ตอนที่ 329 ออกไปจัดการธุระเล็กน้อย / ตอนที่ 330 เจ้าไม่ใช่คนหุนหันพลันแล่น

คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา

ตอนที่ 329 ออกไปจัดการธุระเล็กน้อย

จ้าวหลานมองหูเฟิงด้วยความเป็นห่วง “ดูท่าทางฮูหยินเฉียนผู้นี้จะไม่ใช่คนที่เจ้าจะมีเรื่องด้วยได้ นางเป็นพี่สาวแท้ๆ ของนายอำเภอกู้ เกรงว่านายอำเภอกู้คงจะไม่ปล่อยพวกเราไปกระมัง”

ไป๋จื่อกลับไม่กังวล “ไม่หรอกเจ้าค่ะ วางใจเถอะ กู้เฟิงคังไม่ได้ใจกล้าขนาดนั้น”

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” จ้าวหลานไม่เข้าใจ

เด็กสาวลุกขึ้นนั่ง แล้วยื่นมือไปหาจ้าวหลานที่ข้างเตียง “ท่านแม่ ท่านสบายใจได้ เมื่อวานข้าถูกกู้เฟิงคังโบยไปสามไม้ เถ้าแก่เฉินเป็นคนออกหน้าช่วยข้าไว้ แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเถ้าแก่เฉินพูดอะไรกับกู้เฟิงคังบ้าง แต่ข้าเดาว่าเถ้าแก่เฉียนจะต้องยกเมิ่งหนานมาขู่ให้เขากลัวอย่างแน่นอน ถึงกู้เฟิงคังจะร้ายกาจกว่านี้ หรือไม่เห็นหัวใครมากแค่ไหน เขาก็ไม่กล้าผิดใจกับตระกูลสูงศักดิ์แห่งเมืองหลวง อีกอย่างข้าเสียเปรียบด้วยน้ำมือเขาแล้ว หากเกิดอะไรขึ้นกับข้าอีกเพียงเล็กน้อย เขาจะหนีความผิดนี้พ้นหรือ ตอนนี้เขาไม่เพียงไม่มีทางทำร้ายข้า ยังจะปกป้องข้าเสียด้วยซ้ำ อย่างน้อยภายในระยะเวลาอันสั้นนี้ เขาไม่กล้าให้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับข้า เพราะเขารับผิดชอบไม่ไหวอย่างไรเล่า!”

จ้าวหลานรู้สึกดีนัก “คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าถึงคุณชายเมิ่งจะจากไปแล้วก็ยังปกป้องพวกเราได้ เขาช่างเป็นผู้มีพระคุณของพวกเราโดยแท้”

เมื่อเห็นสองแม่ลูกเบิกบานใจ คิ้วที่แต่เดิมเป็นเส้นตรงของหูเฟิงก็ขมวดขึ้นเล็กน้อย เขากระแอมครั้งหนึ่ง แล้วถามไป๋จื่อว่า “เจ้าดีขึ้นบ้างแล้วหรือ”

จ้าวหลานเห็นหูเฟิงเหมือนมีเรื่องอยากพูด จึงพาจ้าวซู่เอ๋อออกไป “พวกเราไปทำกับข้าวเถอะ ยามนี้แล้ว อีกเดี๋ยวอาอู่ก็น่าจะกลับมาแล้วกระมัง”

วันนี้เป็นวันเก็บแตงดิน อาอู่พาคนไปยังที่ดินตั้งแต่เช้า เวลานี้จึงควรกลับมาแล้วเช่นกัน

จ้าวซู่เอ๋อนับว่าเป็นคนฉลาด นางรู้เจตนาของจ้าวหลาน จึงรีบเรียกเสี่ยวหรูเอ๋อร์ที่กำลังเล่นอยู่อีกด้านหนึ่งออกไปด้วย

ในเรือนเหลือเพียงพวกเขาสองคน ไป๋จื่อนั่งอยู่ตรงหัวเตียง ส่วนหูเฟิงยืนอยู่ที่ปลายเตียง ต่างคนต่างไม่พูดจา บรรยากาศดูอึดอัดอยู่บ้าง

หูเฟิงกวาดสายตามองกาน้ำชาที่อยู่บนโต๊ะขนาดเล็กข้างๆ “อยากดื่มชาหรือไม่”

ไป๋จื่อพยักหน้า “อืม กระหายน้ำนิดหน่อย”

ชายหนุ่มรินชาให้นางถ้วยหนึ่ง ยื่นไปให้ถึงมือนาง และถือโอกาสนั่งลงที่ข้างเตียง ห่างจากนางเพียงแค่หนึ่งช่วงแขนเท่านั้น

นางดื่มชาอุ่นๆ ไปครึ่งถ้วย ก่อนจะส่งถ้วยชาที่เหลือไม่กี่อึกคืนให้อีกฝ่าย “เมื่อคืนเจ้าออกไปข้างนอกหรือ”

หูเฟิงไม่แปลกใจที่นางรู้ จ้าวหลานไม่รู้เรื่องที่เขาออกไปเมื่อคืน แต่จ้าวซู่เอ๋อน่าจะรู้ และจ้าวซู่เอ๋อมาแต่เช้าเช่นนี้ เรื่องนี้คงจะปิดบังพวกนางไม่ได้แล้ว

“อืม ออกไปจัดการธุระเล็กน้อย” เขาพยักหน้า

ไป๋จื่อยิ้ม พร้อมทั้งถามว่า “จัดการธุระเล็กน้อย? ได้ยินว่าเจ้าเผาโกดังของที่ว่าการอำเภอ ทั้งยังทำร้ายกู้เฟิงคังด้วย”

สีหน้าของหูเฟิงไม่เปลี่ยนไปสักนิด เขากล่าวเสียงเรียบ “เขาสมควรโดนแล้ว!”

เด็กสาวยักไหล่ “เขาสวมควรโดนจริงๆ นั่นแหละ” นางหันหน้าไปมองหูเฟิงที่อยู่ข้างกาย เขานั่งตัวตรงราวกับพู่กัน สีหน้าราบเรียบเหมือนกับก่อนหน้านี้ ทว่านางรู้สึกว่าเขาต่างไปจากเดิม เขาเหมือนไม่ใช่หูเฟิงคนเดิมอีกแล้ว

“เจ้าจำได้แล้วใช่หรือไม่” นางถาม

“ไม่ใช่” หูเฟิงปฏิเสธ

“ข้าไม่เชื่อ!” ไป๋จื่อส่ายหน้า!

หูเฟิงผินหน้า สายตาของเขาที่เดิมทีเรียบเฉยค่อยๆ อบอุ่นขึ้น เมื่อสบเข้ากับดวงตาของนาง “เจ้าคิดจะผิดคำพูด?”

ไป๋จื่อคิดไม่ทัน นางถามด้วยความสงสัย “ผิดคำพูดอะไร”

มุมปากของเขายกโค้งขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มจางๆ ยืดขยายจากพวงแก้มไปสู่ดวงตา ราวกับเส้นโค้งของเปลวเพลิง ที่จุดไฟในดวงตาของเขาขึ้นมา “หากความทรงจำของข้าไม่กลับคืนมา เจ้าจะใช้ร่างกายชดใช้ เจ้าลืมไปแล้วจริงๆ หรือ”

แย่แล้ว นางลืมไปจริงๆ นั่นแหละ…

“นั่นไม่นับ เจ้าจงใจหลอกข้าชัดๆ ที่ข้ารับปากเจ้าในตอนนั้น ก็เพราะอยากให้เจ้ารีบกินยา ไม่ได้คิดจะ…” จู่ๆ นางก็หยุดพูด ใบหน้าเจือสีแดงระเรื่อ

……….

ตอนที่ 330 เจ้าไม่ใช่คนหุนหันพลันแล่น

หูเฟิงเลิกคิ้ว ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้ายังไม่จางไป เปลวไฟในดวงตาเจิดจ้ามากยิ่งขึ้นด้วยซ้ำ “ไม่คิดจะอะไร”

สีแดงบนใบหน้าของไป๋จื่อแผ่ขยายเหมือนกับไฟล่ามทุ่ง แผดเผาใบหูจนไปถึงลำคอของนาง แม้กระทั่งนางเองก็สงสัยว่าไข้ขึ้นอีกหรือ เหตุใดถึงร้อนไปทั้งตัวเช่นนี้

ไป๋จื่อที่ปกติแล้วแข็งแกร่งและใจกล้า ไหนเลยจะมีท่าทีเหนียมอายเหมือนเด็กสาวเช่นนี้ เขาก้มหน้าลงหัวเราะ “เอาล่ะ ข้าไม่แหย่เจ้าแล้ว แต่หลักฐานลายลักษณ์อักษรบนกระดาษสีขาวนั่น เจ้าอย่าได้คิดจะบิดพลิ้ว อย่างไรเจ้าก็ต้องชดใช้ในไม่ช้าก็เร็ว”

เขาลุกขึ้นหมายจะจากไป นางจึงรีบร้อนจับชายเสื้อของเขาไว้ แล้วเงยหน้าแดงๆ ขึ้นมองเขา “หูเฟิง เหตุใดเจ้าถึงทำเช่นนี้”

หูเฟิงมองตาของนาง ในดวงตาคู่นั้นราวกับมีดวงดาวทอประกาย “เพราะข้าอยากทำเช่นนี้ ข้าจึงทำ”

ไป๋จื่ออยากจะกัดลิ้นของตัวเองยิ่งนัก เหตุใดนางถึงถามเขาไปเช่นนั้น

“แต่ข้าเพิ่งอายุสิบสอง เจ้าอายุยี่สิบกว่าแล้ว ไม่รู้สึกว่าเป็นโคแก่กินหญ้าอ่อนบ้างหรือ”

ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด “ไม่รู้สึก อีกอย่าง ปีหน้าเจ้าก็อายุสิบสามปีแล้ว”

“สิบสามปีแล้วอย่างไร ข้ายังไม่เป็นสาวเต็มตัวเสียหน่อย”

หูเฟิงมองมือที่นางกำชายเสื้อของเขาไว้ มือนั้นทั้งบอบบางและซีดขาว จู่ๆ เขายื่นมือไปจับมือของนาง จับฝ่ามือเล็กจ้อยนั้นไว้ที่กลางฝ่ามือของตนเองจนแน่น “ด้วยกฎเกณฑ์ของแคว้นฉู่ สตรีอายุสิบสามปีสามารถหมั้นหมายได้แล้ว อายุสิบห้าค่อยแต่งงานก็ยังไม่สาย”

มือของเขาใหญ่มาก ฝ่ามือร้อนมากเช่นกัน ยามที่เขากุมมือนางไว้ หัวใจของนางรู้สึกได้ถึงความปลอดภัยอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เมื่อมองมือนั้น นางแม้กระทั่งลืมที่จะชักมือของตนเองกลับมา

เห็นนางไม่ได้พูดอะไร เขาจึงยิ้มว่า “ดูท่าเจ้าจะตกลงแล้ว”

ไป๋จื่อตื่นจากภวังค์ รีบชักมือของตนเองกลับมา “ตกลงอะไรของเจ้า ข้าไม่ได้ตกลงสักหน่อย หูเฟิง ข้าขอถามเจ้าตามตรง เจ้าตอบข้าตามตรงนะ”

หูเฟิงนั่งลงอีกครั้ง นั่งข้างๆ นาง บัดนี้ระหว่างพวกเขาทั้งสองคนห่างกันเพียงหนึ่งกำปั้นเท่านั้น

นางยังคงหน้าแดงไม่หาย แต่ความสงสัยในแววตากลับจางหายไป มองใบหน้าของเขาอย่างตั้งใจ แล้วกล่าวเน้นทีละคำว่า “ข้ารู้ว่าความทรงจำของเจ้ากลับมาแล้ว และข้าก็รู้ว่าฐานะของเจ้าต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ข้ายิ่งแน่ใจว่าไม่ช้าก็เร็วเจ้าจะจากที่นี่ไป กลับสู่บ้านของตนเอง แต่ข้า…ข้าเป็นเพียงเด็กสาวชาวบ้านในหมู่บ้านหวงถัว ข้าไม่คิดว่าระหว่างพวกเราจะมีความเป็นไปได้อะไร ข้าว่าเจ้าก็รู้อยู่แก่ใจเช่นกัน แต่เพราะเหตุใดกัน หูเฟิง เพราะอะไร เจ้าไม่ใช่คนที่หุนหันพลันแล่น เหตุใดถึงขอให้ข้าทำเช่นนี้ เจ้ารู้อยู่แก่ใจดีแท้ๆ ว่าเป็นไปไม่ได้”

หูเฟิงไม่ได้มองนาง ดวงตามองผ่านประตูไม้ที่ไม่ได้ปิด มองพื้นที่สว่างจ้าเพราะแสงแดดนอกเรือนสาดส่อง

“โลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นไปได้ ข้ารู้ดีว่าข้ากำลังทำอะไรอยู่ ยิ่งแน่ใจว่าตนเองต้องการอะไร เจ้าพูดถูกต้อง ข้าไม่ใช่คนหุนหันพลันแล่น ดังนั้น ข้าจริงจัง”

สามปีก่อน เขาไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้ ชีวิตเช่นวันนี้ นับว่าเป็นไปไม่สำหรับเขา

เมื่อความเป็นไปไม่ได้กลับกลายมาเป็นความจริง เขาก็เข้าใจว่าทุกเรื่องบนโลกนี้ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าพรุ่งนี้จะมีอะไรเกิดขึ้น ยิ่งไม่มีความแน่นอนและสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

ไป๋จื่อตะลึงไปเล็กน้อย ใช่ เขาพูดถูกต้อง บนโลกใบนี้มีเรื่องอะไรที่ไม่มีทางเป็นไปได้บ้าง

ที่นางมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ได้ ไม่ได้พิสูจน์เรื่องนี้แล้วหรือ

เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็พลันยิ้มขึ้นมา และรู้สึกเข้าใจอย่างถ่องแท้

“เจ้ายิ้มอะไร” เขาเหล่มองนาง