บทที่ 159.3 ส่งท่านจากไปไกลนับหมื่นลี้ โดย ProjectZyphon
ชายแดนฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของแคว้นหวงถิง ริมแม่น้ำสายหนึ่ง หลังจากจ้องมองศาลเทพวารีที่ขนาดด้อยกว่าแม่น้ำหันสือไกลโขอยู่พักหนึ่ง คนทั้งกลุ่มที่ออกเดินทางอีกยี่สิบกว่าลี้ก็เริ่มหยุดพักเตรียมกินอาหารกลางวัน
ตอนนี้เรื่องก่อไฟทำอาหารมีอวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยที่ไม่นิ่งเฉยดูดายเหมือนเดิมอีกต่อไปเป็นลูกมือคอยช่วยเหลือ เฉินผิงอันจึงไปตกปลาอยู่ริมแม่น้ำได้อย่างวางใจ ใบไม้ผลิตกในคันนา ร้อนตกในน้ำลึก ใบไม้ร่วงตกใต้ร่มเงา หนาวตกกลางแดดจ้า นี่ถือสุภาษิตที่สืบทอดต่อกันมาในเมืองเล็ก เวลานี้เป็นช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วง เฉินผิงอันวิ่งเหยาะๆ ไปตลอดทาง ตั้งใจหาอ่าวที่มีลมหวนขนาดไม่ใหญ่นักโดยเฉพาะ แล้วถึงเริ่มตกปลา
หนึ่งเค่อต่อมา เฉินผิงอันก็ตกปลาแม่น้ำสีดำที่หางยาวประมาณหนึ่งฉื่อกว่าได้สำเร็จ แต่ด้วยกลัวว่าคันเบ็ดจะหักกลางคันหรือไม่ปลาใหญ่ก็หลุดออกจากเบ็ด การลากปลาขึ้นฝั่งจึงเสียเวลาไปเกือบอีกหนึ่งเค่อ ชุยฉานนั่งยองมองตาไม่กะพริบอยู่ด้านข้างตลอดเวลา ขากลับยังยืนกรานว่าจะช่วยหิ้วปลากลับไปให้ได้ ผลกลับกลายเป็นว่าอาหารเย็นมื้อนี้มีปลาตุ๋นรสชาติเยี่ยมเพิ่มมาอีกหนึ่งหม้อ ชุยฉานที่คิดว่าตัวเองมีคุณความชอบโดดเด่นกว่าใครพุ่ยตะเกียบเร็วราวกับบิน แย่งกินกับหลี่ไหวจนหูตาแดงก่ำ
กินข้าวเสร็จแล้ว อวี๋ลู่ก็เก็บกวาดซากเละเทะ พอมีเวลาว่าง เฉินผิงอันก็เริ่มฝึกเดินนิ่งตรงริมแม่น้ำ
อวี๋ลู่ยืมคันเบ็ดตกปลาไปหาที่ตกปลาเอง
หลินโส่วอีเล่นหมากล้อมกับเซี่ยเซี่ย หลี่เป่าผิงอ่านหนังสืออย่างตั้งใจ ในหีบหนังสือของหลี่ไหมีสาวงามร่างแก้วเพิ่มขึ้นมาหนึ่งตัว เป็นของเดิมพันที่เขาได้มาจากการเอาชนะชุยฉาน นี่ไม่ใช่ว่าชุยฉานยอมอ่อนข้อให้ คนทั้งสองอาศัยการเดาจำนวนมากน้อยของตัวหมากล้อมสีดำและสีขาวอย่างยุติธรรม อวี๋ลู่ที่นั่งหันหลังให้คนทั้งสองเป็นคนหยิบเม็ดหมาก ผลกลับกลายเป็นว่าชุยฉานชนะสองแพ้สาม จึงต้องยกสาวงามร่างกระจกให้กับอีกฝ่ายไป หลี่ไหวไม่เพียงแต่รักษาแมลงเงินก้อนนั้นไว้ได้ แต่กลับมี “ขุนพลแกร่งกร้าว” มาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเพิ่มอีกคนหนึ่ง
เฉินผิงอันเดินนิ่งไปตลอดทาง เขาเดินห่างออกไปไกลมาก สุดท้ายนั่งอยู่บนก้อนหินหน้าผาริมแม่น้ำเพียงลำพัง รับลมแม่น้ำที่พัดโชยมา แล้วฝึกวิชาการหายใจสิบแปดหยุดอยู่บนหินหน้าผา ก่อนที่เด็กหนุ่มจะทดลองฝึกเดินนิ่งด้วยความเร็วที่ช้าที่สุด
ท่ามกลางเสียงเคลื่อนไหวรอบด้าน ปราณนิ่งจิตสงบ
……
หลังออกจากเส้นทางทางน้ำมาได้ไม่นานเท่าไหร่ ก็ได้ไปเจอกับโจรภูเขาฝีมือกระจอกงอกง่อยกลุ่มหนึ่งบนภูเขารกร้างห่างไกลผู้คน หลินโส่วอีเผยวิชาสายฟ้าที่เพิ่งฝึกได้ไม่นาน คนชั่วก็ตกใจจนขี้เยี่ยวราด
การตกปลายามค่ำคืนของเฉินผิงอันครั้งหนึ่งเขาตกได้ปลาดำตัวใหญ่สูงครึ่งตัวคน ต้องลงน้ำถึงจะสามารถจับปลาใหญ่หายากตัวนั้นได้สำเร็จ เฉินผิงอันอารมณ์ดีถึงขนาดที่ว่าพอกลับไปถึงข้างกองไฟแล้วเห็นอวี๋ลู่ที่นั่งอยู่ยามก็ฉีกยิ้มกว้างให้อีกฝ่าย อวี๋ลู่มองเจ้าคนที่ทั้งร่างเปียกมะลอกมะแลกแล้วชูนิ้วโป้งให้
ระยะทางหลังจากนั้นมีครั้งหนึ่งที่ผ่านสุสานไร้ญาติซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความชั่วร้าย เจอผีและวิญญาณล้อมโจมตี หลินโส่วอีที่ฝึกเวทสายฟ้าจนเริ่มประสบความสำเร็จเผยให้เห็นบารมีน่าเกรงขาม ทุกครั้งที่ลงมือก็เหมือนจะมีเสียงฟ้าผ่าดังให้ได้ยินแว่วๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใบหน้าของเขายังเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาเรืองรอง ทั่วร่างมีปราณสีม่วงจางโอบล้อม มองดูคล้ายขุนพลเทพสายฟ้าองค์หนึ่ง ภูตผีวิญญาณร้ายถูกเวทสายฟ้าสังหารไปหลายสิบตน จุดลึกในสุสานไร้ญาติก็พลันมีแสงไฟสว่างไสวตามมาด้วยเสียงแผดคำรามน่าขนลุก เกี้ยวขนาดใหญ่ยักษ์ที่สี่มุมแขวนโคมไฟลอยล่องขึ้นมาพร้อมปราณน่าสยดสยอง
ภายใต้สถานการณ์ที่เฉินผิงอันและเซี่ยเซี่ยร่วมกันให้การคุ้มกันอยู่ข้างกาย หลินโส่วอีที่ยังใช้วิชาสายฟ้าได้อย่างไม่คุ้นมือยืนหยัดได้ครู่หนึ่งก็ยังไม่อาจเอาชนะงูเจ้าถิ่นของสุสานไร้ญาติที่อยู่ในเกี้ยวซึ่งเป็นภูตผีที่ฝึกตนมาหนึ่งร้อยปี จนกระทั่งรวบรวมร่างวิญญาณแท้จริงขึ้นมาได้
ผลกลับกลายเป็นว่าอวี๋ลู่ที่ไม่เคยลงมือพุ่งทะยานออกไป ต่อยหมัดเดียวออกไปอย่างผ่อนคลายก็สลายปราณวิญญาณทั้งหมดของผีตนนั้น จนมันไม่เหลือสภาพเดิมอยู่อีก
หลังจากนั้นมาหลินโส่วอีก็เปิดอ่านตำรา ‘เหนือเมฆพร่างพราว’ ถี่ยิ่งขึ้น
แล้วก็เป็นเช่นนี้จนกระทั่งคนทั้งกลุ่มไปถึงหน้าด่านของต้าสุย ผ่านประตูเมืองหน้าด่านที่ไม่สูงใหญ่โอ่อ่ามาได้แล้ว หลี่ไหวก็บ่นพึมว่าสถานที่แห่งนี้สู้ด่านเหย่ฟูต้าหลีไม่ได้เลยจริงๆ แตกต่างกันอักโขนัก
ทว่านาทีถัดมาก็มีเสียงกีบม้าดังขึ้นบนถนนในด่านเป็นระลอก จากไกลขยับมาใกล้ ยิ่งนานก็ยิ่งสั่นสะเทือนใจคน
เฉินผิงอันบอกให้ทุกคนรอนิ่งๆ อยู่ข้างทางห้ามไม่ขยับ หลีกทางให้กับอีกฝ่าย
เห็นเพียงว่าทหารม้ายี่สิบว่านายห้อตะบึงมาถึงราวกับสายฟ้า มีขุนพลฝ่ายบู๊ที่สวมเกราะเงินถือทวนยาวเป็นผู้นำ นอกจากนี้แล้วยังมีนักพรตเฒ่าที่ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายของความเป็นเซียน ด้านหลังแบกกระบี่ไม้ท้อเล่มหนึ่ง ผิวพรรณขาวนวลไร้ขน กุมมือสองข้างอยู่ในชายแขนเสื้อนั่งบนหลังมาอย่างนิ่งสงบอีกหนึ่งคน เทพเซียนผู้เฒ่าที่มีท่วงท่าสูงส่งเหนือโลกีย์สองคนหนึ่ง คนหนึ่งอยู่ซ้าย อีกคนอยู่ขวาให้การปกป้องเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาดุจหยกเอาไว้
พอเห็นเด็กหนุ่มคนนี้ เฉินผิงอันก็พลันใจสั่น
กลัวอะไรก็เจอสิ่งนั้น
ส่วนเด็กหนุ่มชุดแพรที่เคยปรากฎตัวในเมืองเล็กเห็นพวกเฉินผิงอันก็หัวเราะร่าพุ่งนำจากกลุ่มทหารม้ามาเป็นคนแรก ขณะที่ยังอยู่ห่างจากพวกเฉินผิงอันอีกสิบกว่าก้าวก็รีบหยุดบังเหียน ครั้นจึงพลิกตัวลงจากหลังม้าอย่างคุ้นเคย เขาเดินก้าวยาวๆ มาเบื้องหน้า พอเดินวนครบหนึ่งรอบแล้วก็หันไปเอ่ยกับเฉินผิงอันยิ้มๆ “พวกเราได้เจอกันอีกแล้ว!”
เด็กหนุ่มกำแส้เฆี่ยนม้าไว้ในมือ เอามันตีฝ่ามืออีกข้าง พลางพูดพึมพำกับตัวเอง “เจ้ารู้หรือไม่เพราะปลาหลีสีทองตัวนั้น รวมไปถึงสมบัติที่ข้าเพิ่งรู้ทีหลังว่าชื่อ ‘ข้องราชามังกร’ นั่น ทำเอาข้าเกือบตายอยู่ที่ชายแดนต้าหลี”
แล้วเด็กหนุ่มก็พลันหัวเราะร่าเสียงดัง “แต่ข้ายังต้องขอบคุณเจ้า! ต่อให้ตอนนั้นข้าจะให้เงินแก่นทองเจ้าไปหนึ่งถึงแล้ว ตอนนี้มาคิดๆ ดูก็ยังเหมือนว่าข้าเอาเปรียบเจ้าอยู่ดี ข้าเคยสาบานว่าเมื่อพบเจ้าในวันหน้า จะต้องตอบแทนเจ้าให้มากกว่าเดิม…”
เด็กหนุ่มตบหัวตัวเอง แล้วแนะนำตัวเองอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย “ข้าคือลูกหลานสกุลเกาแห่งนครอี้หยางต้าสุย เจ้าเรียกข้าตรงๆ ว่าเกาเซวียนก็ได้”
ผู้เฒ่าไร้หนวดที่เคยพบเฉินผิงอันมาก่อนเช่นกันขยับปากจะพูด แต่เด็กหนุ่มที่ชื่อว่าเกาเซวียนกลับโบกมือตัดบท “ไม่เป็นไร ก็แค่ชื่อเท่านั้น เดิมทีก็มีไว้ให้คนเรียกอยู่แล้ว”
เด็กหนุ่มมองมายังกลุ่มพวกเขา พูดยิ้มๆ ว่า “ข้ามารับพวกเจ้าด้วยตัวเอง เพื่อเดินทางไปยังสถานศึกษาซานหยาต้าสุย”
……
นับจากวันนี้เป็นต้นไป ตั้งแต่องค์รักษ์ส่วนพระองค์สามสิบกว่านายที่เด็กหนุ่มแซ่เกาพามา ไปจนถึงทหารม้าเฝ้าพิทักษ์ชายแดนสองร้อยกว่านาย จนสุดท้ายถึงกลุ่มองค์รักษ์คุ้มครองพระองค์อีกหนึ่งพันกว่าคนก็พากันข้ามผ่านขอบเขตของเจ็ดเมืองสองเขตการปกครอง เร่งรุดเดินทางไปยังเมืองหลวงของต้าสุยอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร
ในที่สุดกลุ่มคนที่เดินทางไกลไปขอศึกษาต่อก็ไม่ต้องเดินขึ้นเขาลงห้วยไปทีละก้าวอีกแล้ว ต่อให้เป็นหลี่ไหวก็ยังได้นั่งรถม้าอย่างมีหน้ามีตา สองข้างฝั่งและหน้าหลังของรถม้าต่างก็มีทหารกล้าฝีมือแข็งแกร่งของต้าสุยขนาบล้อม บางครั้งสายตาของผู้คนรอบด้านที่มองมายังรถม้าก็ล้วนเต็มไปด้วยความเคารพนอบน้อมและอิจฉาอย่างที่หลี่ไหวไม่อาจเข้าใจ
เดินทางต่อมาจนกระทั่งมองเห็นเค้าโครงของกำแพงเมืองหลวงต้าสุยได้รำไร หลี่ไหวถึงขั้นรู้สึกว่าตัวเองคล้ายพระโพธิสัตว์ที่ถูกคนยกขึ้นบูชาบนหิ้ง
ตอนแรกเริ่มหลี่ไหวยังรู้สึกสนุกและแปลกใหม่อยู่บ้าง แต่ยิ่งขยับเข้าใกล้จุดหมายปลายทาง หลี่ไหวก็ยิ่งรู้สึกไม่ร่าเริงเป็นตัวเอง
หลี่เป่าผิงยิ่งเงียบงัน ทุกคนต้องคอยทำตัวติดกับเฉินผิงอัน
หลินโส่วอีไม่สนอะไรทั้งสิ้น ทุกวันเอาแต่หลบอยู่ในห้องโดยสารของตัวเอง สงบใจฝึกตนเพียงลำพัง
อวี๋ลู่ที่ยังคงขับรถม้าให้ชุยฉานมองไม่ออกถึงการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์
ชุยฉานที่อยู่ในห้องโดยสารเบื่อหน่ายสุดขีด ทุกวันหากไม่นอนตื่นสายก็หาวหวอดๆ ไร้ชีวิตชีวาและความสดชื่น ได้แต่เรียกเซี่ยเซี่ยให้เข้าไปเล่นหมากล้อมด้วยกันในห้องโดยสาร
สุดท้ายเหลือกองทัพม้าแค่ร้อยกว่านายที่ขับควบเข้าไปในเมืองหลวง หลี่ไหวค้นพบด้วยความตะลึงพรึงเพริดว่าบนถนนหลวงที่กว้างขวางอย่างถึงที่สุดเส้นนั้นมีประชาชนชาวต้าสุยยืนออกันแน่นขนัดเต็มไปหมด เมืองหลวงแห่งนี้เหมือนมีคนมารวมตัวกันนับหมื่น กินอิ่มแล้วว่างงานจึงพากันมาดูเรื่องสนุก
หลินโส่วอีลืมตาขึ้น ไม่มุ่งมั่นฝึกตนอีกต่อไป เลิกผ้าม่านขึ้นมุมหนึ่ง มองเห็นภาพผู้คนเบียดเสียดนอกหน้าต่าง เด็กหนุ่มก็ถอนหายใจหนึ่งที
ที่แท้ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของอาจารย์ฉีก็ไม่ธรรมดาถึงเพียงนี้
สำนักศึกษาซานหยาแห่งใหม่ที่ย้ายมาอยู่ต้าสุยตั้งอยู่บนภูเขาตงหัวที่มีทัศนียภาพงดงามที่สุดของเมืองหลวงต้าหลี สำนักศึกษาแห่งนี้สร้างขึ้นตามแนวเขา ค่อยๆ ไล่ระดับให้สูงขึ้นทีละนิด ขนาดใหญ่โตเกินกว่าเมื่อครั้งที่เป็นสถานศึกษาอยู่ในต้าหลี
ว่ากันว่าฮ่องเต้ต้าสุยไม่เพียงแต่เชิญปราชญ์ลัทธิขงจื๊อที่มีความรู้มากที่สุดของต้าสุยมาสอน ยังขอให้แคว้นพันธมิตรที่มีความสัมพันธ์อันดีกับต้าสุยส่งขุนนางกรมพิธีการถึงครึ่งหนึ่งโดยมีซือหลางฝ่ายซ้ายเป็นผู้นำให้เดินทางไปหาปัญญาชนที่มีชื่อเสียงของพื้นที่ต่างๆ ส่งคำเชื้อเชิญไปพร้อมของขวัญชิ้นใหญ่ สุดท้ายเชิญอาจารย์และผู้มีความรู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วราชสำนัก และบางคนยังเป็นถึงจ้าวแห่งวงการวรรณกรรมของแคว้นมาได้ถึงสามสิบกว่าคน เพื่อมารับหน้าที่เป็นอาจารย์สอนของสำนักศึกษาซานหยาแห่งใหม่ที่ตั้งอยู่บนภูเขาตงหัวเมืองหลวงต้าสุย
แต่นับจากฮ่องเต้ต้าสุยมาจนถึงชาวบ้านทั่วไปล้วนรู้ดีว่าสำนักศึกษาซานหยาที่มีและไม่มีฉีจิ้งชุนนั้นคือสถานศึกษาซานหยาสองแห่งที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ตอนนี้ฉีจิ้งชุนผู้เป็นเจ้าขุนเขาเงียบหายไร้ร่องรอย ได้ยินว่าป่วยตายไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นสำนักศึกษาที่มีลูกศิษย์ผู้สืบทอดของฉีจิ้งชุนเป็นผู้ “บัญชาการณ์” ย่อมเป็นสิ่งที่สำคัญในความสำคัญ หาไม่แล้วจะกลายเป็นว่านามไม่เที่ยง วาจาไม่ราบรื่น ยากที่จะสยบผู้คนได้อย่างเด็ดขาด
ตอนนี้พวกเขามาถึงแล้ว มาถึงเมืองหลวงต้าสุยดุจถ่านร้อนที่ยื่นให้ท่ามกลางหิมะ ดังนั้นฮ่องเต้ต้าสุยจึงรู้สึกว่าไม่ว่าจะใช้พิธีต้อนรับที่ยิ่งใหญ่มากแค่ไหนก็ล้วนไม่มากเกินไป
แม้ว่าจะมีเพียงเด็กสามคน แต่แค่นี้ก็เกินพอแล้ว!
พวกเขาที่ว่านี้แบ่งออกเป็นหลินโส่วอี หลี่ไหว หลี่เป่าผิง
นอกจากนี้แล้วยังมีอีกสองคนที่ไม่ใช่ลูกศิษย์ผู้สืบทอด แน่นอนว่าน้ำหนักของพวกเขาย่อมเทียบกับสามคนแรกไม่ได้ แต่ก็ถือว่าเป็นการปักดอกไม้ลงบนผ้าแพร
อวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ย
……
เส้นทางที่ทอดยาวไปยังภูเขาตงหัวถูกเก็บกวาดจนสะอาดเอี่ยมนานแล้ว ไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาเดินโดยพลการ ดังนั้นต่อให้เป็นลูกหลานตระกูลชนชั้นสูงก็ยังได้แค่ยืนอยู่บนหอสูงสองฟากทาง มองไกลๆ มายังกลุ่มทหารที่มีความหมายไม่ธรรมดากลุ่มนั้น
ฮ่องเต้สกุลเกาแห่งต้าสุยสวมชุดคลุมมังกรสีเหลืองสดที่เป็นทางการที่สุดยืนอยู่นอกประตูสำนักศึกษาตรงตีนเขา ทอดสายตามองเด็กห้าคนที่แยกกันเดินลงมาจากรถม้าสองคันด้วยรอยยิ้มเมตตา
ด้านหลังฮ่องเต้ก็คือคนกลุ่มเล็กที่มีอำนาจมากที่สุดของต้าสุย
บรรยากาศของตลอดทั้งภูเขาตงหัวเคร่งขรึมเป็นการเป็นงาน
ลำพังเพียงแค่ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบที่เลิกแก่งแย่งชิงดีกับผู้คนบนโลกนานแล้วซึ่งอยู่ใกล้กับบริเวณของภูเขาตงหัวก็มีมากถึงหกท่าน ทุกคนต่างก็ซ่อนตัวอยู่ในที่มืดเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน
หลี่เป่าผิงถาม “อาจารย์อาน้อยล่ะ?”
ทุกคนต่างก็หันมามองหน้ากัน ไม่เว้นแม้แต่อวี๋ลู่
แล้วเด็กๆ เหล่านี้ก็ทิ้งฮ่องเต้ต้าสุยให้คอยเก้ออยู่ตรงนั้น
……
บนถนนบางเส้นของเมืองหลวงต้าสุย เด็กหนุ่มชุดขาวที่หน้าตาชวนมองเดินถอยหลังมองคนวัยเดียวกันที่แบกตะกร้าไม้ไผ่ไว้ด้านหลัง เอ่ยถามอย่างใคร่รู้ “เจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้า สวมรองเท้าหุ้มแข้ง ปักปิ่นบนมวยผมแล้ว ทำไมถึงไม่เข้าสถานศึกษาไปพร้อมกับพวกเขาล่ะ?”
เด็กหนุ่มที่ในที่สุดก็ไม่สวมรองเท้าแตะไม่เอ่ยคำใด เพียงหันหน้ากลับไปมองด้านหลัง
—–