บทที่ 88 เจ้าสำนักบาดเจ็บ
“เจ้าสำนักบาดเจ็บ เหลือเวลาอีกไม่มากงั้นเหรอ” ลู่เมิ่งเหยามีสีหน้าตกใจ “เจ้าสำนักเป็นผู้แข็งแกร่งที่เหยียบอยู่แดนราชันแห่งโลกยุทธ์ ทำไมถึงบาดเจ็บได้ล่ะ”
สำหรับเทือกเขาจิ่วเฟิ่งที่พ่อพูดถึง ลู่เมิ่งเหยากลับไม่เคยได้ยินมาก่อน
“สำนักเซียวเหยาครองเขตการปกครองหยุนหลง คงหนีไม่พ้นผลการฝึกตนในโลกยุทธ์ อันแข็งแกร่งของเจ้าสำนัก ดังนั้นข่าวนี้โดนปิดเอาไว้ มีพวกคนในสำนักจำนวนน้อยเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้”
แววตาของลู่เฟยเฉินฉายแววตักเตือน “ถ้าข่าวแพร่ออกไป ไม่เพียงแต่อำนาจในเขตการปกครองหยุนหลง จะเกิดการสั่นคลอน อำนาจในเขตต่างๆ ของประเทศเทียนหวู อาจทำเรื่องไม่ดีกับสำนักเซียวเหยาด้วย”
เมื่อได้ยินดังนั้น ลู่เมิ่งเหยาพยักหน้าอย่างจริงจัง เป็นการบอกว่าตัวเองไม่เอาข่าวนี้ไปบอกใครแน่นอน
ลู่เฟยเฉินเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดต่อ “อาการบาดเจ็บของเจ้าสำนัก ไม่สามารถฟื้นคืนกลับมาได้อีก เมื่อร่วงลงมา สำนักเซียวเหยาไร้ผู้นำ เจ้าสำนักคนต่อไป ต้องเลือกจากผู้อาวุโสพวกนั้น บรรดาผู้อาวุโสในสำนัก โดยดูจากผลการฝึกตนและอำนาจสูงสุดของผู้อาวุโสสองท่าน”
“ผู้อาวุโสสองท่านนี้ แบ่งเป็นตี๋ซือกู่กับขงชิงหยู ผลการฝึกตนของผู้อาวุโสสองท่านนี้ ไม่ต่างกันเท่าไร มีลูกศิษย์และผู้คุ้มครอง ทั้งในและนอกสำนัก สำหรับการมอบตำแหน่งเจ้าสำนัก ต้องมีการแย่งชิงอยู่แล้ว”
“เหมือนตอนนี้ ทั้งในและนอกสำนัก ไม่ว่าจะเป็นการดูแล ฝ่ายบู๊ ล้วนมีผู้อาวุโสเป็นผู้ดูแล เลือกผู้อาวุโสที่เกื้อหนุนกัน ส่วนคนที่พ่อแกสนับสนุน คือผู้อาวุโสขงชิงหยู”
เมื่อได้ฟังจบ ในที่สุดลู่เมิ่งเหยาก็เข้าใจ
พ่อเป็นผู้สนับสนุนฝ่ายขงชิงหยู ส่วนผู้ดูแลนอกสำนัก อย่างจางหลู่เหลียง เห็นได้อย่างชัดเจนว่าน่าจะเป็นผู้สนับสนุนฝ่ายผู้อาวุโสตี๋ซือกู่
ถึงฐานะของจางหลู่เหลียงจะต่ำต้อย แต่ในสถานการณ์สำคัญเช่นนี้ ผู้อาวุโสตี๋ซือกู่ต้องปกป้องฝ่ายตัวเองอยู่แล้ว เพื่อที่จะได้รับการสนับสนุนด้วยความภักดียิ่งขึ้น ทำให้พวกคนที่สนับสนุนเขารู้ว่า เลือกสนับสนุนตี๋ซือกู่ เป็นการเลือกที่ถูกต้องแน่นอน
ลู่เมิ่งเหยาก็คิดไม่ถึงเช่นกัน นี่ยังสร้างความวุ่นวาย เรื่องช่วงชิงอำนาจระหว่างฝ่ายในสำนัก
ผู้อาวุโสขงชิงหยูมีคุณธรรมและบารมีสูงส่ง ยังเป็นอาจารย์ผู้มีพระคุณกับลู่เฟยเฉิน พ่อของเธอ ในฐานะที่เป็นศิษย์ สถานการณ์สำคัญเช่นนี้ ต้องยืนข้างอาจารย์อยู่แล้ว
ถึงฐานะนอกสำนัก เทียบไม่ได้กับในสำนัก แต่ก็ยังเป็นตัวแปรสำคัญ ดังนั้นการสนับสนุนของลู่เฟยเฉิน เป็นปัจจัยใหญ่ ที่จะทำให้ขงชิงหยูได้ตำแหน่งเจ้าสำนักหรือไม่
“ถึงอาจารย์มีฉันสนับสนุน แต่เก้าผู้อาวุโสในสำนัก คนที่สนับสนุนเขา มีเพียงแค่สองท่านเท่านั้น”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ลู่เฟยเฉินถอนหายใจ แล้วพูดว่า “อาจารย์มีพระคุณกับฉันอย่างใหญ่หลวง แต่ก่อนถ้าไม่ได้รับคำแนะนำ ช่วยเหลือจากอาจารย์ จะมีลู่เฟยเฉินในวันนี้หรือ”
“แต่ฐานะของผู้อาวุโสในสำนักช่างสูงส่ง อาจารย์มีผู้สนับสนุนเพียงสองคน แต่ตี๋ซือกู่มีผู้สนับสนุนตั้งห้าคน ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด การช่วงชิงตำแหน่งเจ้าสำนัก อาจารย์ต้องพ่ายแพ้แน่นอน”
“และถ้าพ่ายแพ้ ตี๋ซือกู่ได้ครองตำแหน่ง ต้องกดขี่ฝ่ายอาจารย์แน่นอน รวมถึงฉันก็ต้องโดนร่างแหไปด้วย มีภัยได้ทุกเมื่อ!”
เมื่อได้ยินที่พ่อพูด ลูเมิ่งเหยาสัมผัสได้ถึงความเกี่ยวข้องอย่างรุนแรงในเรื่องนี้
อำนาจใหญ่อย่างสำนักเซียวเหยา เป็นเรื่องปกติที่มีการช่วงชิงอำนาจ ผู้ชนะกดขี่ฝ่ายของผู้แพ้ เพื่อทำให้ฐานะตัวเองมั่นคง เป็นเรื่องที่ปกติมาก
แต่เรื่องทั้งหมด เกี่ยวข้องอะไรกับฉันและหลัวซิวล่ะ
ตอนลู่เมิ่งเหยากำลังครุ่นคิดปัญหานี้ ลู่เฟยเฉินเอ่ยขึ้นช้าๆ “เก้าผู้อาวุโสในสำนัก มีสามผู้อาวุโส ที่มีความสัมพันธ์ดีมาก สาบานเป็นพี่น้องระหว่างกันและกัน สมัยหนุ่มๆ ฝ่าอันตรายกันมาหลายต่อหลายครั้ง”
“หนึ่งในผู้อาวุโส มีหลานชายอยู่คนหนึ่ง ชื่อโกวจินชวน ได้รับการเอ็นดูจากสามผู้อาวุโสเป็นอย่างมาก ตอนนี้เป็นศิษย์ในสำนัก”
“สองสามวันก่อนหน้านี้ ผู้อาวุโสโกวมาหาฉัน บอกว่าหลานชายชอบแกมานานแล้ว ถ้าสานสัมพันธ์กันได้ ผู้อาวุโสโกวจะไปพูดเกลี้ยกล่อมพี่น้องร่วมสาบานอีกสองคน ให้มาอยู่ฝ่ายอาจารย์”
พูดมาถึงขนาดนี้ สมมติลู่เมิ่งเหยาจะโง่แค่ไหน ก็เข้าใจความหมายที่พ่อพูด ยิ่งไปกว่านั้น เธอฉลาดเป็นกรด
“พ่อ พ่อจะเอาหนูเป็นเครื่องมือในการแลกเปลี่ยนอำนาจเหรอ”
ลู่เมิ่งเหยากระวนกระวาย ลุกขึ้นยืนทันที เธอมองพ่อตัวเองด้วยสีหน้าโมโห
ลู่เฟยเฉินส่ายหน้ายิ้มอย่างขมขื่น ไม่มีใครรู้จักลูกสาวดีไปกว่าตัวเอง เขารู้ตั้งนานแล้ว ถ้าตัวเองพูดเรื่องนี้ออกมา เธอต้องมีท่าทีแบบตอนนี้แน่นอน
“เมิ่งเหยา แม่แกตายไปนานแล้ว ตั้งแต่เล็กจนโต พ่อไม่เคยคัดค้านความคิดของแกเลย ตอนโรคชีพจรขาดธาตุไฟของแก ไม่มีทางรักษา ต้องฝึกวิชาใจเยือกของหุบเขาหิมะเทียนซาน ถึงจะสามารถยับยั้งได้ แต่แกจำเป็นต้องลดฐานะไปแต่งงานที่หุบเขาหิมะเทียนซานให้ตายยังไงแกก็ไม่ยอม หนีไปที่เมืองชิงหยุน พ่อก็ไม่ได้ฝืนใจแก”
“แต่ครั้งนี้ ถ้าปรมาจารย์ของแก พ่ายแพ้ต่อการช่วงชิงตำแหน่งเจ้าสำนัก ไม่แน่พ่อของแกอาจมีอันตรายถึงชีวิตก็ได้!” ลู่เฟยเฉินพูดอย่างหดหู่
“พ่อ หนู……” จู่ๆ ลู่เมิ่งเหยาไม่รู้จะพูดอะไร เธอไม่สนใจความเป็นความตายของพ่อไม่ได้ แต่ต้องแลกด้วยการไปแต่งงานกับโกวจินชวนอะไรนั่น นี่ก็ทำให้เธอไม่สามารถยอมรับได้เช่นกัน
เดิมทีเธอคิดว่าตัวเองคงไม่สามารถมีอนาคตได้อีก โรคชีพจรขาดธาตุไฟ ทำให้เธอมีชีวิตอยู่ไม่เกิน 25 ปี แต่หลัวซิวกลับรักษาโรคชีพจรขาดธาตุไฟของเธอจนหายดี ไม่เพียงแต่มอบอนาคตให้เธอ ยังมอบความรู้สึกที่มิอาจลบเลือนได้ทั้งชีวิตอีกด้วย
สำหรับลู่เมิ่งเหยา เธอยอมตาย และไม่มีทางทรยศความรู้สึกระหว่างหลัวซิว
แต่ว่า……ถ้าเพราะความยืนหยัดของเธอ ทำให้พ่อต้องติดร่างแห และอันตรายถึงชีวิต เธอก็เป็นคนอกตัญญูไม่ใช่หรือ
ฝั่งหนึ่งคือพ่อผู้ที่รักเธอมาตั้งแต่เล็กจนโต ส่วนอีกฝั่งคือความสุขที่ตัวเองแสวงหา
ฉันควรเลือกอย่างไร
จู่ๆ ลู่เมิ่งเหยาทำอะไรไม่ถูก สมองขาวโพลนไปหมด
ลู่เฟยเฉินก็ลุกขึ้นเช่นกัน เขากุมหน้าเธอเบาๆ “พ่อรักแกที่สุด ไม่มีทางบังคับให้แกแต่งงานกับคนที่ตัวเองไม่ได้ชอบ ถ้าแกอยากอยู่กับหลัวซิวจริง พ่อจะจัดการให้แกกับหลัวซิว ไปจากเขตการปกครองหยุนหลง ไม่ให้พวกแกพลอยติดร่างแหไปด้วย”
ลู่เมิ่งเหยาตัวสั่นเทา ตอนนี้พ่อยังคิดถึงตัวเธอมากกว่า นี่ทำให้ใจเธอ มีทั้งความซาบซึ้งและรู้สึกผิด
“พ่อ หนู……หนูอยากคิดให้ดีก่อน” ลู่เมิ่งเหยาจิตใจสับสนไปหมดแล้ว
“ได้ พ่อให้เวลาแกคิด แต่เวลาบีบบังคับ ให้เวลาแกได้แค่สามวัน” ลู่เฟยเฉินเอ่ยขึ้น
……
หลังจากลู่เฟยเฉินกับลู่เมิ่งเหยาออกมา หลัวซิวรู้สึกหงุดหงิดใจและไม่เป็นสุขอย่างแปลกประหลาด
จนกระทั่งกลางดึก เขาลืมตาขึ้นช้าๆ อาการบาดเจ็บที่ได้รับจากการดวลความเป็นตายกับหลินจิงหยุน ได้รับการฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์แล้ว
ฟื้นฟูความสามารถลายเส้นชีวิต แค่ไม่ใช่อาการบาดเจ็บรุนแรง เขาก็สามารถฟื้นฟูให้เป็นเหมือนเดิม โดยใช้ระยะเวลาเพียงสั้นๆ
แต่ความกดดันที่วนเวียนอยู่ในใจ หงุดหงิด ไม่เป็นสุข ยังคงอยู่ไม่หายไป
ได้ต่อสู้กับหลินจิงหยุน ทำให้หลัวซิวเข้าใจข้อคิดอย่างหนึ่ง
ช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย ผลการฝึกตนระดับที่บรรลุถึง ไม่สามารถตัดสินความสามารถ ด้านการต่อสู้ของคนๆ หนึ่งได้อย่างสิ้นเชิง สมบัติค่ายกลที่รุนแรง ตอนช่วงสำคัญ ถึงจะสามารถใช้ตัดสินได้
อย่างเช่นสมบัติค่ายกลสามระดับที่หลินจิงหยุนใช้ มีปราณกระบี่สีทอง ที่ทัดเทียมกับการโจมตีของจอมยุทธ์พรสวรรค์ ถ้าเป็นคนที่มีวิชาชี่ไห่ขั้น7 คนอื่น ถึงกระทั่งวิชาชี่ไห่ขั้น8 ก็แทบจะไม่สามารถต้านทานได้
แน่นอนว่าความสูงส่งของสมบัติค่ายกล ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถมีสมบัติค่ายกลอันรุนแรงได้
แต่สิ่งที่ไม่ต้องสงสัยเลย นั่นก็คือสมบัติค่ายกล อาจโจมตีกลับ ในช่วงเวลาสำคัญ หรือไม่ก็ช่วงที่แผนการกำลังจะล่ม