บทที่ 147 ยกฐานะให้สูงขึ้น

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

หนึ่งร้อยสี่สิบเจ็ด

ยกฐานะให้สูงขึ้น

สีหน้าของป้าโจวเย็นชาเรียบเฉย “วันนี้เจ้าช่วยไปบอกเขาที… ว่าตอนที่ข้าอยู่ในเมืองผิงหยาง ข้าได้รับการดูแลจากเยว่เอ๋อร์เป็นอย่างดี แม้ว่าข้าจะรับนางเป็นศิษย์ แต่ใจข้านี้ชอบนางยิ่งนัก และอยากรับนางเป็นลูกสาว ขอให้เขาดูแลเยว่เอ๋อร์ให้มาก”

เมื่อจ้าวโหย่วเต๋อได้ยินเช่นนั้น ก็เงยหน้าขึ้นมองเสวี่ยเจียเยว่ จากนั้นจึงก้มหน้าลงอย่างรวดเร็วพร้อมกับตอบรับ “ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง” เมื่อเขากล่าวจบก็ก้มตัวเดินถอยกลับไปยืนรอที่ด้านนอก เมื่อถึงเวลาที่ต้องกลับไป ‘ที่นั่น’ เขาจะรายงาน ‘คนผู้นั้น’ ตามคำสั่งของนาง

ตั้งแต่ตอนที่ป้าโจวเรียกเขาเข้ามา และตอนที่เขาถอยออกไป ความจริงแล้วเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่เสวี่ยหยวนจิ้งก็สังเกตเห็นว่าแม้จ้าวโหย่วเต๋อจะโกนผม สวมชุดพระ แต่ผิวของเขาเนียนละเอียด ไม่มีหนวดใต้คางสักเส้น แม้แต่คำพูดเมื่อครู่ยังสั้นได้ใจความเหมือนบุรุษทั่วไป…

หัวใจของเสวี่ยหยวนจิ้งสั่นสะท้าน สายตาจับจ้องไปทางป้าโจว

ป้าโจวรู้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นคนคิดรอบคอบและฉลาด เขาน่าจะคาดเดาอยู่เงียบๆ ดังนั้นนางจึงยิ้มแล้วกล่าว “ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคาดเดาว่าคนผู้นั้นคือใคร น่าเสียดายที่ข้ายังบอกเจ้าในตอนนี้ไม่ได้ แต่เจ้าวางใจเถอะ เยว่เอ๋อร์เป็นเหมือนลูกสาวของข้า ข้าก็เหมือนเจ้า อยากให้นางมีชีวิตที่ดี”

เสวี่ยหยวนจิ้งโค้งคำนับนางแล้วกล่าว “ขอบคุณท่านมาก”

เรื่องของเซี่ยเทียนเฉิงกับเฉินอ๋าวเหมยเมื่อครู่นี้ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ถึงอย่างไรคนผู้นั้นก็เป็นบุตรชายของเซี่ยโส่วฝู แต่เขามีตำแหน่งต่ำต้อย หากเซี่ยเทียนเฉิงลงมือจริงๆ เขาจะทำอะไรได้ ทว่าฐานะของป้าโจวต้องไม่ใช่ธรรมดาอย่างแน่นอน ถ้ามีนางคอยดูแลเสวี่ยเจียเยว่ เด็กสาวก็จะได้รับการปกป้องดูแลอีกชั้น

เสวี่ยเจียเยว่ไม่ใช่คนโง่เขลา ก่อนหน้านี้เธอดีใจเพราะได้พบป้าโจวจนลืมคิดถึงเรื่องอื่น แต่ตอนนี้เมื่อเห็นท่าทีของเสวี่ยหยวนจิ้งเคารพป้าโจวอย่างกะทันหัน ก็คิดขึ้นมาได้ว่าวัดต้าเซียงกั๋วเป็นวัดของเหล่าเชื้อพระวงศ์ แต่ป้าโจวสามารถอยู่ที่นี่ได้ เช่นนั้นฐานะของนางย่อมไม่ใช่ธรรมดา เธอจึงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ท่านอาจารย์ ท่านเป็นใครกันแน่เจ้าคะ เหตุใดถึงอยู่ที่นี่ได้”

ป้าโจวยิ้มแต่ไม่ตอบอะไร ก่อนจะยกมือขึ้นจัดปิ่นปักผมที่เอียงเล็กน้อยบนมวยผมของนาง เสวี่ยเจียเยว่เห็นเช่นนั้นก็นึกถึงปิ่นที่นางฝากหูจื่อนำมามอบให้เธอ แต่เธอเก็บไว้ที่เรือน ไม่ได้นำติดตัวมาด้วย

“ข้าจะเป็นใครมันสำคัญมากหรือ หรือว่าเจ้าจะไม่ยอมรับข้า” นางเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

“ไม่นะเจ้าคะ” เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยตอบอย่างจริงจัง “ไม่ว่าท่านอาจารย์จะเป็นใคร ท่านก็เป็นอาจารย์ของข้า”

ป้าโจวรู้สึกโล่งใจมาก นางลูบหลังมือเสวี่ยเจียเยว่เบาๆ พร้อมกับกล่าวด้วยรอยยิ้มเช่นเคย“เจ้าเด็กโง่ เมื่อครู่นี้ข้าบอกแล้วว่าจะรับเจ้าเป็นลูกสาว เจ้ายังเรียกข้าว่าอาจารย์ได้อย่างไร หรือว่าใจเจ้าไม่อยากยอมรับข้าเป็นแม่”

เสวี่ยเจียเยว่ได้สติกลับมาจึงกุมมือป้าโจวเอาไว้แน่น จากนั้นน้ำตาก็ซึมออกมา และเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ “ท่านแม่”

ในภพที่จากมาเธอเคยมีมารดาสองคน คนหนึ่งคือมารดาแท้ๆ ที่ให้กำเนิด อุ้มเธอเอาไว้ในอ้อมกอดอย่างรักใคร่เอ็นดู แต่น่าเสียดายที่ท่านป่วยและจากไปตั้งแต่เธอยังเด็ก ต่อมาก็คือแม่เลี้ยงที่บิดาของเธอแต่งงานใหม่ แม้เสวี่ยเจียเยว่จะเรียกผู้หญิงคนนั้นว่าแม่ แต่แม่เลี้ยงก็ไม่ได้ทำดีกับเธอ การด่า ทุบตี และให้อดมื้อกินมื้อถือเป็นเรื่องธรรมดา หลังจากข้ามภพมา หากไม่นับป้าหยาง เธอก็มีมารดาคนแรกที่หมู่บ้านซิ่วเฟิง แม้เธอจะเรียกซุนซิ่งฮวาว่าแม่ แต่นางก็ปฏิบัติไม่ดีกับเธอ และตอนนี้เสวี่ยเจียเยว่มี ‘แม่’ อีกคน

แม้ว่าเธอกับป้าโจวจะไม่ได้มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด แต่ที่ผ่านมานางก็ดีกับเธอมาก ทั้งอ่อนโยนและสนิทสนม ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนสอนเธอ หากเสวี่ยเจียเยว่ทำสิ่งใดพลาดนางจะตักเตือน อันที่จริงในใจของเธอนั้นคิดว่าป้าโจวคือมารดาของตนไปแล้ว

ป้าโจวซาบซึ้งใจยิ่งนัก ดวงตาของนางเป็นประกายไปด้วยหยาดน้ำตา

“เด็กดี… เด็กดี” นางยิ้มทั้งน้ำตาที่เอ่อล้น จับมือเสวี่ยเจียเยว่เอาไว้แน่น “ชีวิตนี้ข้าให้กำเนิดลูกชายเพียงคนเดียว ไม่มีลูกสาว ใจข้านั้นนึกเสียดายอยู่ตลอด แต่ตอนนี้ไม่เสียดายแล้ว”

เดิมทีเสวี่ยหยวนจิ้งอยากจะกล่าวบางอย่าง แต่เมื่อเห็นท่าทางซาบซึ้งใจของเสวี่ยเจียเยว่ สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะไม่พูดอะไร

เสวี่ยเจียเยว่คิดไม่ถึงว่าป้าโจวจะรับเธอเป็นลูกสาวอย่างกะทันหัน ในขณะที่เธอกำลังจะกล่าวขอบคุณ ก็เห็นเณรน้อยที่ยกถาดน้ำชาเมื่อครู่นี้เดินเข้ามาโน้มตัวลงกระซิบบางอย่างข้างหูป้าโจว

ขณะนี้เณรน้อยยืนอยู่ใกล้มาก เสวี่ยเจียเยว่เห็นว่าใบหน้าของอีกฝ่ายงดงามเหมือนสตรี จึงอดสงสัยขึ้นมาไม่ได้

เธอมองป้าโจวอีกครั้ง เห็นสีหน้าของนางนิ่งขรึม และกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ลูกชายของเซี่ยซิ่งเหยียนอย่างนั้นหรือ”

น้ำเสียงนั้นเย็นเยียบ ราวกับว่านางกลายเป็นศัตรูกับเซี่ยโส่วฝูแล้ว

ไม่นานป้าโจวก็โบกมือให้เณรน้อยออกไป และหันมามองเสวี่ยเจียเยว่พร้อมเอ่ยถาม “เจ้าไปยั่วโทสะลูกชายของเซี่ยซิ่งเหยียนได้อย่างไร”

น้ำเสียงนั้นมั่นคงกว่าเมื่อครู่นี้ไม่น้อย สีหน้าของนางก็สงบลงอีกครั้ง แต่มือขวากลับกำสร้อยประคำแน่นขึ้นจนปลายนิ้วของนางซีดขาว

เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นการเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง เกรงว่าป้าโจวกับเซี่ยโส่วฝูต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกันแน่นอน

เสวี่ยเจียเยว่ยกมือถูจมูกของตน จากนั้นก็เอ่ยถึงเรื่องเมื่อครู่ “เดิมทีท่านพี่อยากจะแบกข้าข้ามกำแพงเพื่อหนีไปจากที่นี่ แต่คิดไม่ถึงว่าท่านแม่จะให้คนมาเชิญพวกข้ามาพบ มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ ลูกชายของเซี่ยโส่วฝูคนนั้นหาที่นี่เจอเช่นนั้นหรือ ให้ข้ากับท่านพี่ออกไปอธิบายแก่เขาดีหรือไม่ ข้าจะไม่ให้เขามารบกวนท่านแม่เด็ดขาด” เมื่อกล่าวจบเธอก็คิดจะลุกขึ้น

เสวี่ยหยวนจิ้งไม่มีทางปล่อยให้เสวี่ยเจียเยว่ออกไปเจรจากับเซี่ยเทียนเฉิงอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้เขากลับนั่งโดยไม่ไหวติง เพราะอยากรู้ว่าป้าโจวจะทำอย่างไรต่อไป

ป้าโจวดึงมือเสวี่ยเจียเยว่เอาไว้ “เดิมทีเขาก็คิดไม่ซื่อกับเจ้า เจ้าจะออกไปเจรจาอะไรกับเขา นั่นไม่เรียกว่าส่งแกะเข้าปากเสือหรืออย่างไร วางใจเถอะ ข้าไม่ยอมให้เขาเข้ามาในนี้แน่นอน”

จากนั้นนางก็เรียกคนที่พาเสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้งมาส่งเมื่อครู่นี้แล้วสั่งเขา “เจ้าออกไปขวางลูกชายของเซี่ยซิ่งเหยียน”

น้ำเสียงนั้นเรียบเฉยราวกับไม่เห็นบุตรชายของเซี่ยโส่วฝูอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย

เสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินเช่นนั้น หัวใจก็สั่นสะท้านขึ้นมาอีกครั้ง เกรงว่าฐานะของป้าโจวจะอยู่เหนือกว่าเซี่ยโส่วฝู นางสามารถอยู่ในวัดต้าเซียงกั๋วได้ ข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมดเป็นของชั้นดี คนราวสิบคนที่ซ่อนตัวอยู่ข้างนอกก็น่าจะมาเพื่อปกป้องนาง และจ้าวโหย่วเต๋อผู้นั้นก็น่าจะเป็นขันทีในวัง…

ทันใดนั้นชายหนุ่มก็นึกขึ้นมาได้ว่าเขาบังเอิญได้ยินคนในโรงเตี๊ยมพูดคุยกันถึงเรื่องเมื่อหลายปีก่อน ว่ากันว่าเดิมทีตำแหน่งฮองเฮาไม่ใช่ของน้องสาวเซี่ยโส่วฝู แต่เป็นโจวฮองเฮา บุตรสาวของฉางซิ่นโหว[1] ต่อมาเพราะเขาต้องโทษกบฏ คนในตระกูลโจวจึงถูกประหาร ส่วนโจวฮองเฮาถูกปลดออกจากตำแหน่งด้วยราชโองการของฮ่องเต้ ก่อนจะส่งตัวเข้าตำหนักเย็น มีทหารควบคุมอย่างแน่นหนา เป็นตายไม่อาจรู้ และองค์ชายใหญ่ บุตรชายที่นางให้กำเนิดก็ถูกปลดจากตำแหน่งองค์รัชทายาท แล้วส่งตัวไปใช้ชีวิตในสวนที่หนาวเหน็บนอกวัง ต่อมาฮ่องเต้ได้แต่งตั้งน้องสาวของเซี่ยโส่วฝูที่อยู่ในตำแหน่งกุ้ยเฟยเป็นฮองเฮา และแต่งตั้งองค์ชายรองที่นางให้กำเนิดเป็นองค์รัชทายาท

ด้วยความบังเอิญที่ป้าโจวก็แซ่โจวด้วย…

เสวี่ยหยวนจิ้งตกใจจนหัวใจสั่นสะท้าน ก่อนจะหยิบถ้วยชาใบเล็กขึ้นมาแล้วก้มหน้าลงดื่ม

ป้าโจวยังพูดคุยกับเสวี่ยเจียเยว่ ขณะนั้นคนที่นางส่งไปขวางบุตรชายของเซี่ยโส่วฝูก็เดินเข้ามารายงานอย่างนอบน้อมว่าชายหนุ่มถูกเขาไล่กลับไปแล้ว นางรับฟังแล้วพยักหน้าให้เขา ก่อนจะเรียกจ้าวโหย่วเต๋อที่อยู่ด้านนอกเข้ามาสั่งให้ไปเตรียมรถม้า ไม่นานจ้าวโหย่วเต๋อก็กลับเข้ามาบอกว่าเตรียมรถม้าเสร็จแล้ว

จากนั้นป้าโจวก็พูดกับเสวี่ยเจียเยว่ต่อ “เดิมทีข้าอยากให้เจ้าอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนข้า แต่ข้าอยู่ที่นี่ก็เหมือนอยู่ในกรง จะออกไปไหนตามใจไม่ได้ เจ้าเองก็คงไม่ชอบ ช่างเถอะ เจ้ากลับไปพร้อมกับพี่ชายของเจ้าก่อน”

นางส่งสร้อยประคำให้เสวี่ยเจียเยว่ “หากเจ้าคิดถึงข้า จงนำสร้อยประคำนี้มาที่วัดต้าเซียงกั๋ว จะมีคนนำทางเจ้ามาพบข้า”

หัวใจของเสวี่ยเจียเยว่เจ็บแปลบขึ้นมาทันที ก่อนจะกอดป้าโจวพร้อมกับน้ำตาที่เอ่อล้น และกล่าวด้วยความเสียใจ “ท่านแม่ ท่านอยู่คนเดียวทั้งวันคงเบื่อแย่แล้ว ให้ข้าอยู่ที่นี่กับท่านเถอะ”

ป้าโจวตบแขนปลอบใจเสวี่ยเจียเยว่ สายตามองไปยังเสวี่ยหยวนจิ้งแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม“กลัวเพียงพี่เจ้าจะไม่วางใจหากให้เจ้าอยู่ที่นี่กับข้า”

จากนั้นนางก็สั่งให้จ้าวโหย่วเต๋อพาเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่ออกไปทางประตูหลัง เสวี่ยเจียเยว่ยังไม่อยากจากไป ป้าโจวจึงเอ่ยปลอบใจด้วยรอยยิ้ม

“ตอนนี้เจ้ากับข้าอยู่ที่เมืองหลวง ถึงอย่างไรก็ได้พบหน้ากันบ่อยขึ้น ไยต้องอาลัยอาวรณ์ เจ้าเชื่อฟังข้าเถอะ กลับไปกับพี่ของเจ้าดีๆ เชื่อฟังเขาให้มากๆ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็อย่าได้เอาแต่ทำตามใจตัวเอง”

นางกำชับเรื่องอื่นอีก เหมือนมารดาที่กำลังสั่งสอนบุตร

ดวงตาของเสวี่ยเจียเยว่แดงก่ำเพราะยังไม่อยากลาจาก สุดท้ายเสวี่ยหยวนจิ้งจึงต้องจูงมือเธอออกมา เด็กสาวหันกลับไปร่ำลาป้าโจวด้วยน้ำตาที่นองหน้าแล้วหมุนตัวเดินจากไป

เมื่อออกมาจากกุฏิแล้ว จ้าวโหย่วเต๋อก็โน้มตัวเอ่ยด้วยความเคารพ “ท่านทั้งสองตามข้าน้อยมาขอรับ”

เส้นทางที่เดินไปเป็นหินสีดำที่คดเคี้ยว ในที่สุดก็เห็นประตูเล็กที่ซ่อนอยู่ จ้าวโหย่วเต๋อเดินไปเปิดประตูเล็กบานนั้น เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่เดินออกไป ก็เห็นว่ามีรถม้าคันหนึ่งจอดรออยู่ด้านนอกแล้ว เป็นรถม้าคลุมผ้าสีเขียวที่ดูธรรมดามาก เหมือนรถม้าที่ให้คนทั่วไปเช่ามา

จ้าวโหย่วเต๋อเดินไปเลิกม่านบนรถม้าแล้วเชิญเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่ขึ้นไปนั่ง จากนั้นเขาก็ปล่อยม่านลงและเอ่ยสั่งคนขับรถม้า “ส่งคุณชายเสวี่ยและแม่นางเสวี่ยกลับไปอย่างปลอดภัย”

เขาบอกสถานที่ที่เสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้งอาศัยอยู่ในตอนนี้

คนขับรถม้าตอบรับอย่างนอบน้อม ก่อนจะสะบัดบังเหียน จากนั้นรถม้าก็เคลื่อนตัวไปข้างหน้า

เมื่อครู่นี้เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินจ้าวโหย่วเต๋อบอกที่อยู่ของเธอกับเสวี่ยหยวนจิ้งแก่คนขับรถม้าอย่างแม่นยำ ชั่วขณะนั้นเธอเงียบงันไปครู่หนึ่ง

เสวี่ยหยวนจิ้งสังเกตเห็นจึงเอื้อมมือไปโอบกอดเด็กสาว และจูบแก้มขาวเนียนเบาๆ พลางเอ่ยถาม “เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่”

เสวี่ยเจียเยว่ไม่มีทางปิดบังสิ่งใดกับเขาได้ จึงถามไปตามที่ตนคิดอยู่ในใจ “ท่านพี่ ฐานะของนางไม่ธรรมดาใช่หรือไม่”

เมื่อครู่เธอก็เห็นแล้ว แม้ว่าการตกแต่งในกุฏิจะเรียบง่าย แต่เณรน้อยที่ยกน้ำชามาให้และจ้าวโหย่วเต๋อล้วนตั้งใจปลอมตัว ส่วนคนที่พาพวกเธอมาก็ยืนคอยรับใช้อยู่ข้างนอกตลอดเวลา เห็นได้ชัดว่าป้าโจวมีฐานะสูงส่ง พอฟังจากคำพูดของนาง ก็รู้ได้ว่านางไม่มีอิสระแม้แต่น้อย เหมือนที่นั่นเป็นกรงที่ใช้กักขังนาง

[1] คือตำแหน่งขุนนางชั้นสูงสุด ที่สูงกว่าขั้นหนึ่ง หากเทียบกับขุนนางไทยในยุคโบราณก็คือระดับเจ้าพระยา