ตอนที่ 133 ดอกไม้ไฟในวันสิบห้าค่ำเดือนหนึ่งเดือนหนึ่ง

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

จนกระทั่งพาเสียวหมี่ลี่ลงเขาไป หลู่ซวงซวงยังตั้งสติไม่ทันอยู่เล็กน้อย

หันไปมองวัดเล็กกลางสายลมหิมะก่อนถอดถอนใจ “ใครจะไปคิดว่าวัดเล็กแบบนี้จะมียอดฝีมืออย่างหลวงพี่ฟางเจิ้ง! มิน่าหานเซี่ยวกั๋วถึงให้เรามาหาเขา มิน่าหลังหานเซี่ยวกั๋วมาแล้วถึงคิดอะไรได้มากมาย โลกกว้างใหญ่มีสิ่งมหัศจรรย์ ก่อนหน้านี้เรามองแค่สั้นๆ”

“แม่คะ จากนี้หนูจะมาเล่นกับต้าไป๋และเสี่ยวฮุยฮุยอีกได้ไหมคะ?” เสียวหมี่ลี่มองไปทางวัดอย่างอาลัยอาวรณ์พลางเอ่ยถาม

“ได้สิ ถ้าว่างแม่จะพาหนูมานะ ดีไหม?” หลู่ซวงซวงตอบ

เสียวหมี่ลี่ยิ้มเบิกบานใจ “แม่ดีที่สุดเลย! แม่วางใจนะ รอหมี่ลี่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วจะต้องปกป้องแม่ให้เหมือนกับพ่อให้ได้เลย!”

“อืม หมี่ลี่บ้านเราเก่งที่สุดอยู่แล้ว” หลู่ซวงซวงอุ้มเสียวหมี่ลี่ลงเขาไป

“ต้าไป๋ เสี่ยวฮุยฮุย? ฮ่าๆ…” ฟางเจิ้งกุมท้องหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตาย

หมาป่าเดียวดายนอนหมอบอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าเป็นทุกข์ เห็นๆ อยู่ว่ามันขนเงิน ทำไมถึงกลายเป็นต้าไป๋(ขาวใหญ่)ไปได้?

กระรอกก็กลัดกลุ้มเหมือนกัน มันมีลวดลาย แต่ทำไมกลายเป็นเสี่ยวฮุยฮุย(เทาเล็ก)? ฟังจากชื่อแล้วไม่งดงาม! ไม่ยอม!

น่าเสียดายตอนที่เสียวหมี่ลี่ตั้งชื่อมั่วๆ ให้พวกมัน พวกมันฟังไม่เข้าใจ รู้แค่ว่ากำลังเรียกพวกมัน ฟางเจิ้งแปลให้ฟังเลยเข้าใจ พวกมันจึงไม่พอใจ…

ฟางเจิ้งไม่สนใจพวกมัน เพิ่งช่วยหลู่ซวงซวงไป เหนื่อยจนสมองจะระเบิด จึงตบหัวเจ้าสองตัวนี้แล้วรีบกลับไปนอนหลับพักผ่อนในห้อง

พอตื่นขึ้นฟางเจิ้งก็พบว่าเย็นแล้ว งีบนิดเดียวแทบจะหลับถึงเช้า!

“ระบบ ทำไมครั้งนี้ใช้พลังงานไปเยอะจังล่ะ? ก่อนหน้านี้ไม่เห็นรู้สึกแบบนี้เลย” ฟางเจิ้งถาม

“ปมในใจหลู่ซวงซวงมากกว่าหลายคนก่อนหน้ามาก ความเจ็บปวดจากการเสียสามีจะไปรักษาง่ายๆ ได้ยังไง? แต่เพราะว่ามันยากที่แหละ ดังนั้น…” ระบบลากเสียงยาว

ฟางเจิ้งตาเป็นประกาย ถามขึ้นอย่างเฝ้ารอคอย “ได้จับรางวัลอีกเหรอ?”

“เปล่า แค่ชมเชยทางวาจาน่ะ สู้ๆ ทำได้ดีมาก” ระบบตอบ

ฟางเจิ้ง “นายจะต้องเป็นระบบปลอมแน่ๆ ไม่ได้มาตรฐานเอาซะเลย!”

“การชมเชยทางวาจาเพิ่มคะแนนการประเมินภารกิจของนายได้ อีกทั้งถ้าสะสมการชมเชยสองครั้งจะมีโอกาสจับรางวัลฟรีหนึ่งครั้ง นายมั่นใจนะว่าจะไม่เอา?” ระบบถาม

“นายนี่ได้มาตรฐานจริงๆ เลย” ฟางเจิ้งรีบเปลี่ยนคำอย่างไร้ศักดิ์ศรี

ฟางเจิ้งตุ๋นหัวไชเท้าหนึ่งหม้อ ข้าวผลึกหนึ่งชาม กินจนสุขสบายไปทั้งตัว จากนั้นอ่านคัมภีร์ ชมจันทร์ ชมหิมะ หนึ่งวันก็ผ่านไปแบบนี้

วันที่สองหิมะตกหนักอีกครั้ง หิมะตกหนักหลายวันติดกัน เส้นทางภูเขาถูกปิดอีกครั้ง วัดเอกดรรชนีกลับมาอยู่ในความสงบไร้ผู้คนรบกวนอีกครั้ง

ฟางเจิ้งอ่านคัมภีร์ทุกวัน กวาดหิมะ วันเวลาผ่านไปอย่างชุ่มชื้น

ยามเย็น ตะวันลาลับทางตะวันตก ฟางเจิ้งว่างเลยพาหมาป่าเดียวดายไปกะเทาะเมล็ดสนจนกระรอกโกรธ ออกไปเดินเล่นด้วยกัน

กระรอกน้อยนั่งบนบ่าฟางเจิ้งด้วยความโมโห ฟังเสียงฟางเจิ้งกะเทาะเมล็ดสนพลางดึงหูสองข้างของเขาเพื่อระบายความโกรธตลอดเวลา

“ถึงบนเขาจะสงบ แต่ก็น่าเบื่อจริงๆ…” ฟางเจิ้งยืนอยู่ข้างหน้าผา มองทอดไกล หิมะหยุดตกแล้ว วันนี้อากาศดีอย่างพบเห็นได้ยาก ไม่มีพายุ ไม่มีหิมะ บนฟ้ายังมีเมฆรูปร่างต่างๆ ประทับไว้รางๆ

ดวงตะวันสาดแสงสุดท้ายก่อนหายไปจากเส้นขอบฟ้า ดวงจันทร์กลับลอยขึ้นช้าๆ แสงจันทร์สีขาวเงินสาดส่องบนพื้นดิน สะท้อนทั้งภูเขาให้ศักดิ์สิทธิ์ขึ้น ฟางเจิ้งยืนอยู่บนหน้าผา เห็นแสงไฟในหมู่บ้านใต้ภูเขา เห็นรางๆ ว่ามีร่างเงาคนเดิน แต่ไม่นานก็มองเห็นไม่ชัด

“ฟ้ามืดอีกแล้ว แต่ละวันผ่านไปเหมือนกับเหาะเลย พวกนายว่าจะมีวันหนึ่งที่ฉันตื่นมาก็แก่เลยไหม?” ฟางเจิ้งพึมพำไปอย่างนั้น

กระรอกทำเสียงหึหึ “เดินไม่ไหวสิดี ประหยัดจนมาขโมยเมล็ดสนฉันบ่อยๆ…นายมันไอ้คนไม่ทำงาน รู้จักแต่กิน”

หมาป่าเดียวดายเห่าสองที “ถ้าอย่างนั้นฉันยังมีข้าวกินอยู่ไหม?”

ฟางเจิ้งหมดคำจะพูดกับเจ้าโง่สองตัวที่ตอบไม่ตรงคำถาม คนกับสัตว์มีช่องว่างระหว่างกันอยู่จริงๆ…

วี๊ด!

ปัง!

ตอนนี้เองเกิดเสียงดังสนั่นฟ้า ต่อมาเป็นดอกไม้ไฟมหึมาระเบิดออกตรงหน้าฟางเจิ้ง ส่องแสงไปทั้งฟ้า

“เอ๋งๆๆ…” หมาป่าเดียวดายตกใจจนร้องและวิ่งหนีไป

กระรอกมุดเข้าไปในจีวรฟางเจิ้ง ตกใจจนฟางเจิ้งร้องเสียงดัง “นี่ๆๆ ออกมาเลย มุดไปไหนน่ะ! กางเกง…กางเกง…ไข่!”

เสียเวลาอยู่นานถึงดึงกระรอกออกมาจากจีวรได้ เพียงแต่ราคาต้องจ่ายค่อนข้างมาก เจ็บไข่…

วี๊ด!

เสียงดังสนั่นอีกครั้ง

ฟางเจิ้งคว้ากระรอกไว้แน่นเดี๋ยวมันจะมุดเข้าไปอีก จากนั้นถอยไป หันไปมองก็เห็นหมาป่าเดียวดายนอนอยู่ข้างกองหิมะ เอาหัวมุดเข้าไปข้างใน ก้นใหญ่และเนื้อแน่นโผล่มาข้างนอก หางยังพยายามแนบเข้าไประหว่างขา แทบจะยัดเข้าไปในรูก้นอยู่แล้ว

ปัง! ดอกไม้ไฟสวยงามอีกดอกระเบิดกลางฟ้า ทำเอากระรอกตกใจจนกอดมือฟางเจิ้งไว้ หดตัวเป็นก้อน…

ฟางเจิ้งส่ายหน้าก่อนเตะก้นหมาป่าเดียวดายไปทีหนึ่ง “เจ้าโง่ กลัวอะไร? นี่มันดอกไม้ไฟ ยิงบนฟ้าไม่มีอันตรายหรอก สวยออก แล้วก็นะแกมันหมาขี้ขลาด จะเป็นผู้ปกปักวัดฉันได้ยังไง? ฉันกำลังคิดอยู่นะว่าจะไล่แกออกดีไหม…”

สิ้นเสียง หมาป่าเดียวดายดึงหัวออกมาจากในกองหิมะทันที เชิดหน้ายืดอกขึ้น ทำท่าทางว่าฉันยังไหว

วี๊ด!

เกิดเสียงดังสนั่น หมาป่าเดียวดายขาอ่อน อยากจะวิ่ง ทว่าฟางเจิ้งวางท่าข่มขู่ว่าถ้านายวิ่งจะไม่ให้ข้าวกิน เลยอดทนเอาไว้

ปัง!

ดอกไม้ไฟอีกดอกกระจายออกข้างหน้าผา ดอกไม้ไฟสีสันหลากสีระเบิดกลางฟ้า พริบตานั้นเองดวงตาหมาป่าเดียวดายตั้งตรง…อ้าปากกว้าง แลบลิ้น เห็นได้ว่ายอมให้กับภาพงดงาม

ครั้งนี้กระรอกแอบชำเลืองตามอง จนมั่นใจแล้วว่าไม่มีอันตรายและสวยงามมากจริงๆ แล้วถึงมายืนอยู่ในมือฟางเจิ้ง เมล็ดสนที่มันถืออยู่ในมือร่วงหล่น ปากเล็กอ้าออก ดวงตาโตแวววาว ดูน่ารักมาก

แชะ!

ฟางเจิ้งถ่ายรูปหมู่ทันที เก็บไว้เป็นที่ระลึก หน้าตาเจ้าสองตัวที่เห็นดอกไม้ไฟครั้งแรกก็ไม่เลว…เลยตรึกตรองว่าจะหาเวลาลงในอินเทอร์เน็ต แชร์สัตว์เลี้ยงตัวเองบ้าง

“เฮ้อ เกือบลืมเลย สิบห้าค่ำเดือนหนึ่งแล้ว” ฟางเจิ้งมองดอกไม้ไฟพลางปลงอนิจจัง

หมู่บ้านเอกดรรชนีจะจุดประทัดตอนปีใหม่ วันสิบห้าค่ำเดือนหนึ่งจะจุดดอกไม้ไฟ นี่คือประเพณี เทียบกับปีใหม่แล้ว วันสิบห้าค่ำเดือนหนึ่งต่างหากเป็นช่วงที่หมู่บ้านเอกดรรชนีคึกคักที่สุด แขวนโคมไฟ จุดดอกไม้ไฟ ทว่าที่สนุกที่สุดก็ยังเป็นการจุดไฟบนท้องถนน!

พอนึกถึงการจุดไฟบนถนน ฟางเจิ้งพลันวิ่งมาข้างหน้าผา ก้มหน้ามองลงไป…

จุดดอกไม้ไฟเสร็จแล้ว หมู่บ้านเอกดรรชนีไม่ถือว่าร่ำรวย คนที่จุดดอกไม้ไฟชนิดนี้ได้มีไม่มาก และดอกไม้ไฟที่พุ่งถึงยอดเขาน้อยยิ่งกว่า ฟางเจิ้งคำนวณคุณภาพแล้ว จะต้องเป็นบ้านคนมีเงินจุดแน่ๆ

ส่วนถ้าอยากดูดอกไม้ไฟมากกว่านี้ก็ได้แต่มองไกลๆ ทุกหมู่บ้านจะจุดดอกไม้ไฟในเวลาที่ไม่แน่นอน…

หมาป่าเดียวดายกับกระรอกดูจนติดแล้ว แต่ดอกไม้ไฟก็ไม่ได้จุดแค่ด้านเดียว ในมุมสองร้อยกว่าองศาด้านหน้าภูเขาเอกดรรชนีล้วนมีหมู่บ้าน มีแค่ข้างหลังที่เป็นเทือกเขาฉางไป๋จริงๆ เป็นป่าใหญ่เก่าแก่ ตรงนั้นไม่มีคน

………………