เล่ม 1 ตอนที่ 128 ภยันตรายมาเยือน

สลับชะตา ชายามือสังหาร

“ท่านพี่สาม ท่านแน่ใจหรือว่านั่นคือคนไร้ค่าที่ถูกขับออกจากตระกูลซือหม่า” ซือหม่าเค่อผู้มีปากแหลมยื่นราวกับลิงเอ่ยถาม

ซือหม่าข่ายลูบท่อนแขน นัยน์ตามีแววมืดหม่นวาบผ่าน บริเวณนั้นคือบาดแผลลึกที่ซือหม่าเลี่ยทิ้งเอาไว้ก่อนหน้านี้ไม่นาน

“ถึงแม้ว่าจะไม่ได้พบกันมาร้อยกว่าปี แต่ข้าไม่มีทางจำผิดแน่นอน” ซือหม่าข่ายพูด “กลยุทธ์ที่ทำร้ายข้าก็คือเคล็ดแยกอัคคีพิโรธของตระกูลเรา”

ซือหม่าหลินที่เดินตามมาขมวดคิ้วพลางเอ่ยว่า “น้องสามเป็นระดับราชันวญญาณขั้นสองแล้ว ยังถูกซือหม่าเลี่ยทำร้ายได้อีก หรือพลังยุทธ์ของเขาจะสูงกว่าเจ้า”

“ถ้าหากตอนนั้นพวกเขามิได้แอบลอบเรียนเคล็ดแยกอัคคีพิโรธ เจ้าซือหม่าเลี่ยนั่นจะมีปัญญาทำร้ายข้าได้อย่างไรกัน” ซือหม่าข่ายพูด

“ก็ใช่น่ะสิ คนในตระกูลที่ถูกขับออกไปนั้นมิอาจเรียนเคล็ดแยกอัคคีพิโรธได้ แต่เจ้าซือหม่าเลี่ยนั่นบังอาจเรียนเสียอย่างนั้น รอให้จับพวกเขากลับไปได้ก่อนเถิดข้ำจะทำให้เขาพิการให้ได้!” ซือหม่าเค่อเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน

เขาเองยังศึกษาแก่นของเคล็ดแยกอัคคีพิโรธไม่ได้เลย แต่เจ้าซือหม่าเลี่ยผู้นี้กลับทำได้ ทั้งยังใช้สิ่งนี้ทำร้ายซือหม่าข่ายได้ แสดงว่าต้องได้ครอบครองแก่นของมันแล้วอย่างแน่นอน เมื่อนึกถึงสิ่งนี้เขาก็ขบกรามกรอดๆ

“ไม่ว่าจะใช้อะไร บาดเจ็บก็คือบาดเจ็บแล้วอยู่ดีนั่นแหละ!” ซือหม่าข่ายพูด “แต่หากอยากจะจับตัวเขากลับไป เรื่องนี้ก็ไม่จำเป็นแล้ว เขาถูกสัตว์เลี้ยงวิญญาณของข้าทำร้าย มิอาจมีชีวิตรอดได้เกินสองวันอย่างแน่นอน จับเด็กๆ พวกนั้นกลับไปก็พอแล้ว”

หญิงวัยกลางคนอีกคนหนึ่งส่งเสียงเฮอะเยียบเย็นแล้วพูดว่า “เรื่องในตอนนั้นเป็นอย่างไรบ้างตอนนี้ก็ชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดตระกูลทางสายท่านอาสี่จึงต้องหลบหนีด้วย หนีเพราะกลัวความผิดหรือว่าถูกบีบบังคับกันแน่ หากไม่ได้พบพวกเขา ใครเล่าจะกล่าวได้อย่างชัดแจ้ง”

“น้องหญิงเจ็ด เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน!” ซือหม่าเค่อได้ยินซือหม่าชิงพูดแทนซือหม่าเลี่ย สีหน้าจึงเข้มขึ้นพลางเอ่ยเสียงดุ

“หมายความอย่างที่พูดนั่นแหละ!” ซือหม่าชิงพูดพลางถลึงตาใส่ซือหม่าเค่ออย่างไม่ยอมลดราวาศอก

“เอาละ อย่าเอะอะกันอีกเลยน่า อย่าลืมภารกิจสำคัญที่พวกเราต้องทำกันในคราวนี้สิ” ซือหม่าหลินพูด “น้องสาม เจ้าแน่ใจหรือว่าที่นี่มีผลอสรพิษทองคำอยู่”

“พี่ใหญ่ ตอนนั้นข้าคึกคะนองอยู่เสมอ จึงคิดจะมาเที่ยวเล่นยังสถานที่เนรเทศแห่งนี้ คิดไม่ถึงว่าจะมาพบช่วงที่ผลอสรพิษทองคำสุกงอมเข้าพอดี น่าเสียดายที่ข้าช้าไปก้าวหนึ่ง ตอนที่ไปนั้นก็ไม่มีผลอสรพิษทองคำอีกแล้ว แต่ข้ากล้าฟันธงได้เลยว่านั่นคือผลอสรพิษทองคำไม่ผิดแน่” ซือหม่าข่ายพูดอย่างมั่นใจ

“ท่านลุงใหญ่ หากมีผลอสรพิษทองคำ พวกท่านปู่ทวดก็คงจะหายดีขึ้นมาได้กระมัง” ซือหม่าโยวหลานถาม

นางเป็นชนรุ่นหลังเพียงหนึ่งเดียวในกลุ่ม แต่เพราะความพิเศษของนาง แม้จะต้องผ่านสถานที่อันตรายอย่างเทือกเขาสั่วเฟยย่าแห่งนี้ พวกซือหม่าหลินก็ยังพาตัวนางมาด้วย“ก็ยังไม่แน่หรอก” ซือหม่าหลินพูด “เพียงแต่นักหลอมยาเคยบอกว่าถ้าหากมีผลอสรพิษทองคำ พวกท่านปู่ทวดของเจ้าอาจฟื้นขึ้นมาก็เป็นได้”

“พวกท่านปู่นอนเป็นผักกันมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ถ้าหากผลอสรพิษทองคำรักษาพวกเขาได้จริงๆ การที่พวกเรามาเสี่ยงอันตรายที่เทือกเขาสั่วเฟยย่าแห่งนี้ก็ไม่ถือว่าสูญเปล่า” ซือหม่าชิงพูดอย่างทอดถอนใจ

“คราวนี้พวกเรามีเวลากระชั้นชิดนัก ต้องหาทั้งผลอสรพิษทองคำ แล้วยังต้องพาสายตระกูลท่านอาสี่ทั้งหมดกลับไปอีกด้วย” ซือหม่าหลินพูด

“ไม่รู้ว่าผลอสรพิษทองคำนี้ไปตกอยู่ในมือใครแล้ว” ซือหม่าเค่อพูด “ถึงแม้ว่าสถานที่เนรเทศนี้จะมิได้ใหญ่โต แต่ก็มิได้เล็ก คิดจะหาสิ่งนี้ให้พบ ไม่รู้ว่าต้องสิ้นเปลืองระยะเวลาเท่าใด”

“คงจะไม่หรอก” ซือหม่าข่ายพูด “ความเคลื่อนไหวตอนที่ผลอสรพิษทองคำสุกงอมใหญ่โตถึงเพียงนั้น ย่อมต้องดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนมาก สุดท้ายแล้วมันไปอยู่ในมือของผู้ใดย่อมไม่ใช่ความลับ ถึงเวลานั้นพอพวกเราเข้าไปในเมืองแล้วลองฟังดูสักหน่อยก็คงจะรู้แล้วล่ะ”

“อีกนานเพียงใดพวกเราจึงจะเข้าไปในเมืองกันได้หรือ” ซือหม่าชิงถาม

“ครึ่งวัน…”

พลบค่ำ ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงยังเมืองแห่งหนึ่ง เพราะฟ้ามืดแล้ว ทุกคนจึงหาโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งเพื่อพักผ่อน

เช้าวันรุ่งขึ้นซือหม่าเค่อก็หาตัวผู้ดูแลโรงเตี๊ยมพบ พอจ่ายค่าห้องแล้วจึงหยิบตำลึงทองออกมาวางตรงหน้าเขาอีกหลายอันพลางเอ่ยว่า “ผู้ดูแลโรงเตี๊ยม เจ้าคงรู้จักคนชื่อซือหม่าเลี่ยกระมัง”

“ผู้ใดในตงเฉินจะไม่รู้จักซือหม่าเลี่ยบ้างเล่าขอรับ!” ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมเก็บตำลึงทองไปด้วยสีหน้ามีความสุขอย่างยิ่งแล้วพูดต่อไปว่า “เขาก็คือท่านแม่ทัพของอาณาจักรตงเฉินเรา หรือว่าพวกท่านฝึกยุทธ์อยู่ในหุบเขามาโดยตลอด จึงไม่ได้ใส่ใจเรื่องราวของโลกภายนอกสินะขอรับ”

“ท่านแม่ทัพหรือ เช่นนั้นเขาพักอาศัยอยู่ที่ไหนกัน”

ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมเชื่อว่าคนเหล่านี้จะต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์อย่างสันโดษแน่นอน ไม่รู้ว่าพวกเขาจะหาตัวซือหม่าเลี่ยไปทำไม แต่เห็นแก่ตำลึงทองหลายก้อนนั้นเขาจึงพูดว่า “ตระกูลซือหม่าอยู่ที่เมืองหลวง อยู่ห่างไกลจากที่นี่มากทีเดียวขอรับ แขกทุกท่านมีเรื่องอันใดหรือ จึงได้ตามหาตัวพวกเขา”

ซือหม่าเค่อถลึงตาใส่ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมปราดหนึ่ง ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมจึงรีบหัวเราะแห้งๆ พลางบอกว่าจะไม่ถามอีกแล้ว

“เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าผลอสรพิษทองคำไปตกอยู่ในมือของผู้ใด”

“ผลอสรพิษทองคำหรือ เรื่องนี้พวกเราไม่ทราบเช่นกันขอรับ” ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมตอบ

เมื่อได้ฟังคำพูดของเขา พวกซือหม่าหลินจึงมีสีหน้าหม่นลง

ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมเห็นพวกเขาไม่พอใจจึงเอ่ยอธิบายต่อไปในทันที “แขกทุกท่าน ข้าไม่ทราบจริงๆ นะขอรับ อย่าว่าแต่ข้าเลย ต่อให้เป็นผู้อื่นก็ไม่รู้เช่นเดียวกันนั่นแหละขอรับ”

“เพราะเหตุใดกัน คนที่ไปช่วงชิงผลอสรพิษทองคำกันในตอนนั้นต้องมีมากมายสิถึงจะถูก จะไม่มีผู้ใดรู้เลยได้อย่างไรกันว่าใครที่ได้ผลอสรพิษทองคำไปครอง” ซือหม่าข่ายถาม

“พวกท่านอาจจะไม่ทราบเรื่อง ได้ยินคนพูดกันว่าตอนนั้นที่ชิงผลอสรพิษทองคำ มีมนุษย์กับสัตว์อสูรวิเศษตั้งไม่รู้มากมายเพียงใด แต่ในที่สุดกลับถูกบุคคลนิรนามผู้หนึ่งช่วงชิงไปเสียอย่างนั้น” ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมพูด

“บุคคลนิรนามอย่างนั้นหรือ”

“ใช่แล้วขอรับ” ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมพูด “ตอนนั้นศึกใหญ่ที่เทือกเขาผู่สั่ว บริเวณนั้นเต็มไปด้วยความอลหม่านวุ่นวาย ได้ยินว่าผู้มีความสามารถในทุกๆ ด้านล้วนไปกันทั้งสิ้น แม้กระทั่งท่านแม่ทัพซือหม่าก็ไปด้วยเช่นกัน นับได้ว่าเขาเป็นผู้ที่มีพลังยุทธ์แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรตงเฉินของพวกเราแล้ว แต่ก็ยังมิได้ผลอสรพิษทองคำไปครองเลย”

“เจ้ามิได้บอกว่าเขามีพลังยุทธ์แข็งแกร่งที่สุดหรอกหรือ เหตุใดจึงมิได้มันไปครองเล่า หรือว่าสัตว์อสูรวิเศษได้ไปครอง” ซือหม่าชิงถาม

“ไม่ใช่ ในตอนที่ท่านแม่ทัพซือหม่ากับสัตว์อสูรเทพนั่นต่อสู้พัวพันกันอยู่ คนผู้หนึ่งโผล่มาจากไหนไม่รู้แล้วขุดต้นผลอสรพิษทองคำไปทั้งรากเลย” ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมพูด “คนผู้นั้นห่อหุ้มตัวอยู่ใต้ผ้าคลุมตลอดทั้งร่าง ได้ยินว่าพลังยุทธ์ยังสูงส่งกว่าท่านแม่ทัพเสียอีก ว่ากันว่าไปถึงระดับจ้าววิญญาณแล้ว ไม่รู้เลยว่าเป็นปีศาจจากขุนเขาแห่งใดกัน”

ซือหม่าหลินและซือหม่าชิงประสานสายตากันแวบหนึ่ง นัยน์ตาของทั้งสองคนต่างก็เจือความสงสัย อาณาจักรตงเฉินแห่งนี้จะมียอดฝีมือระดับจ้าววิญญาณเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ

“หรือจะข้ามมาจากทางฝั่งพวกเราเล่า ผลอสรพิษทองคำอาจจะไม่อยู่ที่ตงเฉินแล้วก็เป็นได้” ซือหม่าเค่อพูด

ซือหม่าหลินและคนอื่นๆ เบนสายตามาทางซือหม่าโยวหลาน นางส่ายศีรษะแล้วพูดด้วยความมั่นใจอย่างยิ่งว่า “ไม่หรอก ข้าสัมผัสได้ว่าผลอสรพิษทองคำยังคงอยู่ที่นี่ อยู่ที่อาณาจักรตงเฉินนี่แหละ”

“ในเมื่อไม่รู้แน่ชัดว่าอยู่ในกำมือใคร เช่นนั้นการจะหามันมาได้คงยุ่งยากยิ่งนัก” ซือหม่าชิงพูดอย่างวิตกกังวล “พวกเราจะหาพบได้ภายในห้าวันหรือไม่”

ซือหม่าหลินและคนอื่นๆ พากันนิ่งเงียบไป เดิมทีคิดว่าเป็นเรื่องง่ายดายอย่างยิ่ง แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นยุ่งยากขึ้นมาเพราะตัวตนของอีกฝ่ายไม่ชัดเจนเอาเสียเลย

“โยวหลาน เจ้ามีสัมผัสไวต่อสิ่งล้ำค่ามาโดยตลอด เจ้าสัมผัสได้บ้างหรือไม่ว่ามันอยู่ที่ใด” ซือหม่าหลินถาม

ซือหม่าโยวหลานหลับตาลงแล้วลองทดสอบดูก่อนจะเอ่ยว่า “มิได้ สัมผัสได้เพียงแค่ทิศทางอย่างคร่าวๆ เท่านั้น อยู่ทางด้านโน้นน่ะ”

ซือหม่าโยวหลานชี้สถานที่แห่งหนึ่ง ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมจึงพูดว่า “เมืองหลวงอยู่ทางนั้น”

ซือหม่าหลินมองผู้ดูแลโรงเตี๊ยมปราดหนึ่งแล้วพูดว่า “เช่นนั้นพวกเราไปหาคนตระกูลซือหม่าที่เหลืออยู่ที่เมืองหลวงเหล่านั้นกันก่อนดีกว่า”

ซือหม่าเลี่ยที่กำลังเดินออกจากประตูบ้านพอดี คล้ายจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงเงยหน้ามองไปยังทิศทางของเทือกเขาสั่วเฟยย่าปราดหนึ่ง