บทที่ 160 เด็กหนุ่มรู้รสชาติของความทุกข์แล้ว โดย ProjectZyphon
สำหรับการเสียมารยาทของเด็กๆ ทั้งหลาย นับจากฮ่องเต้ต้าหลีไปจนถึงขุนนางด้านหลังของเขา ไม่มีใครที่รู้สึกว่าไม่เหมาะสม กลับกลายเป็นว่าแต่ละคนคลี่ยิ้ม รู้สึกว่าน่าสนใจ เห็นได้ชัดว่าภาษาและวรรณกรรมของต้าสุยนั้นเจริญรุ่งเรืองมากแค่ไหน
เห็นเพียงว่ากลุ่มเด็กๆ ที่เดินทางมาไกลจับกลุ่มกระซิบกระซาบกัน หีบหนังสือสีเขียวมรกตใบเล็กสามใบเด่นชัดสะดุดตามากเป็นพิเศษ แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงนั้นโดดเด่นที่สุด ท่าทางของนางร้อนรนอย่างมาก ส่วนเด็กชายที่ตัวเล็กที่สุด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแปลกที่แปลกถิ่น กลัวการต้อนรับที่เอิกเกริกของฮ่องเต้ต้าสุยหรือไม่ถึงได้ร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุด
ฮ่องเต้ต้าหลีไม่เพียงแต่ไม่มีสีหน้ารำคาญใจ ยังหันหน้ากลับมาคุยเล่นกับเจ้ากรมพิธีการผู้มีเส้นผมขาวโพลนอย่างสบายใจด้วย
ถึงท้ายที่สุด เด็กนักเรียนที่เดินทางรอนแรมไกลเป็นพันลี้เพื่อมาขอศึกษาต่อที่ต้าสุยก็หันไปมองสุดปลายทางถนนอย่างพร้อมเพรียง ไม่ยินยอมกระตือรือร้นมาเข้าเฝ้าฮ่องเต้ต้าสุย
แม้จะบอกว่าฮ่องเต้ต้าสุยไม่รีบร้อนไม่เร่งรัด ทว่ามัวถ่วงเวลาอยู่อย่างนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง ปราชญ์ผู้มากความรู้ซึ่งเป็นหนึ่งในสามรองเจ้าขุนเขาสามท่านของสำนักศึกษาซานหยาแห่งใหม่ ผู้มีชื่อเสียงในวงการภาษาและวรรณกรรมของราชวงศ์ต้าสุยจึงจำเป็นต้องกราบทูลฝ่าบาทหนึ่งคำ แล้วเดินออกไปจากกลุ่มเพียงลำพังเพื่อเตือนเด็กกลุ่มนั้นว่าควรจะเข้ามาในสำนักศึกษาได้แล้ว
ยังดีที่ไม่มีเรื่องไม่คาดฝันหรืออุปสรรคอื่นๆ เกิดขึ้นอีก แม้พวกเด็กๆ จะไม่รู้พิธีการของราชสำนัก แต่พวกเขาชนะใจผู้คนด้วยความบริสุทธิ์และน่ารัก ทำพิธีคำนับตามรูปแบบของศิษย์ลัทธิขงจื๊อได้เหมือนผู้ใหญ่ นี่ทำให้ฮ่องเต้ต้าสุยทรงโสมนัสอย่างยิ่ง ประทานหยกประดับ ‘เที่ยงธรรม’ คนละก้อนและก้อนหมึกมังกรทองคนละหนึ่งกล่องแก่เด็กทั้งห้ากับพระหัตถ์ตัวเอง หลังจากเข้ามาในสำนักศึกษาแล้ว นอกจากจำเป็นต้องกราบไหว้ภาพแขวนของปรมาจารย์มหาปราชญ์แล้ว พิธีการซับซ้อนยิบย่อยอื่นๆ ที่ต้องใช้เวลาเป็นครึ่งวันล้วนตัดทอนให้เรียบง่ายที่สุด นี่ทำให้พวกหลี่เป่าผิงสามคนที่ทำท่าเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวร้ายรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ส่วนอวี๋ลู่กับเซี่ยเซี่ยนั้นกลับเห็นเป็นปกติ ไม่มีท่าทางตื่นเต้นตึงเครียดให้เห็น
สุดท้ายรองเจ้าขุนเขาเป็นผู้พาพวกเขาไปยังหอพักของใครของมัน บอกเล่าถึงคาบเรียนที่จะสอนในภายหลัง คนทั้งห้าถูกแยกกันพักอยู่คนละเรือน เนื่องด้วยสำนักศึกษากินอาณาบริเวณกว้างขวางอย่างมาก นอกจากจะอาคารสิ่งปลูกสร้างเรียงกันเป็นตับที่สร้างอิงอยู่กับภูเขาแล้ว อันที่จริงภูเขาตงหัวทั้งลูกล้วนถูกต้าสุยยกให้เป็นของสำนักศึกษาซานหยาทั้งหมด ดังนั้นหอพักแต่ละแห่งจึงอยู่ห่างกันพอสมควร
สำนักศึกษาที่ต้าสุยฝากความหวังไว้สูงแห่งนี้มีนักเรียนไม่ถึงสองร้อยคน แต่กลับมีอาจารย์ที่มีความรู้ลึกล้ำ มีคุณธรรมสูงส่งมากถึงสามสิบท่าน
เจ้ากรมพิธีการของต้าสุยรับหน้าที่เป็นเจ้าขุนเขาด้วยตัวเอง แต่ก็เป็นแค่ในนามเท่านั้น รองเจ้าขุนเขาอันดับหนึ่งที่ควบคุมดูแลกิจการงานต่างๆ ในสำนักศึกษาคืออาจารย์ที่เคยสอนหนังสืออยู่ในสำนักศึกษาซานหยาแห่งเดิม ในอดีตเคยเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของเหวินเซิ่ง มีนามว่าเหมาเสี่ยวตง มีจมูกโตบวมแดง อายุมากถึงเก้าสิบปี แต่สีหน้าท่าทางยังดี มองดูคล้ายคนอายุห้าสิบหกสิบปีเท่านั้น
ครั้งนี้ผู้เฒ่าไม่ได้ออกหน้ามาต้อนรับ เหตุผลก็เพราะต้องสอนหนังสือ ไม่อาจให้กระทบต่อการเรียนปกติของนักเรียนคนอื่นได้ ฮ่องเต้ต้าหลีย่อมไม่มีความเห็นต่าง
เล่าลือกันว่าตรงเอวของรองเจ้าขุนเขาผู้นี้ห้อยไม้บรรทัดไม้แดงไว้อันหนึ่ง ด้านบนสลักคำว่ากฎระเบียบ ได้ยินมาว่ามีคนเคยเห็นกับตาว่าด้านหน้าตัวอักษรคำว่าระเบียบบนไม้บรรทัด ไม่รู้ว่าใครสลักตัวอักษรเสี่ยวจ้วนเล็กๆ สองตัวว่า ‘ไม่อาจละเมิด’ เอาไว้
ครั้งนี้ต้าสุยรับเอาควันธูปที่เหลืออยู่ของสำนักศึกษาซานหยามาได้สำเร็จ นับว่าอยู่เหนือการคาดการณ์ อันดับแรกคือการที่ยอมฮ่องเต้ต้าหลียอมปล่อยผ่าน ซึ่งนับว่าสำคัญอย่างถึงที่สุด หาไม่แล้วทุกอย่างก็ล้วนหมดหวัง ไม่ว่าฮ่องเต้ผู้เฉลียวฉลาดและมากเล่ห์ผู้นั้นจะละอายใจต่อฉีจิ้งชุนหรือมีแผนการอย่างอื่น ผู้คนตลอดทั้งราชสำนักต้าหลีก็ล้วนคิดว่าการรับช่วงต่อสำนักศึกษาแห่งหนึ่งเป็นเรื่องที่ดีงาม แต่ว่าแรกเริ่มสุดพวกอาจารย์และนักเรียนของสำนักศึกษาซานหยามีอยู่ทั้งหมดสี่สิบกว่าคน การที่พวกเขาสามารถออกจากเขตแดนต้าหลีมาได้อย่างราบรื่นในท้ายที่สุด ผู้เฒ่าท่านนี้มีคุณความชอบอย่างใหญ่หลวง ตลอดทางที่ผ่านมาหาใช่สะดวกราบรื่น กลับกันคือยังรายล้อมไปด้วยภยันอันตราย
หากจะพูดถึงสำนักศึกษาซานหยาแห่งใหม่ก่อนหน้านี้ หลังจากที่ต้าสุยทุ่มเทกำลังคนและกำลังทรัพย์ไปมากมาย แต่ก็เนื่องจากขาดผู้ก่อตั้งสำนักศึกษาอย่างฉีจิ้งชุนไป รวมไปถึงไม่มีบุคคลที่มีการ ‘สืบทอดสายตรง’ ได้มากพอ ก็เห็นได้ชัดว่าแม้ทุกอย่างจะพร้อมสรรพ แต่ก็ยังขาดสิ่งสำคัญที่สุดส่วนสุดท้ายไปอยู่ดี
ถ้าเช่นนั้นนับแต่วันนี้ไป เมื่อเด็กนักเรียนห้าคนที่เดินทางรอนแรมไกลมาถึง สิ่งสำคัญที่ว่านั้นก็ได้มาอยู่ในภูเขาตงหัวแล้ว
กึ่งกลางของภูเขาตงหัวมีเรือนหลักเหวินเจิ้งอยู่แห่งหนึ่ง ตรงกลางแขวนรูปภาพปรมาจารย์มหาปราชญ์ลัทธิขงจื๊อ ซ้ายขวาขนาบสองข้างแบ่งออกเป็นผู้เฒ่าหน้าตาเคร่งขรึมที่จงใจปิดบังชื่อแซ่ท่านหนึ่ง ส่วนฝั่งขวาคือภาพแขวนของฉีจิ้งชุนผู้เป็นเจ้าขุนเขาคนแรกของสำนักศึกษาซานหยา ในห้องโถงมีผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ตรงเอวห้อยไม้บรรทัดไม้แดงอันเป็นเอกลักษณ์กำลังจุดธูปสามก้านกราบไหว้อริยะปราชญ์ทั้งสามท่านอย่างเคารพนอบน้อม ยามปักธูปลงในกระถาง ผู้เฒ่าที่ก้มหน้าก็พึมพำเบาๆ ว่า “หลักการและเหตุผลปรากฏบนบทประพันธ์ เปลวไฟริกไหวสืบทอด”
……
สำนักศึกษาซานหยาแห่งเก่าที่มีฉีจิ้งชุนเป็นผู้ปกครองมีกฎอยู่ข้อหนึ่งที่บอกว่า สนเรื่องอยู่ ไม่สนเรื่องกิน
ด้วยเหตุนี้ในยุคสมัยที่สำนักศึกษาซานหยายังอยู่ในต้าหลี ลูกหลานของคนตระกูลยากจนทางทิศเหนือจำนวนมากที่มาขอศึกษาต่อจึงมักจะช่วยทางสำนักศึกษาคัดลอกตำรา คัดลอกคัมภีร์ เพื่อหาเงินค่าอาหารให้กับตัวเอง
สำนักศึกษาซานหยาแห่งต้าสุยในยามนี้ก็ยังไม่ได้ยกเลิกกฎข้อนี้ไป แต่มีการอะลุ่มอล่วยให้มากกว่าเดิม หนึ่งก็เพราะตอนนี้จำนวนคนของสำนักศึกษาส่วนใหญ่นั้นมาจากลูกหลานของคนในท้องถิ่นต้าสุย เนื่องด้วยคนกลุ่มแรก ราชสำนักต้าสุยเลือกมาจากคนใกล้ชิด ดังนั้นคนแทบทั้งหมดจึงมาจากลูกหลานของตระกูลใหญ่ในต้าสุย คนเหล่านี้ไม่ขาดเงิน สองคือสำนักศึกษาแห่งใหม่ปฏิบัติต่อเหล่านักเรียนเป็นอย่างดี ลำพังเพียงแค่ตำรา หมึก พู่กัน หรือแม้แต่ชุดขงจื๊อ ทางสำนักศึกษาก็ล้วนเป็นผู้มอบให้ นี่คือทรัพย์สมบัติก้อนใหญ่ที่น่าตะลึงอย่างยิ่ง
หลี่ไหวคือเด็กที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่ม หลังจากมาถึงหอพัก เนื่องจากเพื่อนร่วมหอนอนยังเรียนหนังสือกันอยู่ ยังไม่มีใครกลับมา เด็กชายยืนอยู่เพียงลำพังในห้องกว้างที่ว่างเปล่า หลี่ไหวที่เพิ่งร้องไห้ตอนอยู่ตีนเขามาแล้วรอบหนึ่งพลันนั่งยองลงบนพื้นแล้วสะอึกสะอื้น รู้สึกเพียงว่าตนไม่มีพ่อไม่มีแม่ แล้วยังไม่มีเพื่อน ใต้หล้านี้เหตุใดถึงมีเด็กที่น่าสงสารขนาดเขาได้ น่าสงสารเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ถูกป้ายน้ำมูกน้ำตา มอมแมมเปรอะเปื้อนไปหมด
สุดท้ายหลี่ไหวก็เปิดหีบหนังสือพลางร้องไห้ไปด้วย ต้องเปลี่ยนมาสวมรองเท้าสานคู่นั้นถึงจะสบายใจขึ้น แต่ก็กลัวอีกว่าสวมรองเท้าแตะแล้วจะทำให้คนดูถูก จึงเปลี่ยนมาสวมรองเท้าหุ้มแข้งคู่ใหม่ ทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา เด็กชายที่โดดเดี่ยวไร้ที่พึ่งร้องแล้วร้องอีก นึกถึงความดีทุกอย่างของเฉินผิงอัน เด็กหนุ่มจากบ้านเกิดเดียวกันที่ตัวเองตัดสินใจแล้วว่าจะเรียกเขาอาจารย์อาน้อย แต่สุดท้ายกลับไม่ทันได้เรียกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หลังจากเก็บหีบหนังสือไว้เรียบร้อยแล้ว หลินโส่วอีก็ออกจากห้องมาเดินเล่นเพียงลำพัง ฝีเท้าของเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเย็นชาหนักแน่นและมั่นคง สุดท้ายเขาก็พบหอเก็บตำราสูงตระหง่านหลังหนึ่งเจอ เนื่องจากเพิ่งสร้างใหม่จึงยังมีกลิ่นหอมของไม้อยู่จางๆ
ตลอดทางที่เดินมาได้ยินเสียงท่องตำราที่คุ้นเคยดังแว่วๆ เมื่อเทียบกับตอนเรียนอยู่ในโรงเรียนของเมืองเล็กแล้ว เสียงอ่านหนังสือนี้ดังกว่ามากมายนัก
หลินโส่วอีสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งก่อนเดินเข้าไปในหอตำรา
ได้ยินมาว่าตำราหมื่นเล่มของที่นี่ อ่านได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินแม้แต่เหรียญเดียว
หลินโส่วอีพลันรู้สึกเศร้าสร้อย หากเจ้าคนเห็นแก่เงินผู้นั้นอยู่ต่อกับพวกเขาด้วยล่ะก็ คงจะพยายามอ่านหนังสืออย่างเอาเป็นเอาตายเลยกระมัง เพราะอย่างไรซะนั่นก็เท่ากับเป็นการหากำไรให้กับตัวเองอย่างหนึ่ง
หลี่เป่าผิงนั่งอยู่ในหอพักที่เงียบสงบและอ้างว้าง หลังเปิดหีบหนังสือออกนางก็พบจดหมายที่อาจารย์อาน้อยเขียนไว้ให้ ในจดหมายกล่าวอะไรไว้มากมาย บอกว่าเขาจะกลับบ้านแล้ว และจะช่วยนำข่าวไปบอกแก่คนที่บ้านของนางว่านางสบายดี จะต้องบอกให้พี่ชายใหญ่ของนางรู้ว่าตลอดทางนี้นางเป็นเด็กดีมาก แล้วก็ลำบากมาก บอกว่าเงินเหรียญทองแดงแก่นทองนั้นถูกเขาเจาะเป็นรูแล้วเอาเชือกสีแดงร้อยไว้ วันหน้านางต้องเอามาห้อยคอ อย่าทำหาย หากมียามใดร้อนใจต้องใช้เงิน สามารถเอามันไปแลกเป็นเงินได้
ในจดหมายยังบอกด้วยว่าเขาเตรียมปิ่นหยกไว้ให้นาง หลินโส่วอีและหลี่ไหวคนละหนึ่งอัน ถือเป็นของขวัญจากลา บนปิ่นสลักคำว่า “เป่าผิง” “โส่วอี” และ “ไหวอิน” ตลอดทางมานี้เขาแทบจะไม่เคยได้ช่วยเหลืออะไรมากมาย นี่ถือเป็นน้ำใจครั้งหนึ่ง อย่าได้รังเกียจ หากรู้สึกว่าไม่สวยพอก็เก็บไว้แล้วกัน
หลี่ไหวเป็นเด็กขี้ขลาด วันหน้าต้องไปเล่นกับเขาบ่อยๆ อย่าให้เขาถูกคนในสำนักศึกษารังแก หลินโส่วอีนิสัยเย็นชา ก็ต้องไปคุยเล่นกับเขาให้มาก อย่าให้ความสัมพันธ์ต้องห่างเหินกันไปทั้งอย่างนี้ วิชาหมัดมวยของอวี๋ลู่ร้ายกาจมาก อันที่จริงเซี่ยเซี่ยเองก็เป็นเทพเซียนบนภูเขา หากเกิดความขัดแย้งกับใครเข้าจริงๆ เจ้าเป่าผิงอย่าได้รีบร้อนบุกนำอยู่ด้านหน้าสุดเด็ดขาด สามารถไปขอให้พวกเขาสองคนช่วยเหลือโดยไม่ต้องรู้สึกลำบากใจ ต่อให้ติดค้างน้ำใจพวกเขา วันหน้าอาจารย์อาน้อยก็จะช่วยใช้คืนให้เอง
หินลับมือที่ชื่อว่าแท่นสังหารมังกรชิ้นนั้น อาจารย์อาน้อยทิ้งไว้ในหีบหนังสือของเจ้าแล้ว แต่จำไว้ว่าวันหน้าหากจะลับมีดต้องหาสถานที่ที่ไม่มีผู้คน อย่าทำให้พวกเพื่อนร่วมห้องต้องตกใจ อีกอย่างก็คือจำไว้ว่าต้องเก็บน้ำเต้าสีเงินลูกเล็กไว้ให้ดี…
สุดท้ายในจดหมายเขียนว่า ท้ายที่สุดแล้วอาจารย์อาน้อยอย่างเขาจากไปโดยไม่ลา ไม่ได้เข้าไปในสำนักศึกษาพร้อมกับพวกเจ้า จึงต้องขอโทษพวกเจ้าด้วย เดินทางมาไกลขนาดนี้ แต่กลับไม่ได้เริ่มต้นด้วยดีและจบลงด้วยดี เป็นความผิดของอาจารย์อาน้อยอย่างเขาเอง วันหน้าพวกเจ้าต้องใช้ชีวิตอยู่ให้ดี ต้องตั้งใจเรียน หากมีหน้ามีตา อาจารย์อาน้อยก็จะเอาไปโม้กับคนอื่นได้ บอกว่าตัวเองรู้สึกหลี่เป่าผิง รู้จักหลี่ไหว รู้จักหลินโส่วอี เขาเฉินผิงอันรู้จักทุกคน
ในจดหมายเขียนเรื่องยิบย่อยไว้มากมาย แต่ทุกตัวอักษรกลับเขียนอย่างพิถีพิถัน เป็นระบบระเบียบ ทั้งไม่ปราดเปรียว แล้วก็ไม่ตวัดล่องลอย
เหมือนนิสัยและจิตใจของเด็กหนุ่มตรอกหนีผิงผู้นั้น
ถูกก็คือถูก ผิดก็คือผิด ดีก็ต้องรู้จักทะนุถนอมเห็นค่า ไม่ว่าจะถนอมรักษาอย่างไรก็ไม่เกินไป
อ่านไปอ่านมา หยาดน้ำตาบนใบหน้าของแม่นางน้อยที่ชื่อหลี่เป่าผิงก็ไหลพรากๆ ลงบนจดหมาย คล้ายฝนฤดูใบไม้ร่วงแห่งความระทมทุกข์จากการพรากจาก
ไม่รุนแรงไม่เบาบาง แต่กลับทำให้เศร้าใจ
แม่นางน้อยหัวรั้นยังพร่ำบอกตัวเองไม่หยุดว่า “ไม่ร้องๆ หากอาจารย์อาน้อยเห็นเข้าต้องเสียใจตายแน่”
……
บนถนนใหญ่ที่กว้างขวางของเมืองหลวงต้าสุย เด็กหนุ่มชุดขาวถามยิ้มๆ ไม่หยุดปาก “ในเมื่ออาลัยอาวรณ์ขนาดนี้ ทำไมถึงต้องแอบจากมาด้วยล่ะ?”
เห็นได้ชัดว่ากำลังสาดเกลือลงบนแผลสด
หลังจากหันหลังกลับไปมองอย่างยาวนานครั้งนั้น เฉินผิงอันก็ไม่หันไปอีก แต่เดินหน้าเคร่งไปเบื้องหน้าไม่หยุดยั้ง
ชุยฉานเอ่ยถาม “เจ้าที่เป็นอาจารย์อาน้อย ไม่กลัวว่าพวกเขาจะถูกคนรังแกอยู่ในสำนักศึกษาหรอกรึ? ถึงเวลานั้นคงไม่มีใครช่วยหนุนหลังให้พวกเขา”
เฉินผิงอันยังคงปิดปากเงียบไม่ยอมตอบโต้
เมืองหลวงของต้าสุยกว้างใหญ่ยิ่งนัก กว่าคนทั้งสองจะเดินทางออกนอกเมืองก่อนเวลาห้ามออกจากเคหะสถานยามวิกาลได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ในมือชุยฉานมีไหเหล้าเพิ่มมาหนึ่งใบ เดินไปดื่มไปด้วย ทุกครั้งจะเพียงแค่จิบคำเล็กๆ ออกจากเมืองมาแล้วเหล้าก็ยังไม่ลดลงถึงก้นไห
ทหารม้ากลุ่มหนึ่งห้อตะบึงออกจากประตูเมืองราวสายฟ้าแลบ ไล่ตามคนที่สองที่เดินอยู่บนถนนทางหลวง ผู้นำก็คือเกาเซวียนองค์ชายต้าสุย
ครั้งนี้ข้างกายเขาไม่มีเทพเซียนหรือปรมาจารย์ตามมาคุ้มกันด้วย หลังจากเกาเซวียนลงจากหลังม้าก็มาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ถามฉุนๆ ว่า “แม้แต่ของตอบแทนก็ไม่ต้องการแล้วรึ? นี่ไม่ใช่ว่าเจ้าผลักให้ข้ากลายเป็นคนไม่มีคุณธรรมไม่มีน้ำใจหรือไง?”
เฉินผิงอันตอบยิ้มๆ “หากเป็นไปได้ ช่วยข้าดูแลพวกเขาก็ถือว่าเจ้าได้ตอบแทนข้าแล้ว”
เกาเซวียนส่ายหน้า “คนละเรื่องกัน ทางฝ่ายของสำนักศึกษานั่น ข้าคงไม่ตบหน้าตัวเองให้ดูอ้วนกับเจ้าแล้ว (คล้ายสำนวนไทยว่าเห็นช้างขี้ขี้ตามช้าง) เพราะต่อให้เป็นข้าก็ยังจนปัญญาที่จะไปมีส่วนเอี่ยวด้วย ดังนั้นข้าจึงไม่รับปากเจ้า เจ้าวางใจได้ ต่อให้เสด็จพ่อจะยุ่งวุ่นวายมากแค่ไหนก็ต้องทรงหาเวลาไปให้ความสนใจความเคลื่อนไหวของสำนักศึกษาอยู่เป็นระยะ เพราะฉะนั้นค่าตอบแทนที่ข้ารับปากว่าจะให้เจ้าก็ยังจำเป็นต้องมอบให้ หากเจ้าไม่อยากได้ก็รับไว้ก่อนแล้วค่อยโยนทิ้งทีหลังแล้วกัน”
เกาเซวียนจงใจพูดด้วยน้ำเสียงดุร้าย “เฉินผิงอัน ข้าเป็นถึงองค์ชายตัวจริงเสียงจริงของต้าสุย จะอย่างไรเจ้าก็ต้องเห็นแก่หน้าข้าบ้างกระมัง?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับแล้วยื่นมือออกมา “เอามาสิ”
เกาเซวียนหัวเราะร่า ยื่นหมัดออกไปแล้วพลันคลายมือออก เปลี่ยนมาเป็นตบลงฝ่ามือของเฉินผิงอันหนักๆ “นับแต่นี้ไป เจ้าก็คือเพื่อนของข้าเกาเซวียนแล้ว! วันหน้าเมื่อเจ้ามาต้าสุยอีกครั้งก็มาหาข้าเกาเซวียนได้เลย”
เฉินผิงอันอึ้งงันไปเล็กน้อย แต่พอยื่นมือกลับมาแล้วก็ยังพยักหน้ารับ “ตกลง”
เกาเซวียนไม่มัวอืดอาดเสียเวลา พลิกตัวขึ้นหลังม้าอีกครั้ง หลุบตามองต่ำจากที่สูง ก่อนจะค้อมเอวลงส่งยิ้มเจิดจ้า “เส้นทางยาวไกล ข้าเตรียมรถม้าไว้ให้พวกเจ้าหนึ่งคัน อีกไม่นานก็จะมาถึง แต่หากชอบเดินเท้าจริงๆ จะเอาไปขายแลกเงินก็ไม่เป็นไร แต่อย่าขายราคาต่ำเด็ดขาด เพราะอย่างน้อยก็ต้องมีค่าถึงเจ็ดแปดร้อยตำลึงเงิน”
เกาเซวียนเองก็มาเร็วไปเร็ว เขาพาทหารม้ากลุ่มนั้นควบกลับเข้าเมืองอย่างว่องไว ภาพเหตุการณ์นี้ดึงดูดให้สายตาของคนมากมายที่เดินทางบนถนนทางหลวงหันมามอง
เฉินผิงอันกับชุยฉานเดินหน้าต่ออีกครั้ง ชุยฉานถามว่า “คิดไม่ตกใช่ไหมว่าเหตุใดองค์ชายผู้หนึ่งถึงได้เกรงใจและกระตือรือร้นต่อเจ้าเฉินผิงอันถึงขนาดนี้?”
เฉินผิงอันตอบ “คิดไม่ตกจริง แต่ก็ไม่อยากคิดให้มากความแล้ว”
ชุยฉานไม่อยากจะหยุดบทสนทนานี้ง่ายๆ จึงอธิบายกับตัวเองต่อไปว่า “อันที่จริงก็ไม่ซับซ้อน เพราะสถานะของเกาเซวียนค่อนข้างจะพิเศษ ได้รับผลประโยชน์จากความใกล้ชิด อีกทั้งแคว้นหวงถิงก็เป็นแคว้นในอาณัติของต้าสุย บวกกับที่ในดินแดนของต้าหลีต้องมีสายลับของพวกเขาอยู่แน่นอน จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะรู้เส้นทางการเดินทางไกลของพวกเจ้าในครั้งนี้คร่าวๆ อีกอย่างสถานะของพวกเป่าผิงก็สำคัญกว่าที่พวกเจ้าคิดไว้มาก ดังนั้นเขาจึงเต็มใจที่จะแสดงความเป็นมิตรกับเจ้าสักเล็กน้อย ปล่อยเบ็ดยาวเพื่อหวังปลาตัวใหญ่อย่างไรล่ะ ต่อให้ถึงท้ายที่สุดแล้วจะตกปลาไม่ได้ แต่ก็ไม่ขาดทุน”
ชุยฉานเบ้ปาก “หากฮ่องเต้ต้าหลีเปลี่ยนไปเป็นกษัตริย์ของราชวงศ์ใดๆ ก็ตาม หากเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาซานหยาเปลี่ยนจากฉีจิ้งชุนไปเป็นคนอื่น สถานที่แห่งนี้ก็จะกลายเป็นเหมือนไม้ผุที่เคยถูกฟ้าผ่า ได้แต่เน่าเปื่อยตายอยู่ที่เดิม แน่นอนว่าการที่ต้าสุยใจกล้ารับสำนักศึกษาซานหยาไปสืบต่อ ถือว่าคู่ควรแก่การเลื่อมใสอย่างแท้จริง สำหรับเรื่องนี้ฮ่องเต้ต้าหลีค่อนข้างรู้สึกซับซ้อนอยู่มาก พูดไปแล้วเจ้าอาจจะไม่เชื่อ แต่ถึงแม้ว่าก่อนหน้าที่ราชวงศ์สกุลหลูของอวี๋ลู่กับเซี่ยเซี่ยล่มสลายจะเคยได้รับการยอมรับจากผู้คนว่าเป็นแคว้นที่แข็งแกร่งอันดับหนึ่งทางทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีป ทว่าศัตรูในใจของฮ่องเต้ต้าหลีแล้วกลับมีแค่สามคนเท่านั้น ฮ่องเต้สกุลหลูไม่รวมอยู่ในจำนวนนี้ด้วย กลับเป็นฮ่องเต้สกุลเกาต้าสุยที่กองกำลังของแคว้นเป็นรองอยู่ส่วนหนึ่งต่างหากที่ยึดครองพื้นที่หนึ่งในใจเขา”
ขณะที่ชุยฉานกำลังเปิดเผยความลับสวรรค์เหล่านี้ เฉินผิงอันกำลังง่วนอยู่กับการเปลี่ยนรองเท้าแตะ
นี่ทำให้ชุยฉานที่เล่นหูเล่นตากับคนตาบอดรู้สึกท้อแท้เล็กน้อย
ชุยฉานถามหยั่งเชิง “อาจารย์ คราวหน้าก็สานรองเท้าแตะให้ข้าสักคู่สิ หีบหนังสือใบเล็กด้วยก็ได้นะ”
เฉินผิงอันเก็บรองเท้าหุ้มแข้งคู่นั้นลงไปอย่างระมัดระวัง แบกตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่ขึ้นหลังอีกครั้ง กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์นัก “สวมรองเท้าแตะไม่ใช่เพื่อเล่นสนุก”
ชุยฉานยิ้มตาหยี “แต่ข้ารู้สึกว่าน่าสนุกนะ”
เฉินผิงอันเดินเลียบฝั่งหนึ่งของถนนทางหลวงตรงไปเบื้องหน้า เอ่ยถามว่า “เรียนหนังสือสนุกไหม?”
ชุยฉานเกิดความลังเลอย่างที่ไม่ค่อยจะเป็นบ่อยนัก สุดท้ายรัดกาเหล้าไว้ตรงเอวคู่กับหยกประดับ ยกสองมือรองใต้ท้ายทอย “เรียนหนังสือหรือ ข้ารู้สึกว่าไม่สนุกมาตั้งแต่เด็กแล้ว”
เดินห่างออกมาได้ไกลมากแล้ว ท่ามกลางแสงสนธยา อาศัยเส้นแสงเสี้ยวสุดท้ายที่เหลืออยู่ เฉินผิงอันหันหน้ากลับไปมองกำแพงเมืองสูงตระหง่านของเมืองหลวงต้าสุย
ชุยฉานที่นิ่งเงียบมาตลอดทางพลันหัวเราะขึ้นมาเสียงดัง “ฮ่าๆ ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องอดไม่ไหวแน่!”
เฉินผิงอันไม่ได้สนใจคำถากถางของชุยฉาน แต่ถามอีกฝ่ายอย่างจริงจัง “ข้าควรจะอยู่ต่อในสำนักศึกษาสักสองสามวัน จะอย่างไรก็ควรให้แน่ใจกับตาตัวเองว่าพวกเป่าผิงได้เรียนหนังสือแล้วค่อยจากมาหรือเปล่า?”
คำถามที่มาเยือนกะทันหันนี้ทำเอาชุยฉานตั้งตัวไม่ทัน คิดดูแล้วก็ตอบว่า “จะช้าหรือเร็วก็ต้องจากมาอยู่ดี”
ชุยฉานค้นพบว่าเฉินผิงอันกำลังปรายตามองตนด้วยสีหน้ารังเกียจประมาณว่า “ข้าถามเจ้าไปก็เสียเวลาเปล่า เจ้าพูดก็เหมือนไม่ได้พูด”
ชุยฉานกลัดกลุ้มจริงๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ “ข้าอุตส่าห์ช่วยไขข้อข้องใจให้กับอาจารย์ด้วยความหวังดี อาจารย์ทำแบบนี้ไม่ดีกระมัง?”
เฉินผิงอันมองไหเหล้าที่แขวนไว้ตรงเอวของชุยฉานแวบเดียวก็ถอนสายตากลับคืนอย่างรวดเร็ว ก่อนถอนหายใจหนึ่งครั้งแล้วเพิ่มความเร็วฝีเท้า ก้มหน้าก้มตาเดินหน้าต่อไป
สีหน้าของชุยฉานไม่ค่อยจะดีนัก ทว่ากลับรู้สึกตื่นตะลึงอยู่มาก ทำไม เฉินผิงอันก็มีช่วงเวลาที่อยากดื่มเหล้าเหมือนกันรึ?
อ้อ ที่แท้เด็กหนุ่มก็รู้จักรสชาติของความทุกข์แล้ว
—–