ตอนที่ 134 เด็กมาพร้อมกองทัพประทัด

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

ดังนั้นแล้วดอกไม้ไฟจึงจุดหลายทิศทาง หมาป่าเดียวดายวิ่งไปทันที นั่งมองตรงจุดที่ดีที่สุด เจ้ากระรอกนอนหมอบอยู่บนหลังมันตลอด ดึงขนไว้นั่งเป็นรถ…เจ้าสองตัวนี้เล่นกันอย่างสนุกสนาน

แต่ฟางเจิ้งไม่แปลกตากับดอกไม้ไฟ แต่ชอบการจุดไฟบนท้องถนนมากกว่า…

เขายืนอยู่บนยอดเขามองไปลง เห็นมีคนเข็นรถเข็นที่มีแสงสว่างออกมา

ฟางเจิ้งพลันหัวเราะ กระโดดโลดเต้น “อาตมาจะลงเขา พวกนายจะไปไหม?”

หมาป่าเดียวดายกับกระรอกมองดอกไม้ไฟอยู่ไกลๆ ทว่าจุดสองครั้งแล้วก็ไม่มีอีก! เลยพากันวิ่งมาสื่อว่าจะไปด้วย

ฟางเจิ้งพาเจ้าสองตัวนี้ลงเขาไป

การจุดไฟบนถนนเป็นประเพณีประจำปีอย่างหนึ่งของหมู่บ้านเอกดรรชนี ปีก่อนๆ แต่ละครอบครัวเตรียมของจำพวกลูกสำลีและข้าวเปลือกรวมกันเป็นก้อนแล้วราดน้ำมัน พอออกจากบ้านก็จะจุดไฟแล้วโยนไปบนถนน

ช่วงแรกๆ ทุกคนใช้น้ำมันถั่ว อีกทั้งยังล้อมรอบบ้านตัวเองเพื่อขอพรให้ปีใหม่มีชีวิตที่สว่างสดใส แต่ว่าราคาของการทำแบบนี้มีโอกาสไฟไหม้ค่อนข้างสูง

ประกอบกับวัยรุ่นเข้าเมืองกัน ของที่เป็นประเพณีมากมายเริ่มถูกเปลี่ยน ดังนั้นในหมู่บ้านจึงหยุดจุดไฟบนถนน  ทุกปีจะเลือกครอบครัวหนึ่ง ให้เงินที่มากพอ จากนั้นให้ครอบครัวนี้จุดไฟบนถนนโดยเฉพาะ

การจุดไฟบนถนนครั้งนี้ต่างไปเล็กน้อย ตอนนี้ข้าวโพดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีเยอะมาก ทุกครอบครัวมีเปลือกข้าวโพดจำนวนมาก หลังเอาเปลือกมาตากให้แห้งแล้ว ราดน้ำมันจะจุดไฟได้นานกว่า

ฟางเจิ้งลงเขามาก็เห็นซ่งเอ้อโก่วเข็นรถเข็นเหล็กมาพอดี บนรถเข็นมีไฟลุกโชตช่วง ในนั้นบรรจุเปลือกข้าวโพดราดน้ำมันเต็มคันรถ เดินทุกสองก้าวจะใช้พลั่วตักกองเล็กๆ มาสาดกลางถนน ดังนั้นกองไฟเล็กๆ จึงขยับไหวกลางสายลม ดูสวยงามมาก

ฟางเจิ้งยิ้ม “โยมซ่ง ปีนี้บ้านโยมจุดไฟบนถนนเหรอ?”

ซ่งเอ้อโก่วหันมา เห็นเป็นฟางเจิ้งก็หัวเราะ “ใช่! ปีก่อนๆ ฉันเป็นพวกไม่เอาไหน ปีนี้ได้เรียนรู้แล้ว หมู่บ้านดูแลฉัน ให้ฉันทำงาน เจ้าอาวาส ทำไมท่านถึงลงมาล่ะ?”

ฟางเจิ้งมองซ่งเอ้อโก่วที่กลับตัวกลับใจด้วยรอยยิ้ม “สิบห้าค่ำเดือนหนึ่งแล้ว เลยลงเขามาสัมผัสบรรยากาศดีๆ บ้าง”

“ฉันว่านะ ท่านควรลงเขามาตั้งนานแล้ว บนเขาน่าเบื่อจะตาย” ซ่งเอ้อโก่วกล่าวพลางสาดเปลวไฟอีกกลุ่ม ขณะเดียวกันก็หัวเราะเอ่ยขึ้น “เฮ้ย ปีก่อนๆ เห็นผู้ใหญ่บ้านทำแบบนี้ไม่เห็นรู้สึกอะไร พอมาทำเองยากจริงๆ ไฟนี่มัน…”

ฟางเจิ้งปิ๊งไอเดียขึ้นมา อยากจะเล่นบ้าง “ให้อาตมาลองดีไหม?”

“ท่านเหรอ?” ซ่งเอ้อโก่วอึ้งไป

ฟางเจิ้งยิ้ม “มีปัญญาเหรอ?

“รถนี่มันหนักมาก ท่านไหวเหรอ…เอ่อ ถือว่าฉันไม่ได้พูดแล้วกัน” ซ่งเอ้อโก่วยังไม่ทันพูดจบก็เห็นฟางเจิ้งเข็นรถไป จังหวะก้าวเบาและเร็ว ดูสบายๆ ดูเท่กว่าเขาที่มีท่าทีกลัวสะเก็ดไฟกระเด็นมาก

ซ่งเอ้อโก่วเห็นดังนั้นก็รีบตามไป ยิ้มเอ่ย “หูว! มีแรงเยอะขนาดนี้เลย”

ฟางเจิ้งยิ้ม “บนเขาไม่มีอะไรทำ นี่ถือว่าฝึกพละกำลัง พลั่วเหล็กนี่ให้อาตมาเถอะ เดี๋ยวอาตมาทำที่เหลือเอง”

ซ่งเอ้อโก่วพยักหน้า หลังกำชับฟางเจิ้งถึงเรื่องที่ต้องระวังอีกเล็กน้อยแล้วก็มีคนหามา เขาเลยวิ่งไป

ฟางเจิ้งไม่คิดอย่างนั้น เขาผลักรถเดินหน้าไป หมาป่าเดียวดายข้างหลังกลัวไฟเล็กน้อย เลยออกห่างหน่อย แต่กระรอกไม่พอใจ กระโดดลงมาปีนขึ้นไปบนบ่าฟางเจิ้ง มองเปลวไฟสีแดง เจ้าตัวเล็กนี่ไม่กลัวไฟ แต่ตื่นเต้นมากกว่า ถูกรงเล็บไปมา ดวงตาโตสดใส…

ตอนนี้เองมีสิ่งหนึ่งลอยเข้าไปในรถ

ปัง!

เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นอย่างกะทันหัน ตอนนั้นฟางเจิ้งก็ทำแบบนี้เลยไม่กลัว ทว่ากระรอกน้อยกลับตกใจจนขนตั้ง แทบจะตกลงจากบ่าฟางเจิ้ง

ต่อมามีเสียงหัวเราะคิกๆ ดังแว่วมาไกลๆ เป็นเด็กกลุ่มใหญ่ถือโคมไฟ ในนั้นมีเด็กซนหลายคน แถมยังทำหน้าผีใส่ฟางเจิ้ง “พี่ใหญ่ฟางเจิ้ง ตกใจไหม?”

ฟางเจิ้งมองบน “หลิวลุ่ย โยมอยากขึ้นสวรรค์เหรอ? ตอนนั้นอาตมาพาพวกโยมไปปราบปีศาจนี่ แถมอาตมายังถูกตีแทนด้วย วันนี้กล้าหลอกอาตมา? เชื่อไหมอีกเดี๋ยวโยมจะร้องไห้?”

“พี่ใหญ่ฟางเจิ้งอย่าหลอกผมเลย แม่ผมบอกว่าพี่บวชแล้ว จะมาเล่นแผลงๆ กับพวกเราไม่ได้แล้ว แม่ให้ผมเรียนเหมือนพี่…” หลิวลุ่ยตาเปล่งประกายมาก มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นเด็กที่มีชีวิตชีวาและเจ้าปัญหา

ฟางเจิ้งยิ้ม ไม่คิดเลยว่าตัวอย่างด้านลบในหมู่บ้านตอนนั้นจะกลายเป็นแบบอย่างที่ดีในตอนนี้ เขาไม่รู้ว่าควรจะดีใจไหม บางทีอาจไปหาหวังโอ้วกุ้ยเพื่อขอต้นดอกแดงเป็นการแสดงความยินดีสักหน่อย?

ตอนนี้เองมีประทัดอีกหลายอันถูกโยนเข้ามา นี่คือประทัดมัน จุดไฟแล้วอีกครู่หนึ่งถึงระเบิด เป็นอาวุธให้คนตกใจ

ฟางเจิ้งไม่ใช่เด็กซนในตอนนั้นแล้ว เห็นประทัดมันโยนเข้ามาก็เตะไปทีหนึ่ง ส่งกลับไป

ทำให้หลิวลุ่ยตกใจรีบหลบ

แต่หลิวลุ่ยก็ไม่ยอม ร้องโวยขึ้น “กว่าพี่ใหญ่ฟางเจิ้งจะลงเขามานี่ไม่ง่ายเลย พวกพี่น้องทุกคนทักทายเขาหน่อย!”

เด็กสิบกว่าคนจุดประทัดมันโยนไปพร้อมกัน ฟางเจิ้งวุ่นวายเล็กน้อย นี่จะก่อกบฏกันเรอะ! เขาจึงโบกมือม้วนประทัดเป็นส่วนหนึ่ง ก่อนพลิกมือสะบัดส่งกลับไปทั้งหมด เวลานี้ประทัดระเบิดดังปุงปัง พวกเด็กๆ ร้องว๊าก แต่ที่มากกว่าคือเสียงหัวเราะ

ฟางเจิ้งไม่มีทางโยนประทัดกลับไปทั้งหมด ยังมีประทัดส่วนหนึ่งใส่เข้าไปในรถ ดังปุงปังระเบิดสะเก็ดไฟกระเด็นสะเก็ดไฟสองอันถูกลมพัด หนึ่งไปตกบนหัวกระรอกน้อย อีกหนึ่งตกบนตัวหมาป่าเดียวดาย เวลานี้ขนไหม้จนกลิ่นโชยมา

ฟางเจิ้งตั้งใจดม “กลิ่นนี่หอมมาก กลับไปพวกนายสองคนโกนขนเถอะ?”

แต่กระรอกกับหมาป่าเดียวดายมองค้อน ทว่ามีความโกรธมากกว่า พวกมันเคยไปหาเรื่องใครไหม? แถมยังต้องถูกเด็กเวรแกล้ง?

เด็กพวกนั้นเห็นฟางเจิ้งไม่กลัวเลยรีบแยกย้ายกันไป เสียงหัวเราะกับเสียงประทัดค่อยๆ ไกลออกไป

ตอนนี้เด็กคนหนึ่งวิ่งเข้ามา เงยหน้ามองฟางเจิ้ง “พี่ใหญ่ฟางเจิ้ง ให้ หลิวลุ่ยชอบแกล้งคนอื่น พี่จุดไอ้นี่ใส่เขาสิ”

ฟางเจิ้งมองแวบหนึ่ง เด็กคนนี้ให้ประทัดคู่กับเขา! พอรับมามองข้างบนเขียนตัวใหญ่ไว้ว่าสายฟ้าระเบิดฟ้า! ฟางเจิ้งไม่รู้จะดีใจหรือร้องไห้ดี ใช้ไอ้นี่แกล้งกลับ? นี่ทำให้ฟางเจิ้งนึกถึงสุภาษิตของแม่ทัพคนหนึ่ง ‘เอ้ออิ๋งฉาง? จุดประทัดใส่กองทัพศัตรู?’

ถ้าจุดกลับไปจริงๆ พ่อแม่หลิวลุ่ยต้องบ้าแน่…

“พี่ใหญ่จะรับไว้แล้วกัน เอ่อ มีเล็กหน่อยไหม? อันนี้มันใหญ่ไป” ฟางเจิ้งยิ้ม

เด็กน้อยหยิบประทัดมันกล่องหนึ่งออกมาจากกระเป๋า และยังมีประทัดโยนอีกกล่องหนึ่ง

ฟางเจิ้งมองแวบแรกก็พูดไม่ออก ประทัดมันเสริมความใหญ่ความหนาและความแรง! หนึ่งนัดโดนหลิวลุ่ยแล้วจะแตกเป็นสามสี่นัด! ประทัดโยนมีขนาดเท่านิ้วก้อย แต่ประทัดโยนของเด็กนี่มีขนาดเท่านิ้วโป้ง! โยนลงบนพื้นจะดังปังราวกับเสียงฟ้าผ่า! ดีที่เด็กนี่โยนได้แค่บนพื้นแข็ง ข้างนอกมีกระดาษห่อหนึ่งชั้น ไม่มีการห่อด้วยของแข็งเลยทำอะไรคนไม่ได้

………………………..….