เล่ม 1 ตอนที่ 127 สร้อยข้อมือม่านถัว

สลับชะตา ชายามือสังหาร

“เพราะสิ่งกีดขวางอยู่บนเทือกเขาสั่วเฟยย่าน่ะสิ ที่นั่นมีสัตว์อสูรเทพมากมาย ต่อให้เจ้ามีพลังยุทธ์ระดับราชันวิญญาณ ตอนเจ้าจะออกไปก็ต้องเผชิญกับสัตว์อสูรเทพนับร้อย หากเจ้าไม่ระวัง อาจต้องจบชีวิตลงได้” โอวหยางเฟยพูด

“สัตว์อสูรเทพนับร้อย!” เจ้าอ้วนชวีได้ยินเสียงสูดลมหายใจของตนเอง เทือกเขาสั่วเฟยย่าอันตรายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ!

เทือกเขาผู่สั่วมีสัตว์อสูรเทพวานรอยู่เพียงแค่ตนเดียวเท่านั้น ทว่าเทือกเขาสั่วเฟยย่ากลับมีสัตว์อสูรเทพนับร้อย จึงยากจะตำหนิที่ทุกคนตกอกตกใจ

“มีสิ่งกีดขวางตามธรรมชาติ ทั้งยังมีสัตว์อสูรเทพอยู่ภายนอกอีกด้วย มิน่าเล่าจึงไม่เคยมีใครออกไปได้เลย” ทุกคนเข้าใจได้ในทันที

“โยวเย่ว์ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าโอวหยางรู้เรื่องเหล่านี้ดี” เป่ยกงถังถาม

“ข้าเดาเอาน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“เจ้าช่างฉลาดเฉลียวเป็นที่สุด เดาถูกทุกครั้งเลยนะ” เจ้าอ้วนชวีพูด

“โอวหยาง เจ้ามาที่ตงเฉินตั้งแต่เมื่อใด” เว่ยจือฉีถาม

โอวหยางเฟยเงียบงันไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดว่า “สองเดือนก่อนการคัดเลือกของวิทยาลัยน่ะ”

เห็นท่าทางเช่นนี้ของเขา ทุกคนก็รู้แล้วว่าเขามีเรื่องที่มิอาจพูดได้ซ่อนเร้นเอาไว้อยู่ จึงไม่ไปซักไซ้ไล่เลียงเขาต่อ

“ก่อนหน้านี้ไม่รู้ก็ช่างเถิด แต่ตอนนี้ในเมื่อรู้แล้ว เช่นนั้นในภายหน้าพวกเราต้องไปดูโลกภายนอกกันให้ได้นะ” เว่ยจือฉีกำหมัดแน่น สีหน้าโหยหาโลกที่ไม่รู้จัก

“ก่อนจะถึงตอนนั้น ทุกคนยังต้องตั้งใจบำเพ็ญกันให้ดีๆ เพื่อยกระดับพลังยุทธ์ของตัวเองก่อนนะ” เป่ยกงถังพูด “หากไม่มีอะไรแล้วข้ากลับห้องก่อนล่ะนะ”

“พวกเราก็จะกลับแล้วเช่นกัน” เจ้าอ้วนชวีพูด “ต่อจากนี้ไปข้าจะไม่เกียจคร้านอีกแล้ว ขอเพียงแค่มีเวลาก็จะฝึกยุทธ์ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพวกเราจะถูกกักขังไว้ที่นี่ไปชั่วชีวิต”

เว่ยจือฉีก็ลุกขึ้นยืนเช่นกันพลางเอ่ยว่า “ข้าก็จะกลับแล้วเหมือนกัน”

ทั้งสามคนจากไป เหลือเพียงโอวหยางเฟยและซือหม่าโยวเย่ว์

“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ามิใช่คนอาณาจักรตงเฉิน” โอวหยางเฟยถามพลางมองซือหม่าโยวเย่ว์

“ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่าว่าข้าเดาเอา” ซือหม่าโยวเย่ว์ยักไหล่ “ยังมีสัญชาตญาณด้วย โอวหยาง ไม่ว่าเจ้าประสบพบเจออะไรมา อย่างน้อยตอนนี้พวกเราก็อยู่ด้วยกัน เรื่องเหล่านั้นของเจ้า ถ้าอยากพูดก็พูดกับทุกคนได้เลย แต่ถ้าไม่อยากพูด ทุกคนก็ไม่มีทางทำตัวแปลกแยกหรือตำหนิเจ้าอย่างแน่นอน”

“ข้ารู้ แต่มีบางเรื่องที่หากพวกเจ้าไม่รู้จะดีกว่า” โอวหยางเฟยยืนขึ้น “ข้าจะกลับแล้วนะ”

ซือหม่าโยวเย่ว์มองโอวหยางเฟยจากไปพลางลอบทอดถอนใจ ดูท่าทางเขากับเป่ยกงถังล้วนเป็นพวกมีความหลังฝังใจกันทั้งคู่! บวกกับชาติกำเนิดของตน ดูเหมือนว่าพวกเขากลุ่มนี้จะมีเพียงแค่เว่ยจือฉีกับเจ้าอ้วนชวีเท่านั้นที่มีความเป็นมาอันเรียบง่ายสักหน่อย

“เฮ้อ…” ซือหม่าโยวเย่ว์ถอนหายใจยาวแล้วปิดประตูลงก่อนจะหายตัวเข้าไปในมณีวิญญาณ

หมัวซาดูเหมือนกำลังคอยเธออยู่ เมื่อเห็นเธอจึงพูดว่า “วันนี้พวกเราไม่หลอมยานะ”

“เพราะเหตุใดกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์สะดุ้งคราหนึ่งแล้วถามขึ้น

“สภาวะของเจ้าในตอนนี้มิสู้ดีนัก อาจส่งผลกระทบกับการหลอมยาได้ รอให้ผ่านไปสักสองวันให้อารมณ์นิ่งก่อนแล้วค่อยหลอมยาเถิด” หมัวซาพูดอย่างเรียบเรื่อย

ซือหม่าโยวเย่ว์ครุ่นคิด ด้วยสภาพนี้ พอถึงเวลามิอาจทุ่มเทกายใจให้กับการหลอมยาได้อย่างเต็มที่ ก็กลัวแต่ว่าจะส่งผลต่ออัตราความสำเร็จในการหลอมยา จึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ได้สิ”

“นอกจากนี้ข้ายังหลอมศิลาวิญญาณแล้วอีกด้วย” หมัวซาพูด สร้อยข้อมือลายดอกม่านถัวหลัว[1]สีแดงเส้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงกลางระหว่างคนทั้งสอง

“นี่คืออะไรหรือ”

ซือหม่าโยวเย่ว์ยื่นมือไปสัมผัสสร้อยเส้นนั้นคราหนึ่ง สร้อยเส้นนั้นก็สวมตัวเองลงบนข้อมือเธอราวกับมีสติรับรู้ ล้อมรอบข้อมือขาวเนียนของเธอ ดูแล้วมีเสน่ห์เป็นอย่างยิ่ง

“นี่คือสร้อยข้อมือที่ข้าใช้ศิลาวิญญาณบวกกับส่วนประกอบที่อยู่ภายในมณีวิญญาณ ใช้เป็นที่พำนักของวิญญาณได้” หมัวซาพูด

“ท่านอยู่ในมณีวิญญาณก็ดีอยู่แล้วมิใช่หรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“การอยู่ภายในมณีวิญญาณนั้นถึงแม้ว่าข้าจะเห็นเหตุการณ์ภายนอกได้ แต่กลับมิอาจสัมผัสถึงวิญญาณอีกครึ่งหนึ่งของข้าได้เลย” หมัวซาพูด “สวมสิ่งนี้เอาไว้บนมือของเจ้า ข้าก็จะรับสัมผัสได้ในรัศมีประมาณหนึ่ง ถ้าหากวันไหนเจ้าพบเจอวิญญาณอีกครึ่งหนึ่งของข้าเข้า หรือถ้าหากอยู่ห่างจากเขาไม่ไกล ข้าก็จะรับสัมผัสได้”

“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” ซือหม่าโยวเย่ว์ยกมือขึ้นพลางมองดูสร้อยบนข้อมือแล้วถามว่า “ในเมื่อสิ่งนี้เป็นที่พำนักให้ดวงวิญญาณของท่านได้ เช่นนั้นผู้อื่นเล่า”

หมัวซาเหลือบมองเธอปราดหนึ่งแล้วพูดว่า “เจ้าคิดว่าข้าจะยอมให้ผู้อื่นมาแบ่งปันที่นี่กับข้าหรือไม่เล่า”

ความหมายในคำพูดชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง มันก็ได้อยู่ แต่เขาไม่มีทางเต็มใจแน่ ถ้าหากใส่วิญญาณของใครเข้าไปจริงๆ ก็กลัวแต่ว่าจะถูกเขาพร่าผลาญเสียก่อนโดยที่ยังมิทันได้เห็นชัดเจนว่าภายในเป็นอย่างไรเลยด้วยซ้ำ

“ในเมื่อมีสิ่งนี้แล้วต่อไปข้าก็จะดูดซับกลิ่นอายที่ต้นผลอสรพิษทองคำแผ่ออกมาจากภายในนั้นได้แล้ว” หมัวซาพูดจบแล้วกลายร่างเป็นควันดำสายหนึ่งก่อนจะแทรกตัวเข้าไปภายในสร้อยข้อมือของเธอ

ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบสร้อบข้อมือ ชื่นชมไปพลางพูดไปพลาง “ไม่รู้ว่าเจ้าคนผู้นี้หลอมขึ้นมาอย่างไร รูปลักษณ์ไม่เลวเลยทีเดียว จะต้องมิใช่อาวุธวิญญาณธรรมดาทั่วไปแน่ อาจจะเป็นเครื่องมือทิพย์อาวุธเทพอะไรบางอย่างก็เป็นได้ งดงามถึงเพียงนี้ ต่อไปเรียกมันว่าสร้อยข้อมือม่านถัวก็แล้วกัน”

ในเมื่อหมัวซาบอกว่าไม่หลอมยา ดังนั้นเธอจึงมาฝึกยุทธ์ที่ห้องฝึกยุทธ์ ค่อยๆ สงบสติอารมณ์ของตนเอง

ผ่านไปสองวัน หมัวซาบอกว่าเริ่มต้นหลอมยาได้แล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์จึงสวมสร้อยข้อมือเข้าไปภายในมณีวิญญาณ

ผ่านการปรับตัวมาสองวัน สภาพของซือหม่าโยวเย่ว์จึงฟื้นฟูกลับไปเหมือนในตอนแรก ตามความต้องการของหมัวซา

เมื่อมาถึงห้องหลอมยา เจ้าวิญญาณน้อยได้จัดเตรียมสิ่งของที่จำเป็นต้องใช้เอาไว้แล้วเหมือนดังที่เคยเป็นมา ทั้งสองคนตรวจทานดูรอบหนึ่งแล้วจึงเริ่มต้นหลอมยา

มีประสบการณ์จากครั้งก่อน การหลอมยาในครั้งนี้จึงราบรื่นยิ่งขึ้น ซือหม่าโยวเย่ว์มีความเข้าใจเกี่ยวกับปราณวิญญาณที่ต้องใช้ในการหลอมยาวิเศษร้อยโคจรแล้ว ดังนั้นถึงแม้ว่าคราวนี้จะสูบปราณวิญญาณในร่างกายเธอไปจนหมดเกลี้ยงเช่นเดิม แต่กลับมิได้เหน็ดเหนื่อยมากเท่ากับคราวที่แล้ว

“เสร็จแล้ว” หมัวซาดับไฟพลางมองซือหม่าโยวเย่ว์ที่สิ้นไร้เรี่ยวแรงอีกครั้งแล้วพูดว่า “ถึงแม้จะใช้ปราณวิญญาณในร่างกายเจ้าไปจนหมดเกลี้ยงทุกครั้ง แต่ความจริงแล้วนี่เป็นประโยชน์ต่อตัวเจ้าด้วย ปราณวิญญาณที่ดูดซับเข้าไปอีกครั้งนั้นจะแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น พลังยุทธ์ของเจ้าจะใช้ได้จริง ไม่ใช่เพียงของไร้ประโยชน์อีกต่อไป”

“ข้าเข้าใจ” ซือหม่าโยวเย่ว์นั่งบนพื้นพลางพูดด้วยสีหน้าซีดเผือด

หมัวซาหายตัวเข้าไปในสร้อยข้อมือม่านถัว ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบยาวิเศษเม็ดหนึ่งออกมากินลงไปทำให้ร่างกายฟื้นฟูพลังยุทธ์ขึ้นมาได้บ้างเล็กน้อย แล้วจึงตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาจากพื้น มาข้างๆ เตาหลอมยาเพื่อเตรียมเก็บยาวิเศษ

เธอเก็บยาวิเศษเข้าไปในขวดหยกทีละเม็ดๆ จนตอนสุดท้ายเธอก็ตกตะลึงไปแล้วเทยาวิเศษทั้งหมดออกมาบนฝ่ามือก่อนจะนับใหม่อีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าเมื่อครู่ตนไม่ได้นับผิดไป

“หมัวซา ท่านไม่ได้บอกว่าเตาหนึ่งหลอมได้มากที่สุดสิบเม็ดหรอกหรือ เหตุใดคราวนี้จึงมีสิบเอ็ดเม็ดเล่า”

เสียงของหมัวซาดังแว่วมาจากภายในสร้อยข้อมือม่านถัวว่า “ตอนที่ข้ามีกายเนื้อ เตาหนึ่งข้าหลอมได้สิบสองเม็ดเป็นอย่างน้อย สิบเม็ดนั้นเป็นการคาดการณ์แบบระมัดระวังตอนที่ข้าอยู่ในสภาวะวิญญาณเท่านั้นเอง”

“อ้อ” ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบยาวิเศษทั้งหมดออกมาแล้วมองพวกมันอย่างสุขใจยิ่ง “รวมกับคราวก่อนก็มียี่สิบเอ็ดเม็ดแล้ว ตอนนี้ต้องการเพียงแค่สิบแปดเม็ดเท่านั้น ยังเก็บเอาไว้ได้อีกสามเม็ด รอให้ข้าฟื้นฟูปราณวิญญาณแล้วจะออกไปมอบให้พวกท่านปู่ ให้พวกเขาได้กินกันเสียแต่เนิ่นๆ”

เธอเก็บยาวิเศษร้อยโคจรทั้งหมดกลับเข้าไปในแหวนเก็บวัตถุแล้วนั่งขัดสมาธิลง เริ่มต้นดูดซับปราณวิญญาณในอากาศ

และในขณะนี้เอง คนกลุ่มหนึ่งก็มายังอาณาจักรตงเฉินผ่านเทือกเขาสั่วเฟยย่า มุ่งตรงไปยังเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว ถ้าหากซือหม่าเลี่ยอยู่จะต้องรู้จักอย่างแน่นอน เพราะหนึ่งในนั้นก็คือผู้ที่ทำให้เขาบาดเจ็บนั่นเอง…

………………………………………………

[1] ดอกลำโพง