ตอนที่ 167 ใส่ร้ายป้ายสี

คุณลุงจี้เองก็ซึ้งในน้ำใจของพวกเขา เมื่อกลับมาถึงบ้านป้าหลี่ถังก็เอ่ยถามเขา “สวนเป็นยังไงบ้างคะ?”

“ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดก็น่าจะเติบโตได้ดีเลยล่ะ” เขาตอบ

ถึงตอนนี้เขาจะไม่ได้เป็นเจ้าของสวนแล้ว แต่ก็หวังว่ามันจะเจริญงอกงามได้อีกครั้ง ถึงอย่างไรเจี้ยนอวิ๋นก็อุตส่าห์ยอมรับซื้อต่อจากเขาแทนที่จะไปซื้อกับคนอื่น

ให้ขอบคุณอีกฝ่ายเท่าไรก็คงไม่พอ

หากแต่ป้าหลี่ถังกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น เมื่อนางได้ยินเขาบอกก็นึกเสียดายขึ้นมาก่อนเอ่ยขึ้น “ฉันบอกคุณแล้วไงคะว่าอย่าขาย แต่คุณก็ไม่ฟังเลย เห็นไหมล่ะว่าตอนนี้เจี้ยนอวิ๋นเอามันไปทำมาหากินแล้ว? แต่เรากลับต้องเสียเงินค่ากล้าพันธุ์ไป 100 หยวน!”

แม้ว่าจี้เจี้ยนอวิ๋นจะเป็นคนตรงไปตรงมา เขาคำนวณค่าใช้จ่ายทุกอย่างโดยละเอียด แต่ก็ไม่ได้หักส่วนที่เสียหายไปก่อนหน้านี้เพิ่มแต่อย่างใด

หากใจดีเกินไปคนอื่นก็อาจคิดเอาเปรียบจนทำให้เดือดร้อนได้

ดังนั้นเขาจึงทำเพียงไม่เอาเรื่องพืชผลที่ล้มตายไปก่อนหน้านี้มาใส่ใจ

“คุณมาพูดอะไรเอาป่านนี้ล่ะ? อย่าให้ได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งที่สองนะ!” คุณลุงจี้มีท่าทางไม่พอใจ

แต่คุณป้าหลี่ถังยังคงดึงดัน “ถ้าเราไม่ยอมแพ้ตั้งแต่แรกก็คงดูแลสวนนี้ต่อไปได้อยู่แล้ว!”

คุณลุงจี้สวนกลับ “ตอนนี้ผมได้เงินเดือนตั้ง 30 หยวน แล้วถ้าปลูกอะไรไม่ขึ้นเดี๋ยวพวกเขาก็ยอมแพ้ไปเอง อีกอย่างปีนี้บ้านเราก็ปลูกมันหวานไว้ขายตั้งเยอะด้วย ถ้าคุณยังไม่ยอมจบเรื่องนี้ผมคงไม่มีหน้าไปทำงานหรอกนะ”

“คุณจะไปอายอะไรล่ะคะ คุณเป็นลุงเขานะ เขาจะกล้าไล่ออกได้ยังไงล่ะ?” คุณป้าหลี่ถังพลันท้วงขึ้น

เขาคร้านจะคุยกับนางต่อไป

นางไม่รู้ว่าสวนจะเจริญงอกงามได้ขนาดนี้ เพราะเมื่อก่อนก็เห็นว่าพวกมันก็ทำท่าจะเติบโตได้ดีจึงหมั่นดูแลตลอด แต่ไม่นานก็พบว่าไม่ได้เป็นอย่างที่คิด

ต่อให้เป็นภรรยาของเจี้ยนอวิ๋นก็คงไม่มีทางทำได้หรอก

นางจึงเที่ยวโพนทะนาเรื่องนี้ไปทั่ว

หมู่บ้านเล็กถึงเพียงนี้จะมีใครไม่ได้ยินเรื่องนี้กันบ้างล่ะ?

ข่าวจึงมาถึงหูคุณแม่จี้อย่างรวดเร็ว ทำให้นางรู้สึกเดือดพล่านในใจ

ถ้าเป็นเมื่อก่อนนางคงได้บุกเข้าไปจัดการถึงบ้านอีกฝ่ายแล้ว

แต่ตอนนี้นางมีวีธีการใหม่ที่ไม่จำเป็นต้องลงมือเอง แค่จัดการผ่านการจ้างคนงานก็พอ

ถึงอย่างไรการเก็บผลไม้ก็ต้องใช้คนงาน ปีที่แล้วป้าหลี่ถังยังมีโอกาสได้มาช่วยงาน แต่สำหรับปีนี้ทั้งครอบครัวหรือแม้แต่ลูกสะใภ้ก็อย่าคิดหวังเสียให้ยาก

ไม่นานจี้เจี้ยนชวนเองก็รู้เรื่องที่แม่ของตนพูดจาใส่ความเจี้ยนอวิ๋น

หน้าตาของเขาพลันดำทะมึนขึ้นมา

ถึงเขาจะทำงานให้จี้เจี้ยนอวิ๋นแต่ก็ไม่เคยรู้สึกขายหน้าเลยสักครั้ง อีกทั้งยังรู้สึกภูมิใจกับงานที่ทำด้วย

งานที่สวนไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา นอกจากจะมีเงินเดือนให้ถึง 30 หยวนแล้วยังได้ทำงานเป็นเวลา ทุกวันหยุดก็ได้แต่ของขวัญดี ๆ กลับไป

ต่อให้ไม่ใช่วันหยุด เขาก็ยังมีของกลับไปฝากที่บ้านอยู่เสมอ อย่างที่ช่วงนี้เป็นฤดูสตรอเบอรี่เขาก็ได้สตรอเบอรี่กลับมาให้ลูก ๆ กินบ่อยมาก แม้รูปร่างจะไม่สวยนักแต่ก็หวานอร่อยเหมือนเดิม

ลูก ๆ ที่บ้านต่างก็ชอบกันมาก บางครั้งพวกเขาก็ขึ้นไปช่วยเก็บเพื่อแลกไข่กลับมาอีกต่างหาก

เขาคิดว่าอยู่แบบนี้ก็สุขสบายดีแล้ว ถ้าเก็บเงินได้มากกว่านี้ก็จะปรับพื้นที่เพื่อสร้างห้องส่วนตัวให้ลูก ๆ อยู่กันตอนโต

แต่กลับคิดไม่ถึงว่าแม่ของตนจะคิดริษยาเจี้ยนอวิ๋นที่ซื้อสวนไปดูแลจนงอกงาม และเที่ยวไปใส่ความว่าร้ายแบบนี้

เขาแวะมาที่บ้านหลังเลิกงานและพบว่าพ่อแม่กำลังทะเลาะกันอยู่ เมื่อเห็นเช่นนั้นเขาก็หัวเสียขึ้นมาทันที

จี้เจี้ยนชวนโพล่งขึ้น “แม่ครับ ถ้าไม่ได้เจี้ยนอวิ๋นช่วยไว้สวนเราก็คงต้องเจ๊งไปทั้งอย่างนั้น เมื่อก่อนทั้งผม เจี้ยนเหอ พ่อก็พยายามกันมาตั้งเยอะแล้ว แต่ก็ไม่เห็นทางรอดเลย แล้วตอนที่พ่อกับผมตัดสินใจยอมแพ้แม่ก็เห็นด้วยนี่ แต่แม่กลับมาทำแบบนี้ ผมกับพ่อก็ขายหน้าแย่น่ะสิ”

“ขายหน้าอย่างนั้นเหรอ? ถ้าสวนของเราไปได้ดี แกกับพ่อก็ไม่ต้องทำงานให้เขาแล้วไม่ใช่เหรอไง?” คุณป้าหลี่ถังสวนกลับเสียงเย็นชา

“ทุกวันนี้เงินเดือนที่ผมกับพ่อทำงานให้เจี้ยนอวิ๋นรวมกันก็ตั้ง 60 หยวน ปีหนึ่งก็ได้มากกว่า 700 หยวน มันก็พอ ๆ กับเงินที่ได้จากการทำสวนนั่นแหละครับ” จี้เจี้ยนชวนเถียง

นอกจากเงินส่วนที่จะได้แน่ ๆ แล้วยังมีส่วนที่อาจจะได้เพิ่มถึง 20 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้ด้วย

“อย่าไปซาบซึ้งกับน้ำใจเท่าหยิบมือของเขาเชียว ถ้าสวนนี้ไปรอดจะทำเงินได้ปีละตั้งเท่าไหร่กันล่ะ? ครอบครัวเราเองก็เลี้ยงไก่ไว้เหมือนกัน รวมแล้วจะขายได้มากขนาดไหน!” คุณป้าหลี่ถังบอก

“แล้วคุณจะเอายังไง จะทวงสวนคืนจากเขาเหรอ?” คุณลุงจี้ถามด้วยสีหน้ามืดครึ้ม

“ถ้าเขายอมคืนก็ดีน่ะสิ ฉันก็จะยังยอมรับเขาเป็นหลานอยู่ แต่ถ้าไม่ก็ฝันไปเถอะ!” คุณป้าหลี่ถังกระชากเสียงอย่างเกรี้ยวกราด

คุณลุงจี้ตอกกลับ “งั้นก็ไม่ต้องคิดว่าเขาเป็นหลานหรอก ผมจะบอกเป็นครั้งสุดท้ายนะ ต่อไปอย่าเที่ยวไปใส่ความเขาอีก ไม่อย่างนั้นก็เก็บข้าวของกลับบ้านคุณไปซะ ผมทนไม่ไหวแล้ว!”

นางถึงกับอึ้งไป “นี่ไล่ฉันเหรอ? ฉันทำทุกอย่างเพื่อใครกันล่ะ? คุณมันบ้าไปแล้ว!”

“อย่าไปก่อเรื่องอีกเด็ดขาดนะครับ ไม่อย่างนั้นพ่อคงไม่กล้าแบกหน้าไปให้ใครช่วยอีก เหมือนอย่างที่แม่ต้องการไงครับ!” จี้เจี้ยนชวนว่าจบก็กลับทันที ดูเหมือนว่าต่อไปเขาก็คงไม่ต้องคอยหาเลี้ยงนางแล้ว แต่ก็นับว่าเป็นเรื่องดีที่ได้สะสางเรื่องวุ่นวายหลังปล่อยให้เรื้อรังมานาน!

เหตุการณ์ครั้งนี้ลอยไปถึงหูซูตานหง เพราะหวังหงฮวากับหลี่อวี้ซุ่ยมาเล่าให้ฟัง

ทั้งคู่ต่างก็ไม่พอใจ “ไม่เคยคิดบ้างเหรอว่าที่ต้องขายสวนก็เพราะว่าดูแลเองไม่ไหวน่ะ แกอิจฉาเพราะเห็นว่าสวนกำลังไปได้ดี คงอยากจะทวงคืนน่ะสิ กล้าทำตัวน่ารังเกียจอย่างนี้ได้ยังไงกัน?”

“เอาคืนไม่ได้หรอกค่ะ มีสัญญาระบุไว้ชัดเจนแล้ว แต่ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปก็คงไม่ได้ เดี๋ยวเจี้ยนอวิ๋นกลับมาแล้วจะให้เขาไปคุยกับคุณลุงดูค่ะ” ซูตานหงตอบอย่างไม่ได้เครียดกับเรื่องนี้นัก

อันที่จริงเธอก็คาดเอาไว้ตั้งแต่ซื้อสวนแล้วว่าต้องมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น

ทั้งที่นางต้องพึ่งพาฝืมือคนอื่นเพราะไม่สามารถดูแลสวนได้เองแท้ ๆ แล้วเธอจะยอมนางได้อย่างไรกัน?

นางจะคิดอย่างนั้นก็พอทำเนา แต่ถึงขั้นเที่ยวไปใส่ร้ายป้ายสีแบบนี้เห็นทีคงจะยอมไม่ได้!

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

คิดว่าเก่งนักก็ไปดูแลสวนสักที่ด้วยตัวคนเดียวเลยป้า เห็นคนอื่นได้ดีไม่ได้เลยเชียว คราวที่แล้วก็ไปเอาน้ำจากบ้านเขามารดสวนตัวเองแบบไม่เกรงใจกันด้วยนี่

ไหหม่า(海馬)