หนึ่งร้อยสี่สิบหก

พบเพื่อนเก่า

ตอนที่เสวี่ยเจียเยว่เห็นสตรีผู้นั้นถูกคุณชายเจ้าสำราญกลั่นแกล้ง เธอเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามเสวี่ยหยวนจิ้ง

“ท่านพี่ พวกเราควรไปห้ามดีหรือไม่”

เธอกับแม่นางผู้นั้นไม่ได้มีความขุ่นเคืองอันใดต่อกัน หากเธอเดินผ่านมาแล้วพบกับเหตุการณ์เช่นนี้ เธอจะต้องเข้าไปห้าม อีกอย่าง… เสวี่ยเจียเยว่รู้ดีว่าด้วยฝีมือของเสวี่ยหยวนจิ้ง การช่วยเหลือสตรีผู้นั้นก็คงไม่ใช่เรื่องยากอะไร

แต่เสวี่ยหยวนจิ้งกลับไม่ไหวติง ยังคงยืนอยู่กับที่ด้วยสีหน้าเย็นชาเช่นเคย

เดิมทีนิสัยของเขาก็เย็นชาอยู่แล้ว คนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตน เขาจะเพิกเฉยทันที ยิ่งไปกว่านั้น ตอนที่อยู่ในห้องรับแขกเมื่อครู่ เฉินอ๋าวเหมยยังพูดจาหยาบคายไม่ระวังปาก ดังนั้นเขาจึงไม่อยากไปยุ่งกับเรื่องของนาง

ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังคิดหาเหตุผลมาตอบเสวี่ยเจียเยว่ เขาก็ได้ยินบทสนทนาของเฉินอ๋าวเหมยกับเซี่ยเทียนเฉิง

หัวใจของเขาพลันสั่นสะท้าน สายตาที่เหลือบมองเฉินอ๋าวเหมยแวบหนึ่งราวกับใบมีดอันคมกริบ ไม่นานก็เห็นเซี่ยเทียนเฉิงเดินมาพร้อมกับบ่าวรับใช้ของตน…

เสวี่ยหยวนจิ้งแบกเสวี่ยเจียเยว่เดินหนีไปอย่างไม่ลังเล ฝีเท้าของเขานั้นเร็วมาก เดินเลี้ยวลัดเลาะไปมาเจ็ดแปดรอบ ไม่นานก็สามารถหนีพวกเซี่ยเทียนเฉิงที่อยู่ด้านหลังได้แล้ว

เสวี่ยเจียเยว่เห็นเช่นนั้นก็กระวนกระวายใจไม่น้อย และเกลียดชังวิธีการให้คนอื่นรับเคราะห์กรรมแทนเช่นนี้ เสียแรงที่เมื่อครู่นี้เธอคิดจะเข้าไปห้าม คิดไม่ถึงเลยว่าเพียงไม่นานแม่นางผู้นั้นจะขายเธอเสียเอง

เมื่อพวกเขาหนีเซี่ยเทียนเฉิงกับบ่าวรับใช้ได้แล้ว เสวี่ยเจียเยว่ก็รู้สึกสบายใจ จึงเอ่ยเรียกเสวี่ยหยวนจิ้งเสียงเบา “ท่านพี่” เพราะความหวาดกลัวในใจเธอทำให้เสียงที่เปล่งออกมานั้นสั่นเครืออย่างเห็นได้ชัด

ถึงอย่างไรเซี่ยเทียนเฉิงก็สามารถตามพวกเขาทันได้ทุกเมื่อ ด้วยเหตุนี้เสวี่ยหยวนจิ้งจึงไม่มีเวลาจะปลอบโยนเสวี่ยเจียเยว่ ทำได้เพียงก้มลงจูบมือเล็กที่โอบคอตนไว้ จากนั้นก็บอกเสียงเบา“กอดข้าไว้ให้แน่น”

เบื้องหน้าคือกำแพงสีแดง เขาอยากจะแบกเสวี่ยเจียเยว่ข้ามกำแพงออกไป แต่ทันใดนั้นก็มีเงาคนพุ่งออกมาจากด้านข้างแล้วขวางทางเขาเอาไว้

เสวี่ยหยวนจิ้งเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เขาถอยหลังสองก้าว จากนั้นเมื่อเขาจ้องดูจนเห็นได้ชัด ก็พบว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าสวมชุดพระสีส้ม หัวโล้น ดูจากภายนอกก็เป็นเพียงพระธรรมดาในวัดต้าเซียงกั๋วรูปหนึ่งเท่านั้น

แต่ตอนที่เขาเดินออกมาจากด้านข้างเมื่อครู่นี้ แม้แต่เสียงฝีเท้าของอีกฝ่าย เสวี่ยหยวนจิ้งก็ไม่ได้ยิน…

เสวี่ยหยวนจิ้งเริ่มระวังตัวมากขึ้น สายตาที่จับจ้องไปยังพระรูปนั้นคมราวใบมีด ก่อนจะเอ่ยถามด้วยสีหน้านิ่งขรึม “ท่านคือใครหรือขอรับ”

เสวี่ยเจียเยว่ก็เริ่มรู้สึกตึงเครียดขึ้นมาเช่นกัน ตาจับจ้องไปยังพระรูปนั้นโดยไม่กะพริบ

สีหน้าของพระรูปนั้นยังเป็นปกติ ไม่มีพิรุธอันใดแม้แต่น้อย เมื่อได้ยินคำถามของเสวี่ยหยวนจิ้ง เขาไม่ประนมมือขึ้นขณะทักทายคนทั้งสอง แต่กลับยกมือขึ้นคารวะด้วยท่าทางนอบน้อมเป็นอย่างมาก

“ท่านทั้งสองคือคุณชายเสวี่ยและแม่นางเสวี่ยใช่หรือไม่ นายข้าเชิญพวกท่านไปพบ นายข้าอยากพบพวกท่านมาก”

เสวี่ยหยวนจิ้งมองพิจารณาคนผู้นี้อย่างรวดเร็ว จากนั้นคิ้วเรียวของเขาพลันขมวดแน่น “ไม่ทราบว่านายของท่านผู้นั้นแซ่ใดหรือ”

เขาไม่รู้จักใครในเมืองหลวงสักคน และผู้ที่อยู่ตรงหน้านี้มองปราดเดียวก็รู้ว่ามีวรยุทธ์สูงส่ง ถ้าเช่นนั้นฐานะของเจ้านายอีกฝ่าย…

คนผู้นั้นไม่ยอมตอบคำถาม เพียงกล่าวด้วยรอยยิ้มต่อ “นายข้าเป็นสหายเก่าของท่านทั้งสอง หากได้พบนายข้า ท่านและแม่นางเสวี่ยก็จะรู้เอง”

เมื่อกล่าวจบแล้ว บุรุษลึกลับก็ผายมือไปด้านข้างเป็นเชิงบอกว่าเชิญเดินตามเขาไป

เสวี่ยหยวนจิ้งมองอีกฝ่ายแวบหนึ่ง จากนั้นจึงก้าวเท้า ถึงแม้เขาจะไม่กลัวคนตรงหน้า แต่ก็เป็นห่วงเสวี่ยเจียเยว่ ด้านหลังไม่ไกลนักมีบุตรชายของเซี่ยโส่วฝู หากชายผู้นั้นตามมาทัน เขาที่ยังไร้อำนาจเช่นนี้จะปกป้องเสวี่ยเจียเยว่ได้อย่างไร ทางที่ดีควรตามคนผู้นี้ไปพบนายของเขา ในเมื่อเป็นสหายเก่า ต่อไปเขากับเสวี่ยเจียเยว่อาจได้รับการปกป้องในเมืองหลวงก็เป็นได้

ด้วยความเป็นห่วงว่าเสวี่ยเจียเยว่จะกลัว เขาจึงเดินไปและคอยหันไปมองเด็กสาวอยู่บ่อยครั้ง แล้วกล่าวปลอบโยนเบาๆ “ข้าอยู่นี่แล้ว ไม่ต้องกลัวนะ”

เสวี่ยเจียเยว่ส่งเสียง “อือ” เบาๆ มือที่โอบรอบคอเขาก็กระชับแน่นขึ้น

เสวี่ยหยวนจิ้งแบกเสวี่ยเจียเยว่เดินตามชายผู้นั้นไปที่ด้านหลังวัดต้าเซียงกั๋ว ยิ่งเดินไปมากเท่าไรบรรยากาศก็ยิ่งเงียบสงบมากเท่านั้น ไม่นานป่าไผ่หนาทึบก็ค่อยๆ ปรากฏสู่สายตา จากนั้นตรงหน้าก็เต็มไปด้วยมวลดอกไม้ใบหญ้า ได้ยินเพียงเสียงกระดิ่งที่ลานไกลๆ

เมื่อเลี้ยวไปตามทางเดินระหว่างต้นไผ่ ก็เห็นกุฏิที่มีห้องสว่างสองห้อง มืดสามห้อง ชายผู้นั้นเดินนำเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่ไปหยุดที่หน้ากุฏิ แต่กลับไม่ได้เดินเข้าไป เพียงผายมือบอกให้พวกเขาเดินเข้าไปด้วยตัวเอง

ตอนที่เสวี่ยหยวนจิ้งแบกเสวี่ยเจียเยว่ก้าวเข้ามาในป่าไผ่ เขาก็เริ่มเพ่งปราณดูทั้งบริเวณนี้และภายนอก พบว่ามีคนซ่อนอยู่ไม่น้อยกว่าสิบคน และทุกคนล้วนเป็นยอดฝีมือ เขาจึงระมัดระวังมากขึ้น แต่ไม่แสดงออกทางสีหน้า และเดินเข้าไปใกล้ประตูกุฏิอย่างใจเย็น

ชายหนุ่มได้ยินเสียงตีชิ่ง[1] ดังมาจากห้องทางทิศตะวันออก เมื่อเขาผลักประตูเข้าไปแล้ว ก็พบว่าภายในกุฏิตกแต่งอย่างเรียบง่าย มีแสงแดดสีทองสาดส่องเข้ามาจากหน้าต่างด้านข้างทำให้สว่างเป็นอย่างมาก

ตอนนี้เสียงตีชิ่งเงียบไปแล้ว เปลี่ยนเป็นเสียงเสื้อผ้าเสียดสีกันเบาๆ และเสวี่ยหยวนจิ้งก็เห็นเงาคนผู้หนึ่งอยู่ในห้องทางทิศตะวันออก คนผู้นั้นกำลังลุกขึ้นยืนและเดินมาทางนี้

ชายหนุ่มปรับลมหายใจให้เป็นปกติพลางจ้องมองไปที่ประตูแกะสลักของห้องทางทิศตะวันออก สองมือกำแน่นอยู่ข้างลำตัว

หลังจากเห็นคนที่เดินออกมาจากห้องนั้นอย่างชัดเจน เขาก็อดตะลึงงันไม่ได้

คนผู้นั้นสวมชุดพระสีเทาอ่อน ในมือถือสร้อยประคำ เห็นได้ชัดว่าเป็นการแต่งตัวแบบพระ แต่ศีรษะของนางเต็มไปด้วยผมสีดำขลับ ใช้ปิ่นเกล้าเป็นมวยอย่างเรียบง่าย นอกจากนั้นก็ไม่มีเครื่องประดับชิ้นอื่น

เสวี่ยเจียเยว่ตะลึงงันทันทีเช่นกัน จากนั้นเธอก็ดิ้นลงจากหลังของเสวี่ยหยวนจิ้ง แล้ววิ่งเข้าไปหาสตรีที่สวมชุดพระอย่างรวดเร็วโดยลืมไปว่าเท้าของตนยังเจ็บอยู่ พร้อมเอ่ยเรียกด้วยความดีใจ“ท่านอาจารย์”

เดิมทีสีหน้าของป้าโจวนิ่งสงบ ราวกับว่าไม่มีเรื่องใดสามารถสั่นไหวหัวใจของนางได้ ทว่าเมื่อเห็นเสวี่ยเจียเยว่วิ่งเข้ามา ใบหน้าของนางก็ปรากฏรอยยิ้ม

เสวี่ยหยวนจิ้งกลัวว่าเท้าของเสวี่ยเจียเยว่จะพลิกอีก จึงรีบเอ่ยเตือนอยู่ด้านหลัง “ช้าๆ หน่อย”

แต่เสวี่ยเจียเยว่ทำเป็นไม่ได้ยิน และมองเพียงป้าโจวเท่านั้น เบ้าตาของเธอแสบและมีน้ำใสรื้นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะกล่าวออกมาพร้อมเสียงสะอื้น

“ท่านอาจารย์ ตอนนั้นท่านไปไม่บอกข้าสักคำ ข้าคิดว่าท่านเป็นอะไรไปจึงเป็นห่วงท่านเสมอ และรอท่านกลับมา เหตุใดท่านไม่ส่งจดหมายมาหาข้าบ้าง บอกข้าว่าท่านเป็นอย่างไรบ้าง”

แม้ว่าตอนแรกป้าโจวจะเย็นชากับทุกคน แต่หลังจากรับเสวี่ยเจียเยว่เป็นศิษย์ นางก็อ่อนโยนกับเธอมาก เวลาพูดกับเสวี่ยเจียเยว่น้ำเสียงนางนุ่มนวลไม่น้อย แม้ว่าบางครั้งเด็กสาวจะทำเรื่องผิดพลาด แต่ป้าโจวก็ตำหนิอยู่น้อยครั้ง เพียงแค่ยิ้มบางแล้วชี้แนะเธอว่าผิดตรงไหน ทั้งยังบอกอีกว่าคราวหน้าอย่าทำผิดเช่นนี้อีกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เช่นเดียวกับมารดาที่จากไปตั้งแต่เสวี่ยเจียเยว่ยังเด็กในภพที่จากมา ดังนั้นในใจของเสวี่ยเจียเยว่ ป้าโจวจึงไม่ได้เป็นเพียงอาจารย์เท่านั้น แต่ยังเป็นเหมือนมารดาของเธออีกด้วย

ป้าโจวจับมือเสวี่ยเจียเยว่พลางยิ้มแย้ม “ตอนที่ข้าจากมา ข้าฝากหูจื่อไปบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ ว่าเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้า”

“จะไม่ให้ข้าห่วงท่านได้อย่างไร” เสวี่ยเจียเยว่กล่าวอย่างร้อนใจ “หากตอนนั้นข้าอยู่ที่เรือน ข้าจะไม่ยอมให้ใครพาท่านไปเด็ดขาด”

เมื่อกล่าวถึงประโยคหลัง เสวี่ยเจียเยว่ก็สะอื้นเบาๆ “ท่านอาจารย์ ข้าคิดถึงท่านมาก เรือนที่ท่านอยู่ข้าก็เช่าต่อมาตลอด คิดว่าสักวันท่านจะกลับมา”

เมื่อป้าโจวได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก ใบหน้าของนางกระตุกเบาๆ ในทันที

นางลูบมือเสวี่ยเจียเยว่เบาๆ แล้วกล่าวออกมา “เด็กดี เรื่องเหล่านี้ข้ารู้ ช่วงที่ผ่านมานี้ข้าทำเจ้าลำบากแล้ว”

จากนั้นนางก็จูงมือเสวี่ยเจียเยว่ไปนั่งบนเตียงอรหันต์ และพยักหน้าให้เสวี่ยหยวนจิ้ง “เจ้าเองก็นั่งด้วยสิ”

เสวี่ยหยวนจิ้งคำนับนาง ก่อนจะนั่งลง

ไม่นานนักก็มีเณรน้อยยกน้ำชามาให้ เสวี่ยหยวนจิ้งมองถาดที่เขาถืออยู่อย่างละเอียด เป็นถาดน้ำชาเคลือบทองคำแกะสลัก ถ้วยชาเคลือบสีขาวน้ำนมที่ทำจากเตาราชสำนัก[2] ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นของราคาแพง

ชายหนุ่มเลื่อนสายตาไปมองพิจารณาเณรน้อย แม้ว่าอีกฝ่ายจะก้มศีรษะอยู่ แต่ก็ยังมองออกว่าผิวพรรณเนียนละเอียด หน้าตาอ่อนหวาน คนผู้นี้ใช่บุรุษที่ไหนกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นสตรีโกนผมและสวมชุดเณรต่างหาก

เขาเริ่มสงสัยในตัวป้าโจวมากขึ้น แต่ก็ยังไม่แสดงออกทางสีหน้าเช่นเคย เพียงก้มลงมองน้ำชาในถ้วย ขณะเดียวกันก็ตั้งใจฟังบทสนทนาของป้าโจวกับเสวี่ยเจียเยว่

เสวี่ยเจียเยว่ชอบพูดคุยกับคนใกล้ชิดเป็นทุนเดิม ช่วงที่ผ่านมานี้เด็กสาวกังวลเรื่องป้าโจวมาโดยตลอด ดังนั้นตอนนี้เขาจึงได้ยินเจ้าตัวพูดเรื่องไร้สาระไม่ยอมหยุด ส่วนป้าโจวก็จับมือเสวี่ยเจียเยว่ตลอดเวลา ฟังเด็กสาวพูดด้วยรอยยิ้ม และจะเอ่ยตอบเป็นครั้งคราว

ด้วยเหตุนี้เสวี่ยหยวนจิ้งจึงรู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ป้าโจวอาศัยอยู่หลังวัดต้าเซียงกั๋วอันเงียบสงบแห่งนี้ และเห็นได้ชัดว่านางรู้เรื่องของเสวี่ยเจียเยว่กับเขาเป็นอย่างดี ไม่อย่างนั้นนางจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาสอบได้อันดับสูงสุดในการสอบระดับมณฑล และการขยายกิจการของร้านซู่ยวี่เซวียน ทั้งยังมีเรื่องที่เสวี่ยเจียเยว่ปลูกพริกอีก

เสวี่ยหยวนจิ้งเริ่มหวาดกลัวมากขึ้น แต่สีหน้าของเขายังคงดูนิ่งสงบ และตลอดเวลาที่นั่งอยู่นั้นเขาไม่พูดอะไรสักคำ เพียงตั้งใจฟังบทสนทนาของคนทั้งสองอย่างเงียบๆ เพราะอยากจะวิเคราะห์ตัวตนที่แท้จริงของป้าโจว

เขาเป็นคนฉลาด แต่ป้าโจวก็ไม่ได้โง่เขลา หลังจากพูดคุยกับเสวี่ยเจียเยว่ได้สักพัก นางก็หันไปมองเสวี่ยหยวนจิ้งแล้วพยักหน้าให้เขาเบาๆ

“ช่วงที่ผ่านมานี้เจ้าดูแลเยว่เอ๋อร์ได้ดีมาก”

เมื่อเทียบกับตอนที่นางจากมา ตอนนี้เสวี่ยเจียเยว่ไม่เพียงมีใบหน้างดงามขึ้นเท่านั้น แต่ยังดูสดใส ใช้ชีวิตอย่างสงบ มีความสุข หรือบางครั้งก็มีขุ่นเคืองบ้าง หากเสวี่ยหยวนจิ้งดูแลไม่ดีในช่วงที่ผ่านมา ใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่จะสดใสเช่นนี้ได้อย่างไร

เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินเช่นนั้น สายตาของเขาก็มองไปที่เสวี่ยเจียเยว่ และเอ่ยด้วยรอยยิ้ม“มันคือหน้าที่ของข้าขอรับ”

เสวี่ยเจียเยว่คือคนที่เขาเทิดทูนสุดหัวใจ แน่นอนว่าเขาต้องมอบสิ่งที่ดีที่สุดในใต้หล้านี้ให้ ขอเพียงอีกฝ่ายมีความสุขก็พอแล้ว

ป้าโจวยกยิ้มบางที่มุมปาก แต่ไม่ได้กล่าวอันใด นางรู้มาตลอดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นคนมีความสามารถ และรู้ว่าเขาเอ็นดูเสวี่ยเจียเยว่ แต่ตอนนี้ฐานะของเขายังต่ำต้อย และใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่ก็งดงามโดดเด่นเกินไป เกรงว่าตอนนี้เขาจะปกป้องเสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้… ดังนั้นนางจึงเอ่ยเรียกคนผู้หนึ่ง “จ้าวโหย่วเต๋อ”

ไม่นานนักก็มีคนเดินเข้ามา ก่อนจะโค้งตัวคำนับป้าโจว “ข้าน้อยอยู่นี่แล้ว”

[1] เครื่องดนตรีประเภทเคาะหรือตีของจีนในสมัยโบราณ

[2] เตาที่ทางการใช้ผลิตภาชนะสำหรับราชสำนัก ซึ่งมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือและซ่งใต้ มีอายุเก่าแก่ถึง 1,000 กว่าปี