ตอนที่ 48 อสูรเทวะราชัน

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่แข็งแกร่ง ฉินอวี้โม่ก็รู้ตัวในทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ

นางก้าวขาอย่างฉับพลันเพื่อเบี่ยงตัวหลบหลีกตามสัญชาตญาณ อดีตสาวนักฆ่าต้องการจะหนีออกไปจากจุดนี้โดยเร็วที่สุด ทว่าในตอนนั้นเองที่แรงกดดันอันน่าหวาดหวั่นผนึกการเคลื่อนไหวของนางเอาไว้!

แม้ว่านางจะตอบสนองอย่างว่องไวแล้วแต่ก็ยังถูกบางอย่างโจมตีเข้าอย่างหนักหน่วง

ร่างของฉินอวี้โม่กระเด็นออกไปในทันที สาวนักฆ่ากระอักเลือดออกมาคำใหญ่ ในตอนนี้นางรู้สึกว่าอวัยวะภายในปั่นป่วนไปหมด

มือสังหารในร่างอดีตคุณหนูใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดในการควบคุมร่างกายไว้ให้สงบดังเดิม นางค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่างมั่นคงก่อนจะใช้ชายแขนเสื้อเช็ดเลือดที่มุมปาก

เมื่อหันกลับไปมองยังจุดที่เคยยืนอยู่ก่อนหน้านี้ ฉินอวี้โม่ก็ทอแววตาอาฆาตขึ้นทันที

ณ จุดเดิมที่สตรีโฉมงามในชุดทะมัดทะแมงยืนอยู่เมื่อสักครู่ ปรากฏเป็นร่างของบุรุษสวมชุดสีดำสนิทผู้หนึ่ง ท่าทางของคนผู้นี้ดูหยิ่งทะนงและองอาจ เขาจ้องมองมาที่นางด้วยความอาฆาตแค้นไม่ต่างกัน

— แรงกดดันอันหนักหน่วงที่นางสัมผัสได้มาจากผู้ชายคนนี้! —

“แกเป็นใคร กล้าดียังไงมาแตะต้องนายหญิงของข้า!”

เมื่อเสี่ยวเฮยและเสี่ยวจินเห็นว่าผู้เป็นนายถูกเล่นงาน พวกมันก็รีบพุ่งเข้ามายืนบังร่างของฉินอวี้โม่อย่างปกป้องและจ้องมองชายผู้นั้นด้วยความโกรธ

เสี่ยวโร่วและสหายคนอื่นๆ เองก็วิ่งกรูเข้ามาล้อมรอบกายฉินอวี้โม่และมองจ้องบุรุษผู้นั้นอย่างเดือดดาลเช่นกัน

“คุณหนูเป็นอะไรไหมเจ้าคะ?”

เสี่ยวโร่วรีบถามฉินอวี้โม่อย่างกระวนกระวายและตื่นตระหนก

“ข้าไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง”

แม้ว่านางจะถูกคนชุดดำผู้นั้นเล่นงาน แต่ก็ไม่ได้มีอาการบาดเจ็บที่สาหัส ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะนางตอบสนองได้ว่องไวมากพอจึงหลบเลี่ยงไม่ให้การโจมตีนั้นปะทะจุดสำคัญได้  อีกทั้งด้วยกายเทพมายาของนางมีความมหัศจรรย์เหนือผู้อื่น บาดแผลที่เกิดขึ้นบนร่างบางจึงหายไปในเวลาอันสั้น

“ไอ้กระจอกสองตัว กล้ามาอวดดีต่อหน้าข้าไม่อยากอยู่ดูโลกแล้วรึ?”

เมื่อบุรุษชุดดำผู้นั้นได้ยินที่เสี่ยวเฮยกับเสี่ยวจินพูด เขาก็กล่าววาจาโอหังตอกกลับไป

“แกต่างหากที่หาที่ตาย กล้ามาทำร้ายนายหญิงของเรา!”

เสี่ยวเฮยกับเสี่ยวจินมองชายผู้นั้นด้วยความโกรธเคือง ในดวงตาของอสูรเทวะทั้งสองไร้ซึ่งแววหวั่นเกรงใดๆ*…อีกฝ่ายกล้าลงมือกับนายหญิงของพวกมันเพราะฉะนั้นมันจะต้องชดใช้!*

“ฮึ่ย พวกกระจอก พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังอวดดีกับใคร!”

บุรุษชุดดำผู้นั้นมีท่าทางทะนงตนและถือตัวเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามในเรื่องนี้ไม่นับว่าผิดเพราะเขามีคุณสมบัติที่จะทำเช่นนั้นได้ ด้วยแรงกดดันอันหนักหน่วงจากกายของเขาที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าของทั้งเสี่ยวเฮยและเสี่ยวจินมาก

“เจ้าคนหน้าด้านกล้าลงมือกับสตรี เสียชื่อลูกผู้ชาย!”

ลั่วอวิ๋นมองที่ชายชุดดำผู้นั้นด้วยสายตาเหยียดหยาม

“ตลก ข้าไม่ใช่มนุษย์แล้วจะกลัวเสียชื่อทำหอกอะไร! ไอ้มนุษย์ไม่เจียมตัว”

บุรุษชุดดำยิ้มเย้ยหยันพลางกล่าววาจาถากถางอย่างไม่เกรงกลัวผู้ใด

คำพูดของอีกฝ่ายทำให้ลั่วอวิ๋นผงะไป

“ไม่ต้องแปลกใจไปหรอก ไอ้ตัวโอหังตัวนี้มันไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นอสูรเทวะราชัน!”

แม้ว่าเสี่ยวเฮยและเสี่ยวจินจะกำลังเป็นกังวลด้วยแรงกดดันที่รุนแรงจากอีกฝ่าย แต่พวกมันทั้งสองก็ไม่คิดเกรงกลัว หากว่ามันทั้งสองตัวที่เป็นอสูรระดับเทวะร่วมมือกันปกป้องนายหญิงก็น่าจะเพียงพอที่จะต้านทานอีกฝ่ายได้  ที่สำคัญด้วยกายเทพมายาของนายหญิงแล้ว ก็อาจจะช่วยให้พวกมันและผู้เป็นนายเป็นฝ่ายได้เปรียบได้มากกว่าด้วย

“เจ้ากระจอก พวกเจ้าสองตัวนี่ฉลาดจริงๆ”

บุรุษชุดดำยิ้ม

“เจ้าเป็นบอส (boss) ใหญ่ของอสูรล้อมเมืองปีนี้อย่างนั้นรึ?”

ฉินอวี้โม่ขมวดคิ้วมองดูชายชุดดำผู้นั้นแล้วกล่าวถามออกไป ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นตัวอะไรก็ตาม แต่การที่กล้ามาลงมือทำร้ายนางก็จะต้องชดใช้อยู่ดี

บุรุษชุดดำผงะไปทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่ แน่นอนว่าอสูรเทวะราชันผู้อยู่อาศัยในดินแดนหวนหลิงย่อมไม่เข้าใจว่า ‘บอส’ ที่สตรีมนุษย์ตรงหน้าพูดออกมาเมื่อครู่หมายถึงอะไร

“คุณหนู บอสคืออะไรเหรอเจ้าคะ?”

เสี่ยวโร่วเป็นสาวน้อยแสนซื่อ เมื่อนางไม่เข้าใจสิ่งใดก็มักจะถามขึ้นมาในทันที ครั้งนี้นางไม่เข้าใจความหมายที่คุณหนูของนางพูด สาวใช้น้อยจึงถามออกไปด้วยความสงสัย

เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวโร่ว ใบหน้าของฉินอวี้โม่ก็เปลี่ยนเป็นเอ๋อ ไปในทันที เอ่อออ..เธอลืมไปซะสนิทเลยว่าคนในดินแดนนี้ไม่เคยรู้จักภาษาอังกฤษ ซึ่งก็แน่นอนว่าพวกเขาต้องไม่เข้าใจคำว่าบอส

“ที่ข้าพูดมันหมายถึงหัวหน้าของอสูรมายาของอสูรล้อมเมืองปีนี้”

ฉินอวี้โม่กล่าวอธิบายออกไปอย่างง่ายๆ เพื่อลดความงุนงงของทุกคน

“ฮ่าฮ่าฮ่า เยี่ยมมากมนุษย์สตรี ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะทั้งสวยทั้งฉลาด!”

เมื่อเข้าใจความหมายของฉินอวี้โม่อสูรเทวะราชันในร่างมนุษย์ชุดดำก็หัวเราะออกมา

“เฮ้อ ช่างน่าเสียดายเหลือเกินที่จะต้องฆ่าเจ้า สาวน้อย ความงดงามของเจ้าถูกใจข้ายิ่งนัก ถ้าหากเจ้าไปกับข้าและยอมเป็นเมียข้าเสียดีๆ  ข้าจะเมตตาปล่อยมนุษย์พวกนี้ไป ถึงตอนนั้นอสูรล้อมเมืองก็จะจบลง เจ้าจะว่าอย่างไร?”

‘นี่มันจะจับฉันทำเมียงั้นเหรอ? รักข้ามเผ่าพันธุ์เร๊อะ?’ หลังจากได้ยินคำพูดของอสูรไม่ทราบเผ่าพันธุ์ในร่างบุรุษชุดดำ ทันใดนั้นฉินอวี้โม่ก็หัวเราะออกมาอย่างจริงจัง

“เป็นแค่อสูรมายาแท้ๆ กลับอยากจะเอาข้าไปเป็นภรรยา ฝันไปเถอะ!” โฉมนารีผู้มีความงามเป็นที่ต้องตาต้องใจแม้กระทั่งเผ่าพันธุ์อื่นหยุดหัวเราะแล้วกล่าว

เมื่อได้ยินวาจาเสียดแทงของฉินอวี้โม่ ใบหน้าของอสูรชุดดำที่แต่เดิมเคยยิ้มน้อยๆ อย่างหว่านเสน่ห์ก็แปรเปลี่ยนไปเป็นเย็นชาทันที

‘เช่นนี้แล้ว ต่อไปในภายภาคหน้ามันจะเป็นอสูรเทวะราชันผู้ยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามได้อย่างไร? ในเมื่อแม้แต่สตรีมนุษย์ตัวเล็กๆ ยังหยามมันมากถึงเพียงนี้ นี่เท่ากับว่าไม่ไว้หน้ามันเลยแม้แต่น้อย!’

“สาวน้อย ที่ข้าจะเอาเจ้ามาเป็นเมียถือว่าข้าให้เกียรติเจ้าแล้ว ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะบังอาจกล่าวคำลบหลู่ข้า! อย่าคิดว่าสวยแล้วข้าจะไม่กล้าทำรุนแรงกับเจ้านะ”

“ถุย หน้าอย่างเจ้าเอาจระเข้เป็นเมียก็พอแล้ว”

เสี่ยวจินเอ่ยขึ้น ก่อนเสี่ยวเฮยจะกล่าวต่อ “กลับไปเจ้าลองส่องกระจกดูเอาเองละกัน หน้าดำอย่างกระถ่านแบบเจ้าใครมันจะไปชอบลง?” บางทีอาชามีเขาสีดำล้วนก็คงจะลืมไปว่าสีของมันก็ไม่ต่างจากถ่านเช่นกัน

พวกมันทั้งสองติดตามฉินอวี้โม่มาได้สักพักแล้ว พวกมันจึงรู้ใจนายหญิงของตัวเองดี ตอนนี้เจ้านายของมันไม่มีความกลัวอยู่เลย เมื่อเป็นเช่นนั้นพวกมันเองก็ไม่กลัวด้วยเช่นกัน

“ไอ้กระจอกสองตัวนี่ ปากดีนักนะ!”

เมื่ออสูรในร่างมนุษย์ชุดดำได้ยินคำพูดเหยียดหยามของอสูรระดับต่ำกว่าที่ยืนอยู่ตรงหน้า มันก็พุ่งตัวเข้าจู่โจมในทันที

“เหอะ อย่าคิดว่าเป็นอสูรเทวะราชันแล้วพวกเราจะต้องกลัวเจ้านะ”

เสี่ยวเฮยกับเสี่ยวจินพุ่งทะยานออกไปปะทะกับอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วเช่นกัน

พวกมันทั้งสองเป็นอสูรประเภทบินที่มีความเร็วสูง มันผลัดกันแหย่ผลัดกันหนีอย่างมีชั้นเชิงและรวดเร็ว ซึ่งเมื่อมีสองตัวเข้าไปช่วยกันพัวพันเช่นนี้ก็ทำให้อีกฝ่ายล้มพวกมันไม่ได้ง่ายๆ

ภาพที่เสี่ยวเฮยและเสี่ยวจินพุ่งเข้าไปต่อสู้กับอสูรมายาในชุดสีดำไม่ได้ทำให้ฉินอวี้โม่เป็นกังวลมากนัก  เพราะนางได้สั่งพวกมันไว้แล้วว่า ถ้าหากสู้ไม่ได้ก็แค่ถอยออกมา และเนื่องจากพวกมันทั้งคู่มีความเร็วสูงการจะถอยก็คงไม่มีปัญหา

ฉินอวี้โม่เดินกลับไปยังจุดเดิมอย่างไม่ทุกข์ร้อน นางเห็นว่ายักษ์ศิลากับต้นไม้วิญญาณยังคงหมอบต่ำอยู่ที่พื้น

นางเดินตรงเข้าไปหาพวกมันอย่างไม่ลังเลและเริ่มสยบพวกมัน ฉินอวี้โม่ตั้งใจแล้วว่าจะมอบอสูรเทวะทั้งสองตัวนี้ให้กับขวงจ้านและอู๋เผย

ในเริ่มแรกนั้นเหล่าสมาชิกกลุ่มพันธมิตรอวี้โม่ต่างก็มองดูยูนิคอร์นสีนิลและเหยี่ยวปีกทองที่กำลังโรมรันกับอสูรเทวะราชันในร่างบุรุษชุดดำด้วยสีหน้าเป็นกังวล ทว่าต่อมาเมื่อได้เห็นท่าทีแสนนิ่งสงบของฉินอวี้โม่ พวกเขาก็รีบกลืนกังวลของตัวเองลงไป อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ยังคงลังเลเพราะไม่รู้ว่าควรจะเข้าไปช่วยดีหรือไม่

ฉินอวี้โม่รีบสยบยักษ์ศิลาและส่งมอบมันให้กับอู๋เผย

อู๋เผยพร่ำขอบคุณนางทั้งน้ำตา หลังการทำพันธสัญญาเสร็จสิ้นลง เขาก็สั่งให้ยักษ์ศิลาเข้าไปช่วยเสี่ยวเฮยและเสี่ยวจินรับมือกับอสูรเทวะราชันในร่างบุรุษชุดดำ

ฉินอวี้โม่ไม่หยุดเพียงเท่านั้น นางก้าวเข้าไปสยบต้นไม้วิญญาณต่อทันที

ตอนนี้อสูรเทวะราชันชุดดำที่โรมรันพันตูอยู่กับสองอสูรเทวะสายความเร็วสูงก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นมาแล้ว

แม้ว่าเสี่ยวเฮยและเสี่ยวจินจะอ่อนแอกว่ามัน ทว่าเจ้ากระจอกทั้งสองก็คล่องแคล่วว่องไว แม้มันจะแข็งแกร่งกว่าและได้เปรียบอยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่สามารถเผด็จศึกได้

และทันใดนั้นเอง จู่ๆ ยักษ์ศิลาก็เข้ามาร่วมด้วยอีกตัว!

อสูรในร่างมนุษย์จำได้ดีว่ายักษ์ศิลาตัวนี้เป็นอสูรมายาที่มาโจมตีเมืองในระลอกที่สามพร้อมๆ กับมัน แล้วจู่ๆ อีกฝ่ายกลับพุ่งเข้ามาโจมตีมันได้อย่างไร?

เมื่อหันไปมอง มันก็พบว่าสตรีมนุษย์ผู้งดงามต้องใจมันกำลังสยบต้นไม้วิญญาณอยู่

ทว่าแม้จะเป็นอสูรเทวะราชันแต่ก็ไม่ง่ายที่มันจะฝ่ายวงล้อมของอสูรเทวะทั้งสามตัวไปได้

ในอสูรล้อมเมืองครานี้ มันเป็นตัวตั้งตัวตี มันทั้งปลุกระดมและกะเกณฑ์อสูรมายาออกมาเป็นจำนวนมาก เพราะมันอยากจะประกาศให้มนุษย์ทุกคนได้รู้ว่าพวกมันเหล่าอสูรมายาจะไม่ยอมให้มนุษย์หน้าเหม็นหน้าไหนมารังแกกันได้ง่ายๆ  พวกมันจะทำให้พวกมนุษย์ต้องยำเกรงจนไม่กล้าจะเข้าไปรบกวนพวกมันในป่าแสงจันทร์อีก ซึ่งถ้าหากตอนนี้มันไม่ทำอะไรสักอย่างแล้ว ก็คงจะต้องได้มองดูแผนการทั้งหมดพังทลายไปต่อหน้าต่อตาเป็นแน่

เมื่อคิดได้เช่นนั้น อสูรเทวะราชันผู้นำเอาเหล่าอสูรมายามาบุกโจมีเมืองมนุษย์ก็เกิดความไม่ยินยอม

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่กำลังสยบต้นไม้วิญญาณมันก็รู้ตัวว่ากำลังถูกถ่วงเวลาอยู่ในกับดักวงล้อมนี้และมันไม่ควรจะมัวเสียเวลาอีกต่อไป อสูรเทวะราชันตัดสินใจได้ในตอนนั้น!

“อ๊ากกกก!”

อสูรมายาในร่างมนุษย์ชุดดำคำรามออกมา ทันใดนั้นร่างกายของมันก็เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว!

เวลานี้ขนาดของมันไม่ต่างจากภูเขาขนาดย่อมๆ กลิ่นอายและสภาวะพลังจากร่างกายนั้นดูรุนแรงและดุดันขึ้นอย่างมหาศาล

“มันคือหมีควาย!!”

เมื่อเห็นร่างที่แท้จริงของเจ้าตัวที่บังอาจโจมตีนายหญิง เสี่ยวเฮยกับเสี่ยวจินก็อุทานออกมาอย่างอดไม่ได้ ในตอนนี้พวกมันสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่รุนแรงกำลังคุกคามอยู่ กลิ่นอายของหมียักษ์ตัวนี้น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก ความแข็งแกร่งของมันก็เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

“เพ่ย! ข้าคือหมีดำ ไม่ใช่หมีควายไอ้พวกโง่!”

หมีดำที่ถูกเรียกว่าหมีควายเปล่งเสียงขึ้นมาอย่างเดือดดาล มันกระโจนเข้าใส่เสี่ยวจินในทันที

อสูรเทวะทั้งสามรีบหลบหลีกอย่างรวดเร็ว เมื่ออสูรมายาระดับเทวะราชันกลับคืนสู่ร่างที่แท้จริง พวกมันก็ไม่สามารถปะทะกับอีกฝ่ายตรงๆ ได้อีกต่อไป

“ไอ้กระจอก เมื่อครู่พวกเจ้ายังปากดีอยู่ไม่ใช่รึไง?”

หมีดำกล่าวขึ้นมาอย่างเย็นชา “เข้ามา มาสู้กับข้า ข้าจะแสดงให้พวกเจ้าเห็นเองว่าพลังของอสูรเทวะราชันเป็นยังไง!”

ทันทีที่สิ้นเสียง เจ้าหมีดำผู้จองหองก็ไม่ยับยั้งสภาวะพลังของตัวเองอีกต่อไป มันปลดปล่อยแรงกดดันออกไปในบรรยากาศอย่างเต็มที่เพื่อผนึกการเคลื่อนไหวของอสูรเทวะทั้งสามเอาไว้

— ปัง! —

เสี่ยวเฮยคืออสูรเทวะที่มีระดับต่ำที่สุดในกลุ่ม เมื่อถูกพลังของคู่ต่อสู้ที่เหนือชั้นกว่าพุ่งเข้ากดดันก็ทำให้การเคลื่อนไหวแสนว่องไวของมันหยุดชะงักลง จนถูกมือยักษ์ใหญ่ของหมีดำฟาดจนร่วงตกลงไปกระแทกกับพื้น

จากนั้นยักษ์ศิลาก็เป็นรายต่อไปที่ถูกเจ้าหมีดำซัดกระเด็นออกไป

เสี่ยวจินรวดเร็วมากพอจึงสามารถหลบเลี่ยงการโจมตีของหมีดำได้  ทว่ามันก็คงยื้อได้อีกไม่นานนักเพราะถูกสภาวะพลังของอีกฝ่ายกดดันจนทำให้ความเร็วลดต่ำลงไปมาก

“พอไอ้หมีควายมันเปลี่ยนเป็นร่างจริง มันแข็งแกร่งขึ้นมากเลยจริงๆ”

เสี่ยวเฮยพยายามจะลุกขึ้นมาอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ลุกขึ้นมาได้ เจ้าอาชาสีนิลก็ได้เห็นหมีดำคำรามและวิ่งเข้าใส่ฉินอวี้โม่ที่ยังคงอยู่ในระหว่างการสยบต้นไม้วิญญาณ!

“นายหญิง ระวัง!”

เสี่ยวเฮยได้แต่ตะโกนออกมา ขณะที่เสี่ยวจินพุ่งตรงเข้าไปหาฉินอวี้โม่อย่างเร็วที่สุดเท่าที่มันจะทำได้

อย่างไรก็ตาม เมื่อหมีดำใช้ร่างแท้จริงแล้ว มันก็แข็งแกร่งขึ้นมามาก อีกทั้งความเร็วของมันก็เพิ่มขึ้นมาด้วย ดังนั้นเสี่ยวจินที่ถูกยับยั้งพลังไว้จึงไม่อาจจะไล่ตามมันได้ทัน

เมื่อได้ยินเสียงร้องของเสี่ยวเฮย ชื่อเซียวและคนอื่นๆ ก็รีบก้าวเข้าไปขว้างหน้าเจ้าหมียักษ์เพื่อปกป้องฉินอวี้โม่

แต่โชคร้ายที่พวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าอสูรมายาระดับเทวะราชัน พวกเขาทั้งหมดถูกมันซัดกระเด็นออกไปทีละคนสองคนในพริบตา

ตอนนี้ฉินอวี้โม่ตกอยู่ในภาวะวิกฤตเพราะกำลังอยู่ในขั้นตอนการสยบอสูรมายา แม้ว่าจะได้ยินเสียงร้องเตือนของเสี่ยวเฮยแต่นางก็มิอาจหลบหลีกได้ เพราะหากนางหลบแล้ว การสยบอสูรมายาจะต้องหยุดชะงัก ไม่ใช่เพียงแค่การจับสัตว์มายาล้มเหลวไปเท่านั้นแต่พลังมายาของนางก็จะได้รับความเสียหายอย่างหนักจากการรั้งพลังกลับมาอีกด้วย แน่นอนว่านางเองก็ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น

หมีดำพุ่งเข้ามาประชิดตัวฉินอวี้โม่แล้ว เมื่อเห็นเหยื่อไม่มีท่าทีว่าจะหลบ รอยยิ้มใหญ่ยักษ์ก็ปรากฏบนใบหน้ายักษ์ใหญ่ของมัน

หมีเทวะราชันกางกรงเล็บแหลมคมแล้วกวาดอุ้งเท้าหน้าเข้าใส่ตัวฉินอวี้โม่ทันที! ไม่ทราบเช่นกันว่ามันจะลงมือทำร้ายนางหรือเพียงแค่จับตัวนางไปเท่านั้น

ฉินอวี้โม่ได้ยินเสียงกรีดร้องของทุกคน และเสียงร้องเรียกอย่างหวาดกลัวถึงขีดสุดของเสี่ยวโร่ว อย่างไรก็ตามนางกลับยกยิ้มมุมปากและไม่มีอาการตื่นตระหนกหรือกังวลแม้แต่น้อย

“อสูรเทวะราชันตัวน้อยๆ กล้าเข้าใกล้นายหญิงของซิวมันเท่ากับรนหาที่ตาย!”

ก่อนที่กรงเล็บของหมีดำจะสัมผัสโดนร่างของสาวน้อยก็มีเสียงหนึ่งขึ้นดังมา

ในตอนนั้นทุกคนต่างก็มองเห็นว่ากรงเล็บขนาดใหญ่ของหมีดำชะงักค้างอยู่ตรงหน้าฉินอวี้โม่!