ตอนที่ 132 หลวงจีนศึกษานิยายรักอย่างหนัก

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

ประตูโรงเรียนที่คุ้นเคย ถนนคุ้นเคย ต้นไม้ดอกไม้ สำคัญคือยังมีคนที่คุ้นเคย!

“ที่นี่คือ?” หลู่ซวงซวงหันไปมอง ดอกบัวหายไปแล้ว เธอมาอยู่กลางเมือง

“ซวงซวงมาแล้วเหรอ” หานเซี่ยวกั๋วเดินมา มองหลู่ซวงซวงด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง

หลู่ซวงซวงมองภาพนี้น้ำตาพลันไหลพราก ถาม “เซี่ยวกั๋ว ทุกอย่างเป็นของจริงเหรอ?”

“จริงปลอมสำคัญเหรอ? ที่สำคัญคือพวกเราพบกันไม่ใช่หรือ?” หานเซี่ยวกั๋วถาม

หลู่ซวงซวงพยักหน้า ขยับเข้าไปในอ้อมกอดหานเซี่ยวกั๋วแล้วถามเบาๆ “เซี่ยวกั๋ว คุณไปแล้ว ฉันเหงามาก กลัวมาก…ภาระหนักมาก เหมือนฟ้าถล่มลงมาเลย…เหนื่อย”

“ผมรู้ ผมเห็นความลำบากของคุณแล้วล่ะ แต่ว่าซวงซวง คุณเคยรับปากผมแล้วนี่ว่าจะดูแลเสียวหมี่ลี่ให้ดี ให้เธอเติบโตแข็งแรง แล้วตัวเธอก็ต้องมีความสุขด้วยไม่ใช่เหรอ?” หานเซี่ยวกั๋วกล่าว

หลู่ซวงซวงตอบด้วยความขมฝาด “ฉันก็อยากให้เป็นแบบนั้น แต่ฉันทำไม่ได้…ฮือๆ…คุณไม่อยู่ข้างฉัน ฉันเสียใจ…”

“มา” หานเซี่ยวกั๋วจูงมือหลู่ซวงซวงเดินมายังใต้ต้นไม้ นั่งลงแล้วเอ่ยเบาๆ “รู้ไหม? ผมไม่เคยไปจากคุณเลย ผมอยู่ข้างคุณตลอด จริงๆ แค่คุณสงบใจลงจะรู้สึกถึงผม ผมคือดาวดวงหนึ่งบนฟ้า มองคุณไปตลอดกาล ปกป้องคุณ คุณจะไม่เหงา ไม่มีวันตลอดกาล”

หลู่ซวงซวงถาม “จริงเหรอ?”

หานเซี่ยวกั๋วยิ้ม “ผมรู้ว่าคุณไม่เชื่อพุทธศาสนา ไม่เชื่อผีสางเทวดา แค่คุณน่าจะเข้าใจนะว่าจิตใจคนแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างไร้ขีดจำกัด คุณเก็บผมไว้ในใจ ผมจะอยู่กับคุณตลอดไป แต่ว่าถ้าคุณยังเจ็บปวด นั่นจะไล่ผมไป ฝังผมทั้งเป็น คุณจะให้ผมอยู่กับคุณไหม? ถ้าคุณเจ็บผมก็เจ็บ ภาระที่คุณแบกก็กดทับตัวผมเหมือนกัน ซวงซวง เพื่อคุณ เพื่อผม เพื่อหมี่ลี่ เพื่อครอบครัวเรา คุณจะต้องมีความสุขรู้ไหม?”

“คุณ…คุณพูดจริงๆ เหรอ?” หลู่ซวงซวงเบิกตาโตมองหานเซี่ยวกั๋ว

หานเซี่ยวกั๋วมองดวงตาหลู่ซวงซวงอย่างแน่วแน่ “จริง! จริงเสียยิ่งกว่าจริงอีก!”

“ฮ่าๆ…ฉันเชื่อคุณ คุณหลอกฉันแบบนี้มาทั้งชีวิตแล้วนี่…” หลู่ซวงซวงโผไปในอ้อมกอดหานเซี่ยวกั๋ว หัวราะทั้งน้ำตา

แต่หลู่ซวงซวงไม่รู้ว่าตอนนี้ฟางเจิ้งใกล้จะบ้าแล้ว!

‘พอถึงเวลาต้องใช้ความรู้ดันมีไม่พอจริงๆ! ก่อนหน้านี้ทำไมไม่ดูละครรักเยอะๆ นะ…’ ฟางเจิ้งบ่นในใจ ใช้อภินิหารความฝันยามต้มข้าวฟ่างพลางหยิบมือถือออกมาค้นหารายการละครรักที่คล้ายๆ กับสถานการณ์ของหลู่ซวงซวงในตอนนี้ จากนั้นใส่บทพูดละครเข้าไปในความฝันหลู่ซวงซวง

ต้องใช้สมาธิจดจ่อกับหลายอย่างทำให้ฟางเจิ้งเหนื่อยจนเหงื่อเต็มหน้าผากไม่ว่า ที่ยิ่งกว่านั้นคือของพวกนี้ไม่มีอยู่ในความคิดเขาเลย!

ดีที่มีพระโพธิสัตว์เหนี่ยวนำ กระตุ้นความทรงจำเกี่ยวกับหานเซี่ยวกั๋วตรงส่วนลึกความทรงจำหลู่ซวงซวง หลอมรวมกับบทละครพูดคุยที่ฟางเจิ้งเพิ่งเรียนรู้มา รวมถึงผลเสริมความแกร่งของอภินิหารความฝันยามต้มข้าวฟ่างกับพระพุทธรูป เลยพอถูๆ ไถๆ ได้ผลตามที่ฟางเจิ้งต้องการ

ในที่สุดหลู่ซวงซวงก็คิดได้…ไม่ถือว่าเหนื่อยเปล่า!

หลายนาทีต่อมาหลู่ซวงซวงไม่ร้องไห้แล้ว แต่ฟางเจิ้งกลับตาแดง  ใช้กำลังวังชามากเกินไป! จะตายอยู่แล้ว! ภาวนาในใจไม่หยุด ‘ย่าแม่งเอ๊ย เธอรีบออกมาจากปมในใจสักที ไม่อย่างนั้นฉันจะมรณภาพแล้วนะ! ละครรักนี่มันเป็นพิษร้ายแรงมาก…’

สุดท้ายภายใต้การปลอบโยนของหานเซียวกั๋ว ในที่สุดหลู่ซวงซวงก็คิดได้ กลับมาสดใสอีกครั้ง เอ่ยด้วยความมั่นใจ “วางใจ ฉันจะให้คุณมีความสุขไปด้วย จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข! คุณจะได้อยู่ในใจฉันตลอดไป ไม่ว่าตอนไหน ไม่ว่าทุกอย่างนี้เป็นความฝันหรือความจริง ฉันเชื่อว่าคุณอยู่ในใจฉัน!”

หานเซี่ยวกั๋วอึ้ง

ฟางเจิ้งก็อึ้ง จากนั้นเข้าใจแจ่มแจ้งก่อนหัวเราะเสียงดังลั่น

หานเซี่ยวกั๋วหัวเราะตาม…

ต่อมาภาพโดยรอบแตกออก ฟางเจิ้งตะโกนเสียงดัง “อมิตาพุทธ ยินดีด้วยโยม!”

หลู่ซวงซวงเห็นว่าทุกอย่างตรงหน้าหายไป แค่หนึ่งพริบตาทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว! เมืองหายไป เธอยังคุกเข่าอยู่กลางอุโบสถ โดยรอบเงียบสงบ มีเพียงเสียงลม กลิ่นหอมจางๆ ทำให้จิตใจสงบ

ได้ยินเสียงสวดของฟางเจิ้ง หลู่ซวงซวงจึงยืนขึ้นหันไปมองฟางเจิ้ง กล่าวด้วยความเคารพ “ขอบคุณไต้ซือที่ช่วยชี้แนะมากค่ะ!”

ฟางเจิ้งส่ายหน้า “เป็นโยมที่เป็นคนเข้าใจง่าย อาตมาเพียงแค่ช่วยเล็กน้อยเท่านั้น”

“ไต้ซือ ท่านไม่โกรธที่ฉันไม่เชื่อพุทธศาสนาเหรอคะ?” หลู่ซวงซวงยิ้ม สุดท้ายเธอก็ยังเห็นพิรุธ เลยนึกถึงสิ่งต่างๆ มากมาย กระทั่งตระหนักว่าทุกอย่างตรงหน้าเป็นของปลอม ทว่าเธอกลับยึดมั่นในเจตนาเดิม ขอเพียงในใจเธอมีหานเซี่ยวกั๋วที่เป็นของจริง ที่เหลือสำคัญหรือ? หานเซี่ยวกั๋วมีชีวิตอยู่ในใจ อยู่กับเธอตลอดกาล อย่างอื่นสำคัญหรือ?

ฟางเจิ้งส่ายหน้า “พุทธศาสนาชี้นำให้เป็นคนดี จะเชื่อหรือไม่ไม่สำคัญ โยมเดินออกมาจากปมในใจได้ อาตมาก็ได้บุญกุศล จริงๆ แล้วอาตมาต้องขอบคุณโยมด้วยซ้ำ”

“เหอะ…ไต้ซือพูดหยอกเถอะ ท่านเป็นไต้ซือที่คู่ควรแก่การเคารพคนหนึ่งเลย!” หลู่ซวงซวงพูดด้วยความนับถือ

ฟางเจิ้งส่ายหน้า “อาตมาไม่กล้ารับเป็นไต้ซือหรอก โยมเรียกว่าหลวงพี่ฟางเจิ้งเถอะ ให้ทุกคนใช้พระธรรมเป็นสิ่งเตือนใจ”

“ไต้…หลวงพี่ฟางเจิ้งถ่อมตัวไปแล้วค่ะ” หลู่ซวงซวงเพิ่งกล่าวก็ได้ยินเสียงหัวเราะสนุกสนานของเสียวหมี่ลี่ดังแว่วมาจากข้างนอก ใบหน้าพลันเผยรอยยิ้มสดใส “หมี่ลี่เล่นกับใครคะ?”

“เป็นญาติโยมคนพิเศษสองท่านในวัด” ฟางเจิ้งตอบ

หลู่ซวงซวงงงงวย ฟางเจิ้งส่งลูกที่ตนฝากไว้ให้เขาดูแลให้กับคนอื่น? นี่ได้ยังไงกัน? ถ้าถูกคนลักพาตัวไปจะทำยังไง? หลู่ซวงซวงร้อนใจแล้ว ขณะจะออกไปตรวจดูก็เห็นหัวหมาป่าสีขาวตัวใหญ่โผล่เข้ามา หมาป่านี่เหมือนกับลูกวัว ดวงตาแคบยาว มองปราดเดียวก็รู้ว่าหมาป่า ไม่ใช่หมา!

“หมาป่าอะไรตัวใหญ่ขนาดนี้?!” หลู่ซวงซวงตกใจสะดุ้ง เกิดความกังวลในใจยิ่งกว่าเดิม! เพียงแต่เธอไม่เข้าใจว่าหมาป่านี่เหมือนมีความกลัดกลุ้มเล็กน้อย นี่มันเรื่องอะไรกัน?

หลู่ซวงซวงมองไปข้างหลังก็เห็นเสียวหมี่ลี่จับหางหมาป่าสีขาวไว้ เหยียบบนแผ่นไม้เล็กลากไปบนหิมะ! บนบ่าเธอยังมีกระรอกน้อยยืนอยู่ตัวหนึ่ง ส่งเสียงร้องจี๊ดๆ ราวกับจะให้หมาป่าขาววิ่งเร็วกว่านี้หน่อย อย่าขี้เกียจ…

เห็นดังนั้นหลู่ซวงซวงตะลึงค้าง นี่สัตว์เหรอ? สีหน้าแบบนี้ กระทำแบบนี้ นี่มันคนเลยนี่! หรือว่าจะมีสติปัญญา?!

“อมิตาพุทธ นี่คือโยมคนพิเศษสองท่านที่อาตมาพูดถึง อืม เป็นแขกที่มาวัดเหมือนกับโยมนั่นแหละ หมาป่ากับกระรอก วางใจได้พวกมันจิตใจดีมาก” ฟางเจิ้งพลันเดินมาพูดข้างหลู่ซวงซวง

หลู่ซวงซวงพยักหน้าอึ้งๆ ตอนนี้สมองเป็นเครื่องจักรแล้ว เธอพบว่าหลังขึ้นเขามาในวันนี้ได้พบเรื่องปาฏิหาริย์ขึ้นเรื่อยๆ แถมยังท้าทายเส้นตายความรู้ของเธอขึ้นเรื่อยๆ ด้วย แต่ว่าเรื่องพวกนี้ดันเป็นความจริง…

……………………………