บทที่ 87 ไม่หวังสิ่งตอบแทน
ถึงพูดว่าลู่เฟยเฉินไม่ได้ยื่นมือเข้ามาช่วย เพราะมีอุปสรรคเป็นกฎของนอกสำนักเซียวเหยา พูดกันตามเหตุผล จึงไม่ได้ทำผิดอะไร
แต่หลัวซิวเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับน้ำใจ เขาคิดว่ากฎที่ว่า ไม่ใช่ว่าจะทำลายไม่ได้ แต่ลู่เฟยเฉินไม่ยอมทำลายต่างหาก หรือไม่ก็เข้าใจว่าคนอย่างหลัวซิว ไม่คุ้มค่ากับการทำลายกฎ
มองศพหลินจิงหยุน นอนท่ามกลางกองเลือด หลัวซิวเก็บเกราะแขนและกระบี่ยุทธ์ของอีกฝ่ายขึ้นมา
บนเวทีดวลความเป็นตาย เมื่อฆ่าอีกฝ่ายตาย สามารถเอาทุกอย่างของอีกฝ่ายได้ นี่ก็เป็นกฎเช่นกัน
ลู่เมิ่งเหยาช่วยประคองหลัวซิว ลงจากเวทีดวลความเป็นตาย กลุ่มคนแหวกทางเดินให้โดยอัตโนมัติ
หลัวซิวเพิ่งกลับมาถึงที่พักของตัวเอง ลู่เฟยเฉิน นายท่านของนอกสำนักก็มาถึงที่นี่
“เมิ่งเหยา ออกไปก่อน ฉันมีเรื่องอยากคุยกับหลัวซิวเป็นการส่วนตัว” หลังเข้ามา ลู่เฟยเฉินจึงเอ่ยขึ้น
ลู่เมิ่งเหยาไม่ได้พูดอะไร มองหลัวซิว แล้วมองพ่อของตัวเอง จากนั้นจึงพยักหน้า เดินออกจากห้อง และปิดประตูลง
ภายในห้องสะอาดธรรมดาๆ ลู่เฟยเฉินมองหลัวซิว แล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “นายอันตรายเกือบโดนฆ่าบนเวทีดวลความเป็นตาย แต่ฉันไม่ได้ยื่นมือเข้าไปช่วย นายรู้สึกไม่พอใจหรือเปล่า”
หลัวซิวคิดไม่ถึงว่าลู่เฟยเฉิน จะพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้
แต่สิ่งที่ทำให้ลู่เฟยเฉินคิดไม่ถึงคือ หลัวซิวส่ายหน้า “เจ้าสำนักทำไปตามกฎ ไม่ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยผม เป็นสิ่งที่ถูกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ผมเป็นลูกศิษย์ที่เพิ่งเข้าสำนัก ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าสำนัก จะช่วยผมทำไมล่ะ”
สำหรับการนิ่งดูดายเรื่องความตาย ของลู่เฟยเฉิน แน่นอนว่าหลัวซิวไม่พอใจ แต่เขาพูดออกมาเช่นนี้ ก็เป็นคำพูดในใจเขาเหมือนกัน
ลู่เฟยเฉินขมวดคิ้ว “นายไม่รู้สึกเลยเหรอ นายเป็นผู้มีพระคุณ ที่ช่วยชีวิตลูกสาวฉัน ฉันควรยื่นมือไปช่วยนาย ถึงจะถูกไม่ใช่หรือไง”
หลัวซิวยังคงส่ายหน้า “เจ้าสำนักเข้าใจผิดแล้ว ผมไม่เคยคิดว่าการรักษาโรคชีพจรขาดธาตุไฟ ให้ลู่เมิ่งเหยาจนหายดี เพราะหวังสิ่งตอบแทน”
“ไม่หวังสิ่งตอบแทนงั้นเหรอ” เมื่อลู่เฟยเฉินได้ยินประโยคนี้ เขากลับส่งเสียงหึอย่างเย็นชา “คนอย่างลู่เฟยเฉินรู้จักคนมานับไม่ถ้วน นายบอกว่าไม่หวังสิ่งตอบแทน แสดงว่านายยิ่งคิดร้าย!”
“ฉันดูออกว่าลู่เมิ่งเหยาชอบพอนาย แต่ถ้านายคิดว่าการทำแบบนี้ จะสามารถใช้ฉันเป็นที่พึ่งนอกสำนักเซียวเหยา ทำตัวสูงส่งโดยไม่หวาดกลัวอะไร งั้นนายคิดผิดแล้ว!”
คำพูดของลู่เฟยเฉินรุนแรงมาก ไม่มีโอกาสให้หลัวซิวได้มีโอกาสโต้เถียงสักนิด
“ไม่ว่าจะพูดยังไง นายรักษาโรคชีพจรขาดธาตุไฟ ให้เมิ่งเหยาจนหายดี ฉันสามารถให้สิ่งที่นายต้องการ ตั้งแต่นี้ต่อไป ระหว่างนายกับเมิ่งเหยา ต้องสลัดทิ้งให้หมด ไม่ติดหนี้อะไรต่อกัน!”
ขณะพูด ในมือของลู่เฟยเฉินมีแหวนเก็บของ เขาเอาแหวนวางบนโต๊ะข้างๆ แล้วพูดว่า “ยาและหินพลังจิตในแหวนเก็บของ เพียงพอที่จะทำให้นายฝึกตนถึงแดนพรสวรรค์”
ลู่เฟยเฉินรู้ดี สมบัติชิ้นนี้ สามารถทำให้จอมยุทธ์พรสวรรค์ใจเต้น ในโลกนี้จอมยุทธ์ระดับชี่ไห่ ไม่มีทางปฏิเสธแน่นอน
แต่เมื่อเขาเห็นท่าทางของหลัวซิว กลับพบว่าตั้งแต่ต้นจนจบ สีหน้าของหลัวซิวราบเรียบ ถึงเขาจะพูดมูลค่าของในแหวนเก็บของ แต่อีกฝ่ายยังคงนิ่ง
“ทำไม อย่าบอกนะว่านายยังคิดว่าไม่พอ” ลู่เฟยเฉินขมวดคิ้วอีกครั้ง เขารู้สึกว่าเจ้าเด็กหลัวซิว โลภมากเกินไปแล้ว
หลัวซิวมองลู่เฟยเฉิน เขารู้ว่าถึงตัวเองพูดอีกว่าไม่หวังสิ่งตอบแทนจริงๆ ลู่เฟยเฉินคงไม่เชื่อตัวเอง หรือบางทีสำหรับคนอย่างลู่เฟยเฉิน คนบนโลกนี้ ล้วนเห็นผลประโยชน์เป็นเรื่องสำคัญ
ยิ่งเขาไม่หวังสิ่งตอบแทน ลู่เฟยเฉินก็จะยิ่งหวาดระแวงเขาขึ้นอีก
“เจ้าสำนัก ผู้อาวุโสจ้าวฉีหยวนบอกผมว่า คุณบอกว่าแค่ผมสามารถเป็นอันดับหนึ่งนอกสำนัก ก่อนอายุ 18 ปี คุณจะไม่ขัดขวางเรื่องระหว่างผมกับเมิ่งเหยา ใช่หรือเปล่าครับ” หลัวซิวถามขึ้น
“ใช่ ฉันเคยพูดประโยคนี้จริง” ลู่เฟยเฉินไม่ได้ปฏิเสธ แต่กลับรีบพูดเปลี่ยนเรื่อง “แต่ตอนนี้สถานการณ์พิเศษ ระหว่างนายกับเมิ่งเหยา ไม่มีโอกาสเป็นไปได้สักนิด ฉันขอเตือนให้นายยอมแพ้เถอะ”
เมื่อพูดจบ เหมือนลู่เฟยเฉินไม่อยากพูดอะไรเยอะ รีบหันหลังเดินออกไป
“สถานการณ์พิเศษงั้นเหรอ นี่หมายความว่าอะไร” หลัวซิวขมวดคิ้วแน่น สำหรับแหวนเก็บของที่ลู่เฟยเฉินวางไว้บนโต๊ะ เขากลับไม่มองแม้แต่น้อย
หลัวซิวคิดว่า จากฐานะของลู่เฟยเฉิน ไม่น่าจะกลับกลอก แต่จู่ๆ เขากลับมีท่าทีต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง อาจจะเป็นเพราะสถานการณ์พิเศษที่เขาพูดถึง
เขาชอบลู่เมิ่งเหยาจริงๆ ไม่ใช่การแอบรักที่ยังไม่มีความเป็นผู้ใหญ่กับหลิวหยู่ซิน ที่สำนักหวูแห่งเมืองชิงหยุนในตอนนั้น
“พ่อ……”
ลู่เมิ่งเหยาอยู่นอกสำนัก ได้ยินบนสนทนาระหว่างพ่อกับหลัวซิว ดังนั้นเมื่อลู่เฟยเฉินเดินออกมา เธอจึงอดเดินเข้าไปไม่ได้
เธอไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อถึงดึงดันเช่นนี้ การแสดงออกของหลัวซิว โดดเด่นอย่างเห็นได้ชัด ถึงพวกลูกศิษย์ที่เป็นหัวใจสำคัญในสำนัก ก็ยังได้แค่นั้น ทำไมเขาถึงไม่ให้โอกาสหลัวซิวกับตัวเองล่ะ
“ตามพ่อมา พ่อจะอธิบายให้แกฟัง” ลู่เฟยเฉินถอนหายใจและพูดออกมา
ลู่เมิ่งเหยามองห้องของหลัวซิว เธอก็อยากรู้มาก ว่าสถานการณ์พิเศษที่พ่อพูดถึง คืออะไรกันแน่
ตำหนักนอกสำนักเซียวเหยา สองพ่อลูกลู่เฟยเฉินกับลู่เมิ่งเหยา นั่งตรงข้ามกัน
ไม่รอให้ลู่เมิ่งเหยาเอ่ยปากถาม ลู่เฟยเฉินเป็นฝ่ายพูดว่า “เมิ่งเหยา แกรู้ไหม ทำไมคนดูแลนอกสำนักธรรมดาๆอย่างจางหลู่เหลียง ถึงทำให้ผู้อาวุโสในสำนักเข้ามาก้าวก่ายได้ และฉันไม่สามารถจัดการเขาได้หรือเปล่า”
เมื่อได้ยินพ่อพูดเรื่องนี้ขึ้นมา ลู่เมิ่งเหยาอึ้งเล็กน้อย เธอจำได้ว่าเพราะจางหลู่เหลียงแอบทำร้ายหลัวซิว ตอนที่กำลังทดสอบ การกระทำแบบนี้นับว่าผิดกฎ พ่อใช้ฐานะของนายท่านนอกสำนัก ออกคำสั่งด้วยตัวเอง ให้ขังเขาเอาไว้ในคุกน้ำใต้ดิน ทำลายผลการฝึกตน ถูกทรมานโดยการแทงไปที่กระดูกไหปลาร้า
แต่จางหลู่เหลียงเพิ่งถูกขังเข้าไปในคุกน้ำใต้ดิน ก็มีคนถือศาสน์ของผู้อาวุโสในสำนักมาช่วย ขอให้ปล่อยตัวคน ฐานะของผู้อาวุโสในสำนักสูงกว่านายท่านของนอกสำนัก ดังนั้นลู่เฟยเฉินจึงทำได้เพียงปล่อยตัวคน
“ลูกไม่ทราบ” ลู่เมิ่งเหยาส่ายหน้าอย่างงุนงง
ฐานะของผู้อาวุโสในสำนักสูงกว่านายท่านของนอกสำนัก แต่จางหลู่เหลียงเป็นแค่ผู้ดูแลนอกสำนักธรรมดาๆ ความแตกต่างของฐานะ ไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้ ทำไมผู้โอวุโสในสำนัก ถึงต้องช่วยเขาด้วยตัวเองล่ะ
ในเมื่อจางหลู่เหลียงมีผู้อาวุโสในสำนักอยู่เบื้องหลังจริง ทำไมเขายังเป็นแค่ผู้ดูแลนอกสำนักธรรมดาๆ ล่ะ
ลู่เมิ่งเหยาความคิดฉลาดหลักแหลม ถึงเธอยังคิดไม่ออก แต่พอเดาได้ หรือบางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของพ่อ และสถานการณ์พิเศษที่พ่อพูดถึงด้วย
ลู่เฟยเฉินสูดหายใจ สีหน้าแลดูเคร่งขรึม การที่เป็นผู้กุมอำนาจนอกสำนัก อยู่ในตำแหน่งสูง ลู่เมิ่งเหยาไม่เห็นพ่อมีสีหน้าแบบนี้มานานแล้ว
“เมื่อไม่นานมานี้ เจ้าสำนักกลับมาจากเทือกเขาจิ่วเฟิ่ง แต่กลับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่มาก” ลู่เฟยเฉินเพียงเอ่ยปาก ก็มีข่าวอันน่าตกใจออกจากปากเขา
เจ้าสำนักที่เขาพูดถึง แน่นอนว่าเป็นนายท่านของสำนักเซียวเหยา การที่สามารถเป็นเจ้าสำนักได้ แน่นอนว่าต้องเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งในสำนักเซียวเหยา!