุด

  “ที่ร้านผ้าไหมถนนตะวันตก วันที่ยี่สิบแปดเดือนธันวาคม เงินในสมุดบัญชีส่วนรวมถูกเบิกไปสามร้อยยี่สิบตำลึงเพื่อซ่อมแซมบ้าน ที่ยุ้งข้าวถนนต้าเหลียง วันที่สามสิบเดือนพฤษภาคม มีการขอเบิกเงินสนับสนุนผู้ประสบภัยจำนวนห้าร้อยยี่สิบ…”

  “หยุด ทั้งหมดล้วนเป็นข้อมูลเก่า แม้จะเปิดออกมาดูก็มิอาจหาหลักฐานได้”

  หลินฉงรีบร้องห้าม สีหน้าเย็นชา

  “ถูกต้อง พวกเราไม่อาจหาหลักฐานจากข้อมูลในสมุดบัญชีเก่าได้ อีกทั้งคงมิเคยมีใครไม่เคยทำความผิด แต่ว่า…ชีวิตคนเราไม่แน่นอน ใครจะรับประกันได้ว่าความลับจะไม่รั่วไหล ข้าคิดว่าคงไม่มีใครอยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ใช่หรือไม่?”

  คำขู่ของหลินเมิ้งหยาทำให้สีหน้าของคนทั้งสามเปลี่ยนไปจนยากจะคาดเดา

  แต่เมื่อพวกเขาได้เห็นท่าทางมุ่งมั่นของหลินเมิ้งหยา เกรงว่า พวกเขาคงกลายเป็นปลาที่ติดเบ็ดนานแล้ว

  เมื่อปรับอารมณ์ให้ใจเย็นลง สุดท้ายหลินเล่ยเป็นตัวแทนในการพูด

  “เมิ้งหยา เจ้าเป็นลูกสาวของสกุลหลิน หากเรื่องนี้ถูกแพร่ออกไปและทำให้วงศ์ตระกูลต้องเสื่อมเสีย เกรงว่า เจ้าเองก็คงไม่มีหน้าให้แบกอีกต่อไป สู้พวกเรามาหาทางคิดแก้ปัญหาเรื่องนี้กันดีหรือไม่? ”

  ในที่สุดก็เริ่มกลัวแล้วสินะ หลินเมิ้งหยาเก็บใบหน้าเย็นชาของตนเอง

  เรื่องนี้…นางจะบีบคั้นพวกเขาไม่ได้

  “ได้ เมิ้งหยามิเคยคิดแทงข้างหลังพวกท่าน ขอพวกท่านได้โปรดอภัยด้วย”

  เมื่อเห็นว่าหลินเมิ้งหยายอมถอยหนึ่งก้าว ทั้งสามจึงผ่อนอารมณ์ตาม

  หลังจากปรึกษากัน สุดท้ายผู้อาวุโสทั้งสามยินยอมให้ร่างของเยว่ถิงฝังอยู่ในอาณาเขตของสกุลหลินในบริเวณที่ห่างออกไปเล็กน้อย

  เยว่ถิงสามารถเข้ามาอยู่ในสุสานบรรพชนของสกุลหลินได้ แต่ป้ายวิญญาณจะต้องถูกคลุมผ้าสีแดงเอาไว้ อีกทั้งคนรุ่นหลังจะไม่มีการจุดธูปไหว้ใด ๆ ทั้งสิ้น

  ส่วนชื่อบนสุสาน สุดท้ายพวกเขายอมทำตามคำขอของหลินเมิ้งหยา

  “ภรรยาของหลินหนานเซิง”

  แต่ไม่มีใครรู้เลยว่า

  ระหว่างที่กำลังปรึกษากันนั้น หลินเมิ้งหยาทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจ

  ข่มขู่…เป็นเพียงวิธีการตื้น ๆ เท่านั้น สุดท้ายหลินเมิ้งหยาใช้สิ่งของล้ำค่าในการปิดปากเหล่าผู้อาวุโส…