บทที่ 159.2 ส่งท่านจากไปไกลนับหมื่นลี้ โดย ProjectZyphon
ผู้เฒ่ายื่นฝ่ามือเหี่ยวแห้งข้างหนึ่งออกมา ห้านิ้วงอเป็นตะขอแล้วค่อยๆ กรีดลากลงเบื้องล่างทีละนิดพลางพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “ไม่เกี่ยวกับพี่สาวของเจ้าสักเท่าไหร่ แต่หลักๆ แล้วเป็นเพราะเจ้าวาดงูเติมขา *(เปรียบเปรยว่ากระทำการเกินความจำเป็น)*ทำร้ายให้ข้าต้องเสียตบะไปเปล่าๆ สามร้อยปี ทำให้หลังจากนี้ต้องมีมรสุมอุปสรรคมากมายปรากฏขึ้น พ่อจึงอารมณ์ไม่ค่อยดี เหตุผลแค่นี้พอหรือไม่?!”
ระหว่างนิ้วทั้งห้าของผู้เฒ่ามีดอกไม้สีแดงโลหิตเบ่งบานออกมาดอกแล้วดอกเล่า มองดูแล้วเล็กกะทัดรัดน่ารัก ทว่าความเป็นจริงแล้วกลับไม่อ่อนโยนน่าเข้าใกล้เลยแม้แต่น้อย
เพราะบนร่างของหญิงสาวที่ทะยานตัวอยู่กลางอากาศสูงปรากฏเป็นร่องเลือดขนาดใหญ่ยักษ์ที่ถูกนิ้วทั้งห้ากรีด สภาพนั้นอเนจอนาถยิ่งกว่าเนื้อหมูที่ถูกสับอยู่บนเจียงซะอีก หนึ่งมีดกรีดลงไป บาดลึกจนเห็นกระดูก
ไม่เพียงเท่านี้สตรีที่เดิมทีเผ่นหนีไปไกลร้อยจั้งในเสี้ยววินาทีกลับถูกดึงกลับมายังเมืองเล็กแห่งนี้อย่างรวดเร็ว
แต่ว่าโศกนาฎกรรมเกิดขึ้นกลางอากาศสูงอย่างเงียบเชียบ พวกชาวบ้านที่อยู่ในเมืองจึงสัมผัสไม่ถึง นอกจากคนเพียงหยิบมือที่เงียบหน้าขึ้นมองท้องฟ้าพอดี แต่ละคนจึงเบิกตากว้างอ้าปากค้างแล้ว คนอื่นๆ ก็ล้วนไม่ได้รับผลกระทบ
สุดท้ายร่างของสตรีก็ร่างกระแทกพื้นดังตุ้บ ทั่วร่างโชกไปด้วยเลือด อาภรณ์ยันต์อาคมที่เดิมทีงดงามยอดเยี่ยมฉีกขาดไม่เหลือชิ้นดี อาภรณ์ไม่อาจบดบังเรือนกาย สตรีขดร่างอยู่บนพื้น ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด หันไปขอร้องเจียวเฒ่าอย่างยากลำบาก
เจ้าประมุขทำเนียบตะวันม่วงผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ฝึกลมปราณแคว้นหวงถิงที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ เทพเซียนยิ่งใหญ่ที่มีหวังว่าจบะจะเลื่อนสู่ขอบเขตสิบกลับมานอนเกลือกกลิ้งคลุกดินอยู่บนพื้น
ผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อโบกมือหนึ่งครั้งอย่างไม่ใส่ใจ ร่างทั้งร่างของสตรีก็ลอยในแนวขวางไปกระแทกเสาคานของร้านคาข้างทางจนหักพัก แล้วจึงนอนกองอยู่ตรงมุมกำแพงตัวอ่อนโยนราวกับโคลนเละๆ
สีหน้าบุรุษชุดดำซีดขาว “ท่านราชครูผู้นั้นโกรธหรือ? การหยั่งเชิงที่เล็กน้อยเพียงเท่านี้ ต่อให้ลูกทำผิดจริง แต่มันมีค่าถึงขนาดที่เขาต้องขี่ช้างจับตั๊กแตนแบบนี้ด้วยหรือ? ไม่กลัวว่าพวกเราจะหันไปเข้าพวกกับต้าสุ้ยหรือไร?”
ผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อจ้องมองบุตรชายคนเล็กที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวแล้วถอนหายใจ สะบัดชายแขนเสื้อเดินจากไป ไม่คิดจะลงมือสั่งสอน เพียงทิ้งไว้สองคำว่า “สวะไร้ค่า”
นายท่านผู้เฒ่าเทพวารีแม่น้ำหันสือตรงขึ้นไปอุ้มพี่สาวที่หายใจรวยรินกลับขึ้นรถม้า สารภีคือปัญญาชนพ่อเฒ่าลำธารที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจวนมหาวารีผู้นั้น ตอนที่บุรุษชุดดำเลิกผ้าม่านขึ้น หันหลังให้กับปัญญาชน เขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เจ็บแค้นและเสียใจทีหลัง “สุยปิน เจ้าพูดถูกแล้ว ข้าไม่ควรบุ่มบ่ามขนาดนี้”
ปัญญาชนผู้มีความรู้สะบัดแส้ รถม้าจึงขับเคลื่อนไปช้าๆ ย้อนกลับไปยังโรงเตี๊ยมชิวหลู เขาเอ่ยเบาๆ ว่า “โชคดีกับโชคร้ายมักมาคู่กันเสมอ ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องเลวร้ายไปซะหมด เมื่อรู้เส้นบรรดทัดฐานของราชครูผู้นั้นแล้ว วันหน้าย่อมสื่อสารกันได้มากขึ้น วันนี้แค่เสียเปรียบเล็กๆ น้อยๆ อย่างไรก็ดีกว่าวันหน้าที่ท่านผู้เฒ่าเทพวารีหลงลำพองจนลืมตน โดนคนฆ่าทิ้งแล้วก็ยังไม่รู้สาเหตุ”
บุรุษชุดดำวางร่างพี่สาวไว้ในห้องโดยสารของรถม้า ตัวเขามานั่งอยู่ด้านหลังปัญญาชน กล่าวอย่างคนที่อับอายจนพานเป็นความโกรธ “เสียเปรียบเล็กน้อย?! ตบะของบิดาข้าหายไปสามร้อยปี ด้วยนิสัยของเขา วันหน้าข้าย่อมต้องโดนลงโทษ! คนอื่นไม่รู้ แต่เจ้าสุยปินก็ไม่รู้เหมือนกันหรือว่าพี่น้องเจ็ดแปดคนนั้นของข้าต้องตายยังไง?”
ปัญญาชนสุยปินกล่าวพร้อมยิ้มบางๆ “ตายแล้วสิดี ตายแล้วก็เหลืออยู่แค่สามคน เมื่อมีชีวิตอยู่ก็ไม่ต้องตาย หากเปลี่ยนมาเป็นในอดีตข้าคงต้องช่วยเก็บศพให้นายท่านผู้เฒ่าเทพวารีแล้ว อืม ไม่แน่ว่ายังต้องช่วยเก็บชิ้นส่วนมาประกอบกันด้วย ทางทิศตะวันตกชิ้นหนึ่ง ทิศตะวันออกชิ้นหนึ่ง ค่อนข้างจะยุ่งยากอยู่ไม่น้อย”
หากกุนซือผู้อยู่เบื้องหลังอย่างสุยปินพยายามเอ่ยปลอบใจด้วยถ้อยคำน่าฟัง บางทีบุรุษชุดดำอาจจะยิ่งกระวนกระวายไม่เป็นสุข แม้แต่จะอยู่ต่อในเมืองก็คงไม่กล้า ขนาดจวนมหาวารีก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะกล้ารั้งรออยู่นาน ต้องหนีไปหลบมรสุมไกลเป็นพันเป็นหมื่นลี้ ตอนนี้ได้ยินคำพูดเย็นชาเสียดสีจากสุยปิน บุรุษชุดดำกลับกลายเป็นว่าสบายใจอยู่หลายส่วน เหลือบตามองแผ่นหลังของพ่อเฒ่าลำธารที่มีร่างเป็นผีพรายผู้นี้ ในใจก็คิดว่าไม่น่าล่ะถึงถูกราชครูเด็กหนุ่มให้ความสำคัญไม่ต่างจากเว่ยหลี่ผู้พิทักษ์เมือง
“เจ้าอย่าเอาแต่พร่ำเรียกข้าว่านายท่านผู้เฒ่าเทพวารีได้หรือไม่ ข้าไม่ชิน หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้าชื่นชอบเจ้ามากเป็นพิเศษ เจ้าเองก็ไม่เคยอ่อนน้อมให้แก่ข้าจนไร้ศักดิ์ศรี ดีมาก แต่อย่าเอาแต่ร่วมทุกข์ไม่ยอมร่วมสุขล่ะ”
สุดท้ายบุรุษชุดดำก็ทอดถอนใจอย่างขุ่นขึ้ง “สุยปิน เจ้าว่าพ่อข้าเรียนหนังสือมานานหลายปี ไม่น้อยไปกว่าอริยะของลัทธิขงจื๊อ สมบัติส่วนตัวและหอตำราที่เก็บหนังสือไว้ก็อุดมสมบูรณ์เป็นอันดับหนึ่งของแคว้นหวงถิง แต่ทำไมถึงยังมีนิสัยฉุนเฉียวร้ายกาจขนาดนี้นะ”
สุยปินกล่าวยิ้มๆ “บิดาท่านก็ทำตัวนิสัยดีกับบัณฑิตเหล่านั้นไม่ใช่หรือ แถมยังดีจากใจจริงด้วย”
บุรุษชุดดำรู้สึกระอาใจกับเรื่องนี้อยู่มาก
สุยปินลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนกล่าวว่า “อันที่จริงการที่บิดาท่านโมโหเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้ เกรงว่าน่าจะต้องเกี่ยวพันกับโอกาสบนมหามรรคาด้วย แม้ว่าท่านจะจงใจปิดบังเรื่องนี้เอาไว้ แต่ราชครูต้าหลีผู้นี้ต้องคิดว่าบิดาท่านรู้เรื่อง เขามองเหตุการณ์ได้กว้างไกลถึงเพียงนั้นก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะไม่คิดใช้เหตุการณ์นี้ยุแยงความสัมพันธ์ระหว่างพวกท่านพ่อลูก”
บุรุษชุดดำนึกพรั่นพรึงอยู่ในใจ
ในห้องโดยสารมีน้ำเสียงแก่ชราที่อยู่นอกเหนือการคาดการณ์ของทุกคนดังขึ้นมา “สุยปิน เจ้าฉลาดถึงเพียงนี้ ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นเรื่องดี”
สุยปินหัวเราะร่า “ท่านผู้เฒ่า ข้าเองก็เคยเรียนหนังสือมาก่อน อืม ตอนนี้กลายเป็นผีบัณฑิตแล้ว ในเมื่อข้าตายไปแล้วยังจะกลัวตายไปอีกทำไม?”
เจียวเฒ่าที่ปรากฏตัวอย่างลึกล้ำยิ้มบางๆ “เจ้าลูกไร้ความสามารถของข้ามีผู้ช่วยอย่างเจ้า ข้าก็วางใจแล้ว”
บุรุษชุดดำหายใจติดขัดเล็กน้อย
ช่างเป็นนกที่ดีที่รู้จักเลือกกิ่งไม้พำนักนอนจริงๆ
หากจะบอกว่าเมื่อก่อนบิดาดูแคลนพ่อเฒ่าลำธารตัวเล็กๆ หรือไม่ก็เพราะการจำศีลอย่างระมัดระวังไม่ต้องการให้คนนอกมาร่วมรับรู้ ถ้าเช่นนั้นนับจากวันนี้เป็นต้นไปก็คงจะเริ่ม ‘แย่งชิงแผ่นดิน’ แล้ว ‘ขุนนางบุ๋นขุนพลบู๊’ อันเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ใช่ว่ายิ่งมีมากก็ยิ่งดีหรอกหรือ
ดูเหมือนสุยปินจะมองความคิดของนายท่านผู้เฒ่าเทพวารีแม่น้ำหันสือออกจึงยิ้มบางๆ เอ่ยเย้าว่า “วางใจเถอะ ข้าไม่มีทางแปรพักตร์ ต่อให้เป็นผี ความเด็ดเดี่ยวนี้ก็ยังพอจะมีอยู่”
เจียวเฒ่าที่นั่งอยู่ในห้องโดยสารปรายตามองบุตรสาวที่ขดตัวอยู่ในมุมด้วยสายตาเย็นชา แต่พอหันไปมองทางหน้าต่างรถกลับเปลี่ยนมาเป็นรอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนจากใจจริง “เรื่องของบุตรสาวเจ้าผู้นั้น ข้าเคยได้ยินมาก่อน ต้องการให้ข้าออกหน้าช่วยให้นางกลายเป็นเทพภูเขาของเขาสุ้ยซานหรือไม่?”
สุยปินส่ายหน้า “ลูกทรพีที่เทียบแม้แต่หมาหรือหมูไม่ได้ผู้นั้น ปล่อยนางไปตามยถากรรมเถอะ”
เจียวเฒ่าหัวเราะเสียงก้องกังวาน “นิสัยนี้เหมือนข้า”
บุรุษชุดดำที่นั่งอยู่ข้างนอกกับสตรีที่บาดเจ็บหนักอยู่ในห้องโดยสารรู้สึกเศร้าสลดใจขึ้นมาในเวลาเดียวกัน
แต่ละบ้านล้วนมีคัมภีร์ที่อ่านยากอยู่เล่มหนึ่ง
เทพวารีแม่น้ำหันสือก็ดี บุรพาจารย์บุกเบิกภูเขาของทำเนียบตะวันม่วงก็ช่าง ทั้งสองต่างก็ห่างจากตบะขอบเขตที่สิบอีกแค่ก้าวเดียว แต่ละคนต่างก็มีตำแหน่งสูงส่งในถิ่นของใครของมัน มีอำนาจชี้ต้นตายชี้ปลายเป็นได้อย่างเสรียิ่งกว่าจักรพรรดิในโลกมนุษย์เสียอีก
แต่แล้วจะอย่างไรเล่า?
……
ออกมาจากเมือง คนทั้งกลุ่มและรถม้ามุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก
ชุยฉานเดินลงจากรถม้ามาอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน เขาหันไปพูดยิ้มๆ กับหลี่ไหวก่อน “อยากนั่งรถม้าคันนั้นของข้าไหม? กว้างขวางสุขสบาย นอนหลับก็ยังได้”
หลี่ไหวทำท่าอยากลอง แต่ไม่กล้าตัดสินใจโดยพลการ เฉินผิงอันจึงยิ้มอย่างเข้าใจ “ไปเถอะ”
ชุยฉานเอ่ยเสียงเบา “อาจารย์ เรียนรู้การเป็นคนจากท่านมีประโยชน์ต่อข้าจริงๆ ผลประโยชน์ที่ได้รับมีไม่น้อย ต้องการให้ข้าขอบพระคุณหรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
ชุยฉานปิติยินดีเป็นล้นพ้น “ท่านอาจารย์ต้องการให้ข้าทำอย่างไร? แม้ว่าตอนนี้ข้าจะยังเปิดคลังสมบัติที่อยู่ในวัตถุฟางชุ่นไม่ได้ จึงยังไม่อาจเอาของอะไรออกมาจากในนั้นได้ชั่วคราว แต่ครั้งก่อนที่เข้าเมืองได้ไปซื้อสมบัติของตระกูลจากเถ้าแก่ร้านที่ไม่เอาไหนผู้นั้นมาได้ และอันที่จริงก็มีของดีอยู่สองชิ้น ยกตัวอย่างเช่นคนแก้วจิ๋วที่ซุกซ่อนกลไกลี้ลับ ขอแค่กรอกปราณวิญญาณหรือลมปราณที่แท้จริงเข้าไปในตัวมัน มันยังสามารถเริงระบำได้อย่างมีชีวิตชีวาเหมือนจริง แถมยังสามารถร้องเพลงได้อย่างไพเราะเสนาะหู…”
เฉินผิงอันพูดกับเขาว่า “หายตัวไปซะ”
ชุยฉานหมองเศร้าแล้วจึงจากไปอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะวิ่งไปตอแยหลินโส่วอีกับหลี่เป่าผิง ผลกลับกลายเป็นว่าต้องกินแกงหน้าประตูปิด (เปรียบเปรยว่าไม่ได้รับการต้อนรับ แขกที่มาเยือนแต่ถูกเจ้าบ้านปิดประตูใส่) สุดท้ายได้แต่ย้อนกลับเข้าไปในรถม้าอย่างขุ่นเคือง พอเห็นหลี่ไหวที่นอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ในห้องโดยสารอย่างมีความสุข ชุยฉานก็นั่งยองลงด้านข้าง เปิดห่อสัมภาระ หยิบคนจิ๋วที่ทำจากแก้วสีสันหม่นหมองออกมาโบกต่อหน้าหลี่ไหว “อยากได้หรือไม่?”
หลี่ไหวจ้องหุ่นแก้วหญิงที่ประณีตงดงาม ขนาดประมาณครึ่งฉื่อ เด็กชายเอ่ยด้วยคำพูดที่ไม่ได้มาจากใจจริง “ไม่เห็นอยากได้เลยสักนิด”
ชุยฉานออกแรงเล็กน้อย กระจกจากด้านในถึงด้านนอกก็ค่อยแผ่แสงนุ่มนวลทีละนิด จากนั้นชุยฉานก็วางมันลงบนพื้นกระดานของห้องโดยสาร เพียงไม่นานคนงามแก้วกระจกก็ส่งเสียงกึกๆ กักๆ หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก็พลันมีชีวิต แถมยังเริ่มร่ายรำ เรือนกายบิดยักย้าย ขณะเดียวกันก็คลอเพลงพื้นบ้านเก่าแก่ไม่ทราบชื่ออยู่ในลำคอไปด้วย นั่นไม่ใช่ภาษาทางการของต้าหลีหรือต้าสุย แล้วก็ไม่ใช่ภาษาราชการของแจกันสมบัติทวีป ดังนั้นหลี่ไหวจึงไม่เข้าใจว่านางร้องว่าอะไร แต่ภาพนี้ช่างจำเริญหูจำเริญตายิ่งนัก เด็กชายอดใจไม่ไหวจึงนอนคว่ำลงไปกับพื้น เหม่อมองท่าร่ายรำที่พลิ้วไหวอ้อนแอ้นของสาวงามร่างแก้วอย่างเคลิบเคลิ้ม
รอจนแสงในร่างแก้วถดถอยไปสิ้น สาวงามก็หยุดนิ่งดังเดิม กลับคืนมาเป็นของตายที่แข็งทื่อไม่อาจขยับเขยื้อน
ชุยฉานเอ่ยหลอกล่อไม่หยุด “ยกให้เจ้าเปล่าๆ เจ้าก็ไม่ต้องการหรือ? เจ้าจะกลัวอะไร เจ้าคือเพื่อนของเฉินผิงอัน ข้าคือลูกศิษย์ของเฉินผิงอัน ความสัมพันธ์ใกล้ชิดขนาดนี้ ข้าจะมีเจตนาร้ายอะไรกับเจ้าได้? อีกอย่างบนร่างเจ้ามีอะไรที่มีค่าให้ข้าคิดร้ายด้วย ถูกหรือไม่?”
หลี่ไหวดึงสายตากลับมามองชุยฉาน กล่าวอย่างขุ่นเคือง “เจ้าผายลม บนร่างข้ามีสมบัติมากมายนักล่ะ! เจ้ามีแมลงเงินไหม? มันกลายร่างเป็นตั๊กแตนเป็นแมลงปอได้ด้วย!”
ชุยฉานไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “นั่นข้าเป็นคนให้เจ้าไม่ใช่หรือไง?”
หลี่ไหวพยักหน้ารับ “ใช่สิ ตอนนี้เป็นของข้าแล้ว เพราะฉะนั้นเจ้าก็ไม่มีแล้วไง”
ชุยฉานนั่งพิงผนังรถ กุมท้องหัวเราะดังลั่น “สมกับเป็นเจ้าลูกหมาน้อยของถ้ำสวรรค์หลีจู โดยเฉพาะคนอย่างพวกเจ้าที่อาศัยความโชคดีและวาสนาจนกระทั่งสุดท้ายกลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดเพียงกลุ่มเดียวที่เหลืออยู่ของฉีจิ้งชุน ไม่มีใครเป็นตะเกียงประหยัดน้ำมันสักคน สือชุนเจียกับต่งสุ่ยจิ่งสองคนนั้นแย่กว่าสักหน่อย ไม่ได้ดีไปกว่าอวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยสักเท่าไหร่”
ชุยฉานเงยหน้ามองไปยังเพดานเหนือศีรษะของตัวเองแล้วจุ๊ปากพูด “ช่างสมกับเป็นลิขิตสวรรค์ที่มองไม่เห็น”
พอดึงสายตากลับมา ชุยฉานก็หันไปมองเด็กชายที่นอนเหม่ออยู่บนพื้นห้องโดยสาร จึงถามอย่างสงสัย “ไม่ต้องการจริงๆ รึ?”
หลี่ไหวอืมตอบหนึ่งที “ไม่ต้องการหรอก เมื่อคืนวานก่อนนอนเฉินผิงอันก็บอกกับข้าแล้วว่า วันหน้าเมื่อไปถึงสถานศึกษาต้าสุยห้ามรับผลประโยชน์จากคนอื่นส่งเดช”
ชุยฉานเอ่ยหยอกเย้า “แต่ว่านี่ยังอยู่ห่างจากชายแดนของต้าสุยอีกตั้งหลายร้อยลี้นะ ต่อให้เข้าไปในขอบเขตของต้าสุยแล้ว กว่าจะไปถึงสถานศึกษาซานหยาแห่งใหม่ก็ยังต้องเดินทางอีกตั้งเจ็ดแปดร้อยลี้ รวมกันแล้วอย่างน้อยก็ต้องเดินทางเป็นพันลี้ เจ้าหลี่ไหวจะรีบร้อนไปไย?”
หลี่ไหวมองฝ้าเพดาน “เฉินผิงอันบอกว่าเขาจะไม่เรียนหนังสืออยู่ที่สถานศึกษา หลังจากส่งพวกเราไปถึงแล้วเขาก็จะกลับไปยังบ้านเกิด”
ชุยฉานยิ้ม “นี่เป็นเรื่องที่พวกเจ้ารู้ตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือ?”
หลี่ไหวรองมือสองข้างไว้ใต้ศีรษะต่างหมอน เอ่ยเบาๆ “เดินไปเดินมา ข้าก็ลืมไปแล้วนี่นา”
ชุยฉานอึ้งตะลึง
จากนั้นเขาก็เอ่ยอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น “ไม่เป็นไร ข้าไม่อยู่ต่อที่สำนักศึกษา ถึงเวลานั้นจะกลับไปเมืองเล็กเป็นเพื่อนเฉินผิงอัน หลี่ไหว เจ้าอิจฉาข้าหรือไม่?”
หลี่ไหวหันขวับกลับมา ใบหน้าชุยฉานเต็มไปด้วยความลำพองใจ
หลี่ไหวถลันพรวดลุกขึ้นยืน เลิกผ้าม่านหน้ารถ แหกปากเสียงดังด้วยสีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจ “เฉินผิงอัน เจ้าชุยฉานผู้นี้จะหลอกเอาเงินจากข้า?”
ชุยฉานรีบพุ่งไปกอดเจ้าลูกหมาไว้อย่างลนลาน เพื่อไม่ให้เขาใส่ร้ายป้ายสีตนต่อไป แล้วหันไปโอดครวญกับเฉินผิงอัน “ข้าถูกใส่ร้าย!”
ครู่หนึ่งต่อมา เฉินผิงอันที่บุกเข้าไปสังหารถึงในห้องโดยสารก็พาหลี่ไหวออกมาจากรถม้า
หลี่ไหวเอ่ยอย่างระมัดระวัง “เฉินผิงอัน ข้าหลอกเจ้า”
เฉินผิงอันกดเสียงต่ำ ข้ารู้ ก็แค่ไม่ชอบขี้หน้าไม่หมอนั่น”
ในห้องโดยสาร เด็กหนุ่มชุดขาวที่หน้าปูดบวมเขียวช้ำนอนแยกเขี้ยวอยู่ในรถ ไม่เพียงแต่ไม่มีสีหน้าห่อเหี่ยว กลับยังคลี่ยิ้มอารมณ์ดี
—–