หนึ่งร้อยสี่สิบแปด

ความประทับใจ

เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้ตอบอันใด แม้ว่าเขาจะเดาฐานะของป้าโจวได้แล้ว แต่ไม่คิดจะบอกเสวี่ยเจียเยว่ เพราะถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็อยู่เหนือความคาดหมาย หากเขาบอกไปเสวี่ยเจียเยว่ต้องตกใจมากอย่างแน่นอน จึงได้แต่เอ่ยให้อีกฝ่ายคิดตาม

“ไม่ว่าฐานะของป้าโจวจะเป็นอย่างไร นางก็เป็นอาจารย์ของเจ้า และตอนนี้นางยังรับเจ้าเป็นลูกบุญธรรม นางจริงใจกับเจ้ามาก ถูกหรือไม่”

เสวี่ยเจียเยว่พยักหน้า “ข้ารู้ ข้าไม่เคยคิดจะทำตัวห่างเหินกับนางเพราะฐานะ แต่ข้า… แต่ข้าเห็นว่าในตอนนี้เหมือนนางถูกคุมขังอยู่ที่นั่น ไม่สามารถเป็นอิสระได้ ข้าอยาก…”

“เจ้าอยากอะไร” เสวี่ยหยวนจิ้งไม่อยากให้เสวี่ยเจียเยว่พูดประโยคหลังออกมาจึงเอ่ยขัดจังหวะ เพราะถึงอย่างไรคนขับรถม้าที่อยู่ด้านนอกก็เป็นคนของจ้าวโหย่วเต๋อ ชายหนุ่มกังวลว่าอีกฝ่ายจะได้ยินบทสนทนาของพวกเขา

หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง เขาก็กดเสียงต่ำ “เยว่เอ๋อร์ ข้าเข้าใจความหมายของเจ้าดี แต่ถ้าเจ้าลองไตร่ตรองดูอย่างถี่ถ้วน แม้ว่าป้าโจวจะไม่ได้เป็นอิสระขณะที่อยู่ในนั้น แต่คนพวกนั้นก็ปฏิบัติต่อนางอย่างเคารพ หากจะบอกว่าพวกเขาคุมขังนาง มิสู้บอกว่าปกป้องนางไม่ดีกว่าหรือ อีกอย่าง… เจ้าเองก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับป้าโจว หากเจ้าคิดจะทำสิ่งใดหุนหันพลันแล่น ไม่แน่อาจไม่เป็นผลดีต่อนาง ดังนั้นปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไปก่อนชั่วคราว รอให้พวกเรารู้ว่าเกิดเรื่องอะไรกับป้าโจวค่อยคิดหาทางกันอีกที”

เสวี่ยเจียเยว่คิดตาม ท่าทางของคนเหล่านั้นให้ความเคารพป้าโจวเป็นอย่างมาก กระทั่งไม่กล้าจะเงยหน้ามองนางด้วยซ้ำ…

เธอเองก็รู้ว่าที่เสวี่ยหยวนจิ้งกล่าวมานั้นมีเหตุผลจึงยอมตกลง “ข้าเข้าใจแล้ว”

เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นท่าทางเสวี่ยเจียเยว่เชื่อฟังเช่นนี้ จึงยื่นมือไปบีบแก้มเนียนอย่างอดไม่ได้“เด็กโง่ของข้า”

‘เด็กโง่’ ของเขาทำให้ผู้คนรักและเอ็นดูเช่นนี้ ไม่รู้ว่าการที่ป้าโจวรับเสวี่ยเจียเยว่เป็นลูกบุญธรรมจะเป็นเรื่องดีหรือไม่ แต่คนที่อยู่รอบๆ ป้าโจวนั้นเห็นได้ชัดว่ามาจากในวัง เดาได้ไม่ยากว่าใครคือคนที่สั่งให้นางอยู่ที่กุฏิในสวนหลังวัดต้าเซียงกั๋ว การที่ทำเช่นนี้คือการคุมขังหรือว่าปกป้องนาง ปีนั้นฮ่องเต้มีรับสั่งด้วยพระองค์เองว่าให้ปลดป้าโจวออกจากตำแหน่งฮองเฮาหรือ และฉางซิ่นโหวกับคนในตระกูล ฮ่องเต้ก็มีรับสั่งให้ประหารใช่หรือไม่ หรือว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำอะไรซ่อนอยู่กันแน่

เสวี่ยหยวนจิ้งขมวดคิ้วพลางคิดในใจ แต่เพื่อไม่ให้เสวี่ยเจียเยว่เป็นกังวล เขาจึงไม่ได้เอ่ยให้อีกฝ่ายฟังแม้แต่คำเดียว

เมื่อถึงยามบ่าย จ้าวโหย่วเต๋อเปลี่ยนจากชุดพระสีส้มเป็นชุดขันทีในวัง และสวมเสื้อคลุมธรรมดาทับไว้ด้านนอก จากนั้นก็สวมผมปลอมที่คนข้างๆ ยื่นให้ ก่อนจะเดินออกไป

ตอนที่เขาเดินไปถึงประตูด้านหลังก็เห็นรถม้ารออยู่แล้ว เขาเลิกม่านแล้วขึ้นไปนั่งด้านใน และไม่จำเป็นต้องให้เขาสั่ง คนขับก็เคลื่อนรถม้าออกไปทันที

รถม้าวิ่งมาจนถึงร้านค้าแห่งหนึ่งที่อยู่ข้างวัง หลังจากจ้าวโหย่วเต๋อเดินเข้าไป ก็มีคนพาเขาเข้าไปในห้องหนึ่ง เมื่อถอดเสื้อคลุมเผยให้เห็นชุดขันทีที่อยู่ด้านใน คนข้างๆ จึงส่งของหลายชิ้นให้เขา จากนั้นจ้าวโหย่วเต๋อหมุนตัวเดินออกไปทางประตูด้านหน้า และเดินตรงไปยังประตูวัง

ขันทีในวังมักจะออกมาซื้อของเป็นประจำ จึงไม่มีใครสงสัยจ้าวโหย่วเต๋อ

พอเดินมาถึงหน้าประตูวัง จ้าวโหย่วเต๋อแสดงป้ายประจำตัวให้ทหารเฝ้าหน้าประตูดู ทหารเหล่านั้นเปิดประตูให้เขาทันที จากนั้นเขาจึงถือของหลายชิ้นเดินไปตามทางเดินข้างใน

ฮ่องเต้แห่งแผ่นดินนี้มีพระนามว่า ‘หย่งหนิง’ ตามที่เล่าลือกัน ในช่วงแรกพระองค์เป็นฮ่องเต้ที่ทุ่มเทเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของแคว้น สนับสนุนเรื่องการปลูกหม่อน และพิชิตแคว้นเกาลี่[1] ทั้งยังซ่อมแซมระบบชลประทาน พระองค์คือฮ่องเต้ที่ชาญฉลาด แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ฮ่องเต้หย่งหนิงเริ่มหลงละเลิง วันๆ เอาแต่ดื่มสุราและเล่นสนุก กระทั่งไม่ออกว่าราชการเช้า งานดูแลบ้านเมืองก็มอบให้เน่ยเก๋อ[2] กับลิ่วปู้[3] จัดการแทน

ขุนนางในวังแบ่งเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งสนับสนุนเซี่ยซิ่งเหยียนซึ่งเป็นขุนนางอาวุโสในเน่ยเก๋อ และอีกฝ่ายสนับสนุนอวี๋ซิ่งเสวียที่รับตำแหน่งสูงสุดในกรมพิธีการ ทั้งสองฝ่ายมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด แต่ดูเหมือนว่าฮ่องเต้หย่งหนิงจะไม่ทรงทราบเรื่องนี้ พระองค์ยังคงเอาแต่เมาสุราทั้งวัน และไม่เอ่ยถามถึงบ้านเมือง

ยามนี้ฮ่องเต้กำลังประทับอยู่บนตั่งตัวยาวริมหน้าต่าง คอเสื้อสีเหลืองสดใสเปิดกว้างกว่าครึ่ง และหรี่ตามองจ้าวโหย่วเต๋อที่คุกเข่าอยู่บนพื้น สองมือวางอยู่บนตักอย่างเหม่อลอย

จ้าวโหย่วเต๋อไม่กล้ามองฮ่องเต้ ได้แต่ก้มหน้ามองพรมขนแกะสีน้ำตาลแดงหนานุ่มบนพื้น และเอ่ยอย่างเคารพ “ถวายบังคมฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นๆ ปี”

“หมื่นปีเชียวหรือ” ฮ่องเต้หย่งหนิงหัวเราะเบาๆ ใบหน้าหล่อเหลาซีดลงเล็กน้อยหลังจากดื่มสุราติดต่อกันมาหลายปี “อยู่ได้ถึงห้าสิบปีก็ไม่เลวแล้ว ยังจะขอให้เราอยู่ถึงหมื่นปีอีก หากเป็นเช่นนั้นเราไม่กลายเป็นปีศาจเฒ่าไปแล้วหรือ และกลายเป็นปีศาจเฒ่าที่ใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุขไปวันๆ”

ตอนที่ฮ่องเต้หย่งหนิงยังเป็นรัชทายาท จ้าวโหย่วเต๋อคอยรับใช้อยู่ข้างกายพระองค์มาโดยตลอด และเป็นผู้ที่ฮ่องเต้โปรดปรานที่สุด ใครๆ ต่างก็เรียกเขาว่าจ้าวกงกง แต่ไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีข่าวลือว่าเขาล่วงเกินพระสนมที่ฮ่องเต้กำลังโปรดปราน ฮ่องเต้หย่งหนิงกริ้วมากจึงปลดตำแหน่งจ้าวโหย่วเต๋อให้กลายเป็นคนทำความสะอาดวัง ทำให้คนอื่นๆ เริ่มจำขันทีผู้นี้ไม่ได้

แน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเพียงการเสแสร้ง คนภายนอกไม่อาจรู้ความจริงเบื้องหลังข่าวลือ จากนั้นไม่นานจ้าวโหย่วเต๋อก็ได้นำคำสั่งของฮ่องเต้หย่งหนิงออกจากวังไปตามหาฮองเฮาองค์ก่อนอย่างลับๆ โชคดีที่ตามตัวนางพบเมื่อไม่กี่ปีก่อน ฮ่องเต้ยังไม่อยากให้นางเข้าวัง เพราะกังวลว่าจะไม่เป็นผลดีต่อนาง จึงได้จัดสถานที่หลังวัดต้าเซียงกั๋วอันเงียบสงบให้เป็นที่อยู่ของนางอย่างลับๆ โดยส่งจ้าวโหย่วเต๋อและคนที่ตนไว้ใจที่สุดไปดูแลรับใช้นางที่นั่น ทุกสิ้นเดือนจ้าวโหย่วเต๋อจะเข้าวังเพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้หนึ่งหน แล้วรายงานเรื่องความเป็นอยู่ของโจวฮองเฮาให้พระองค์ทรงทราบ

แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงสิ้นเดือน ฮ่องเต้หย่งหนิงจึงเอ่ยถาม “เหตุใดวันนี้เจ้าถึงได้มาพบเราเล่า หรือว่านางมีสิ่งใดอยากจะบอกเรา”

เมื่อกล่าวจบเขาก็ยิ้มเยาะตัวเอง เพราะรู้ว่าโจวฮองเฮาเกลียดเขายิ่งนัก แม้ว่าเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อตามหานาง และจัดให้นางอยู่หลังวัดต้าเซียงกั๋ว แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้นางไม่เคยพูดกับเขาสักคำ ตอนแรกเขาถามจ้าวโหย่วเต๋อทุกครั้งว่านางไม่มีสิ่งใดอยากจะบอกเขาหรือ ทว่าความคาดหวังที่เต็มเปี่ยมของเขากลับว่างเปล่าครั้งแล้วครั้งเล่า ต่อมาเขาจึงถามคำถามนี้น้อยลง

ขอเพียงได้รู้ว่านางสบายดีก็พอแล้ว และเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ต้องมีสักวันที่ความจริงทั้งหมดจะกระจ่าง

จ้าวโหย่วเต๋อสัมผัสได้ถึงความเศร้าในพระสุรเสียงของฮ่องเต้ จึงรู้สึกปวดใจยิ่งนัก เขาก้มศีรษะลงแล้วกล่าว “ทูลฝ่าบาท ที่กระหม่อมมาในวันนี้ อันที่จริงแล้วเหนียงเหนียงมีเรื่องจะทูลฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

“หือ?” ฮ่องเต้หย่งหนิงเอนกายพิงผนัง แต่ไม่นานก็ยืดตัวตรง แววตามีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที“นางมีสิ่งใดอยากจะพูดกับเราเช่นนั้นหรือ”

จ้าวโหย่วเต๋ออดหลับตาลงไม่ได้ จากนั้นเขาก็ลืมตาขึ้นแล้วรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นในวัดต้าเซียงกั๋วด้วยเสียงสั่นเครือ รวมทั้งถ้อยคำที่โจวฮองเฮาฝากมาให้ฮ่องเต้หย่งหนิง

เมื่อฮ่องเต้หย่งหนิงฟังจบ แววตาที่ดูมีชีวิตชีวาก็ค่อยๆ หายไป จากที่นั่งตัวตรงไม่นานก็เอนหลังพิงผนังอย่างช้าๆ

“นางยังโกรธเราอยู่จริงๆ ด้วย” เขายิ้มอย่างเจ็บปวดใจ และไม่ได้กล่าวอันใดออกมาอีก

เห็นได้ชัดว่าการรับนางกลับมาไม่ได้ทำให้ใกล้ชิดกันเหมือนดั่งที่เคยเป็น นางไม่มีทีท่าว่าจะให้อภัยเขาแต่อย่างใด

จ้าวโหย่วเต๋อย่อมไม่กล้าเอ่ยขัดจังหวะ เขาทำได้เพียงคุกเข่าอยู่บนพื้นเช่นนั้น แม้แต่หายใจแรงๆ ก็ยังไม่กล้า

หลังจากผ่านไปไม่นาน เขาก็ได้ยินน้ำเสียงอันเหนื่อยล้าของฮ่องเต้หย่งหนิง

“เจ้ากลับไปบอกนาง ในเมื่อนางยอมรับเสวี่ยเจียเยว่ผู้นั้นเป็นบุตรบุญธรรม เช่นนั้นเด็กสาวก็คือบุตรบุญธรรมของเราด้วย อีกประเดี๋ยวเราจะส่งคนไปคอยคุ้มกันเสวี่ยเจียเยว่อย่างลับๆ ขอให้นางไม่ต้องกังวล”

จ้าวโหย่วเต๋อรีบตอบรับอย่างนอบน้อมทันที จากนั้นก็ได้ยินฮ่องเต้หย่งหนิงเอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้ง

“เสวี่ยหยวนจิ้งที่เจ้าเพิ่งกล่าวถึงผู้นั้น คือผู้ที่สอบได้ตำแหน่งเจี้ยหยวนจากการสอบระดับมณฑลในเมืองผิงหยาง ที่เจ้าเคยพูดให้เราฟังเมื่อคราวก่อนใช่หรือไม่”

“พ่ะย่ะค่ะ” จ้าวโหย่วเต๋อรีบเอ่ยตอบ “กระหม่อมเคยพบเสวี่ยหยวนจิ้งตอนที่ไปตามหาเหนียงเหนียง เขามีท่าทีนิ่งสงบเฉลียวฉลาด ในช่วงที่ผ่านมาเพราะเหนียงเหนียงมีความห่วงใยแม่นางเสวี่ยผู้นั้น กระหม่อมจึงคอยดูแลนางอย่างลับๆ มาตลอด ทำให้กระหม่อมรู้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งคือผู้ที่สอบเข้าสำนักศึกษาไท่ชูและสำนักศึกษาถัวเยว่ได้พร้อมกัน ทั้งยังได้อันดับหนึ่งทั้งสองแห่ง เรื่องนี้สั่นสะเทือนไปทั่วเมืองผิงหยาง

“จากนั้นเขาก็เลือกเข้าเรียนที่สำนักศึกษาไท่ชู กระหม่อมยังได้ยินว่าเขาสอบได้อันดับหนึ่งในการสอบทุกเดือน ตอนที่สอบระดับต้นเขาได้ตำแหน่งเสี่ยวซานหยวน และการสอบระดับมณฑลต่อมาเขาก็ได้ตำแหน่งเจี้ยหยวน อาจารย์ที่สอนเขาต่างบอกว่าเสวี่ยหยวนจิ้งอาจสอบได้จอหงวน และอาจจะสอบได้อันดับหนึ่งก็เป็นได้”

ฮ่องเต้หย่งหนิงได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มบาง “เช่นนี้เสวี่ยหยวนจิ้งผู้นั้นก็มีความสามารถมาก”

หลังจากถามเกี่ยวกับโจวฮองเฮาอีกสองสามคำถาม ฮ่องเต้ก็โบกมือสั่งให้อีกฝ่ายกลับไป จ้าวโหย่วเต๋อโขกศีรษะเบาๆ สามครั้งอย่างนอบน้อม จากนั้นจึงลุกขึ้นแล้วก้มตัวเดินถอยหลังออกไป

หลังจากจ้าวโหย่วเต๋อเดินออกไปได้ไม่นาน ฮ่องเต้หย่งหนิงก็หยิบถุงเงินเก่าๆ ที่ทำจากผ้าไหมสีเหลืองออกมา เมื่อลูบลายยวนยางคู่งามที่ปักอยู่บนถุงเงินนั้น มุมปากของเขาก็ค่อยๆ โค้งขึ้น

แต่ทันใดนั้น ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ รอยยิ้มที่มีความสุขถึงได้หายไป กลายเป็นความเจ็บปวดที่ปรากฏขึ้นในแววตาแทน

ไม่นานเขาก็ถอนหายใจเบาๆ และเก็บถุงผ้าเข้าไปในอกเสื้อเช่นเคย ก่อนจะลุกขึ้นจากตั่ง แล้วเรียกขันทีที่รออยู่ด้านนอกเข้ามาสั่งการ “ไปบอกฮองเฮาว่าอีกประเดี๋ยวเราจะไปกินอาหารมื้อเย็นกับนาง ให้นางเรียกองค์รัชทายาทมาด้วย”

ขันทีรับคำทันทีแล้วก้มตัวถอยหลังออกไป เพื่อจะนำคำพูดนี้ไปทูลเซี่ยฮองเฮาที่วังหลัง

เมื่อคืนฮ่องเต้ได้เสวยอาหารมื้อเย็นกับเซี่ยฮองเฮาและองค์รัชทายาทที่ตำหนัก เซี่ยซิ่งเหยียนได้รู้เรื่องนี้ตอนเช้าวันนี้ กระทั่งเครื่องเสวยมีอะไรบ้างเขาก็รู้ อีกทั้งฮ่องเต้ยังทรงอธิบายเรื่องของ คัมภีร์เมิ่งจื่อ ให้องค์รัชทายาทฟัง หลังจากเสวยเสร็จ พระองค์ก็ได้พักผ่อนกับเซี่ยฮองเฮา

เช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องดีไม่น้อย…

เซี่ยซิ่งเหยียนให้คนนำรางวัลมามอบแก่ผู้เป็นหูเป็นตาในวังหลัง และให้คนออกไปส่งเขาที่ประตูด้านหลัง จากนั้นก็เรียกบ่าวรับใช้ที่รออยู่ข้างนอกเข้ามา “ไปเรียกคุณชายมา”

บ่าวรับใช้ผู้นั้นรับคำแล้วรีบไปตามเซี่ยเทียนเฉิงที่เรือนมาทันที

เซี่ยเทียนเฉิงยังคงไม่ลุกจากเตียง แต่เขาก็กลัวเซี่ยซิ่งเหยียนมาตลอด เมื่อรู้ว่าบิดาเรียกตนไปที่ห้องหนังสือ เขาจึงรีบสวมเสื้อตัวนอกแล้วออกไปทันที โดยไม่แม้แต่จะล้างหน้าบ้วนปาก

เมื่อเขาเดินเข้าไปในห้องหนังสือ ก็เห็นเซี่ยซิ่งเหยียนกำลังนั่งกินอาหารมื้อเช้าอยู่ที่โต๊ะ

ในกล่องอาหารสีดำเหลือบทองเก้าช่องนั้น ทุกช่องใส่อาหารที่ทำอย่างประณีต นอกจากนี้ยังมีขนมอย่างดีอีกสองสามจาน โจ๊กใส่นมวัวหนึ่งถ้วย ทั้งหมดนี้คืออาหารมื้อเช้าของเซี่ยซิ่งเหยียน

เซี่ยเทียนเฉิงยืนนิ่งอยู่ข้างโต๊ะ และโน้มตัวเอ่ยถามสารทุกข์สุกดิบ “ท่านพ่อสบายดีหรือไม่ขอรับ”

[1] ชื่อที่ใช้เรียกประเทศเกาหลีในสมัยจีนโบราณ

[2] เทียบได้กับคณะรัฐมนตรี

[3] หมายถึง เจ้ากรมทั้งหก ได้แก่ กรมขุนนาง กรมคลัง กรมพิธีการ กรมกลาโหม กรมยุติธรรม กรมโยธา