อวี้ถังไล่ตามเผยเยี่ยนอยู่ช่วงสั้นๆ ก็ตามทันเขา แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะอวี้ถังวิ่งเร็ว แต่เป็นเพราะเผยเยี่ยนยืนรอนางอยู่ข้างหน้า
“ข้ายังมีคำพูดจะถามท่าน!” อวี้ถังกระหืดกระหอบ เอ่ยอย่างไม่พอใจ “ไฉนท่านจึงไม่สนใจคนอื่นเช่นนี้!”
เผยเยี่ยนใช้แววตาที่แฝงคำพูดว่า ‘เจ้าเป็นคนโง่’ มองนางแวบหนึ่ง ไม่มีความกระตือรือร้นอยากจะพูดเสียด้วยซ้ำ
เห็นได้ชัดว่าพวกเขายืนอยู่ปลายลม กลิ่นหอมอย่างหนึ่งบนร่างของคุณหนูกู้ลอยตามลมมาชนจมูกเขาเป็นพักๆ คาดไม่ถึงว่าอวี้ถังจะไม่มีปฏิกิริยาอะไรแม้แต่น้อย…นี่ยังนับเป็นเด็กผู้หญิงอยู่หรือไม่?
ไม่ใช่ว่าเด็กผู้หญิงควรประสาทสัมผัสไวกับกลิ่นหอมหรอกรึ?
เผยเยี่ยนเอ่ยว่า “เจ้ายังมีเรื่องอะไรอยากถามข้า?”
อวี้ถังเอ่ย “อารามดับทุกข์…ได้รับเงินช่วยเหลือจากสกุลเผยตั้งแต่ยามใดรึ? ภายหลังสกุลเผยยังจะจุนเจือพวกนางต่อหรือไม่?”
สตรีของสกุลเผยล้วนชอบทำสิ่งที่เรียกว่า ‘การกุศล’ ว่ากันว่าการทำ ‘การกุศล’ นั้นชักจูงคนอื่นให้เข้าร่วมได้ง่าย ถึงกระทั่งสามารถกระตุ้นคนอื่นให้ทำตาม เผยเยี่ยนเดาว่าอวี้ถังก็คงเป็นเช่นนั้น เขาเอ่ยว่า “ห้าปีก่อน พ่อของข้าพบอารามแห่งนี้โดยบังเอิญ ในนั้นมีภิกษุณีอยู่สองคน คอยช่วยเหลืออุบาสิกาอีกเจ็ดแปดคนที่ไร้ทางให้กลับ รู้สึกเวทนาพวกนาง จึงเริ่มให้เงินช่วยเหลือพวกนาง ช่วยซ่อมแซมวิหารใหญ่และวิหารรองใหม่ ยังซื้อที่บนเขาโดยรอบให้วัดกว่ายี่สิบหมู่ ให้ภิกษุณีและอุบาสิกาสามารถกินนอนอยู่สบาย ส่วนเรื่องภายหลังนั้น ก็ย่อมต้องให้ความช่วยเหลือจุนเจือพวกนางสืบไป อย่างไรก็นับเป็นเรื่องดี” พูดจบ เขาก็เอ่ยอย่างแปลกใจ “เจ้าถามเรื่องนี้ไปทำไมกัน? เจ้าวางแผนจะทำอะไร?”
“ไม่ใช่ๆ” อวี้ถังโบกมือเป็นพัลวัน เอ่ยอย่างกระดากอาย “ข้าก็แค่ถามไปเท่านั้น ข้าเห็นว่าคนในวัดล้วนทุกข์ยาก ทั้งน่าสงสาร กลัวว่าสกุลพวกท่านจะคิดว่าช่วยเหลือจุนเจือวัดเช่นนี้จะไม่มีความหมายอันใด ดังนั้นจึงอยากมาไถ่ถามเสียหน่อย”
“จะไม่มีความหมายอันใดได้อย่างไร?” เผยเยี่ยนได้ฟังก็ขมวดคิ้ว เอ่ยอย่างไม่พอใจนัก “เจ้าไปได้ยินใครพูดอะไรมาใช่หรือไม่? ในเมื่อเจ้าพูดว่าภิกษุณีและอุบาสิกาล้วนน่าสงสาร คงคิดว่าพวกนางใช้ชีวิตไม่ง่ายกระมัง? มองจากจุดนี้ ข้ากลับคิดเหมือนท่านพ่อ…เป็นผู้หญิงก็ลำบากพอแล้ว หากพบคนที่เลวร้าย นั่นก็ยิ่งน่าสงสารไปใหญ่ พวกเราสามารถช่วยพวกนางได้เล็กน้อยก็ย่อมยินดีช่วย เจ้าไม่ต้องกังวลว่าสกุลเผยพวกเราจะไม่ช่วยเหลืออารามดับทุกข์หรอก เว้นเสียแต่ว่าคนในวัดจะไม่ต้องการความช่วยเหลือจากสกุลเผย เริ่มปิดบังอำพรางคนชั่ว หากไม่เป็นเช่นนั้น ขอเพียงข้ามีชีวิตอยู่หนึ่งวัน ก็ย่อมให้ความช่วยเหลืออารามดับทุกข์นี้ต่ออีกหนึ่งวัน”
ก็หมายความว่า นางในชาติก่อนได้รับความคุ้มครองจากสกุลเผยทั้งได้รับความคุ้มครองจากเผยเยี่ยนจริงๆ
ชั่วขณะนั้นความรู้สึกทั้งหมดของอวี้ถังก็พรั่งพรูมารวมกัน
ที่แท้ชาติก่อนที่นางมีชีวิตอยู่ถึงยี่สิบสี่ปี เป็นเพราะว่าได้รับบุญคุณที่นางไม่เคยรู้มามากมาย ทั้งได้รับความช่วยเหลือที่นางไม่เคยรู้มาก่อนคณานับ
“ขอบคุณ!” อวี้ถังพึมพำ ขอบตารื้นชื้นขึ้นมา ในใจน้ำยิ่งโหมสาดซัด ไม่อาจควบคุมตัวเอง
นางกลัวว่าตัวเองจะร้องไห้ต่อหน้าเผยเยี่ยน จึงย่อกายคำนับเขา ก่อนจะพาซวงเถาวิ่งออกไปอย่างเร่งรีบ
เผยเยี่ยนจับต้นชนปลายไม่ถูก ยืนอยู่ตรงนั้นพักใหญ่ก็ยังคงคิดไม่ออก เขาจึงเรียกเผยหม่านออกมา “เจ้าไปสืบดูว่า ในสกุลอวี้มีใครออกบวชหรือเป็นอุบาสิกาที่อารามดับทุกข์หรือไม่”
เผยหม่านรับคำสั่งก่อนจากไป
ก่อนจะมีเด็กรับใช้ถือจดหมายวิ่งเข้ามารายงานอย่างกระหืดกระหอบ “นายท่านสาม จดหมายของคุณชายหกสกุลกู้จากเมืองหลวงขอรับ”
ข้างนอก ทุกคนล้วนเรียกกู้ฉ่างว่าคุณชายหกสกุลกู้
เผยเยี่ยนเปิดจดหมายอย่างไม่ใส่ใจนัก หลังจากกวาดตามองผ่านๆ ก็อดหัวเราะเสียงเย็นออกมาไม่ได้ เอ่ยถามอาหมิงที่ไม่รู้ว่าโผล่มาอยู่ข้างกายตั้งแต่เมื่อใด “ท่านแม่เฒ่าอยู่ที่ไหน? เจ้าช่วยไปแจ้งให้ข้าหน่อย ข้าจะเข้าพบท่านแม่เฒ่า”
ใครจะรู้ว่าอาหมิงกลับเอ่ยว่า “นายท่านสาม มีคนจากสกุลหยางมาขอรับ ท่านแม่เฒ่าและท่านแม่เฒ่าอี้กำลังพูดคุยอยู่กับคนของสกุลหยาง” พูดจบ เขาก็เอ่ยขึ้นมาอย่างสงสัยทั้งแฝงความตักเตือน “นายท่านสาม ท่านอยากพบคนของสกุลหยางหรือไม่ขอรับ? คุณชายเหยียนก็มาด้วย ข้าได้ยินผู้ดูแลสกุลของพวกเขากล่าวว่า คุณชายเหยียนอยากพบหน้าท่านอย่างมากขอรับ!”
สกุลหยางคงอยากหยิบยืมอำนาจบางอย่างจากสกุลเผยกระมัง?
แต่ว่า หยางเหยียนก็เป็นคนฉลาดคนหนึ่ง คนที่อยากหยิบยืมอำนาจของสกุลเผยมีไม่น้อย หากเขาสามารถยืมไปใช้ได้ รอเขาและคุณหนูรองแต่งงานกันแล้ว ให้ยืมเสียหน่อยก็ย่อมไม่เป็นปัญหา
เผยเยี่ยนเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็พาเขาเข้ามาหาข้า”
อาหมิงรับคำสั่ง ก่อนจะออกไป
—
คุณหนูรองนั่งฟังคุณหนูสี่ คุณหนูสามและคุณหนูห้าพูดคุยกันอย่างตื่นเต้นในห้องชา “หญิงรับใช้ของสกุลหยางล้วนใส่ทองประดับ ดูแล้วคงใจกว้างไม่น้อย ข้าคิดว่าคนของสกุลพวกเขาคงนิสัยดีทีเดียว”
คุณหนูสามเอ่ยว่า “ข้าว่าแม่สื่อคนนั้นก็ไม่ใช่ประเภทที่ปลิ้นปล้อน เห็นได้ชัดว่าคนที่คบค้าสมาคมกับสกุลหยางล้วนเป็นคนที่จิตใจดี ธรรมเนียมในสกุลพวกเขาคงจะดีไม่น้อยเช่นกัน”
คุณหนูห้ากลับไม่คิดเช่นนั้น “เรื่องนี้ยังคงต้องดูอีกที ท่านย่ากล่าวว่า การมองคนนั้นเป็นอีกเรื่อง ยังต้องสืบเสาะให้ละเอียด อย่างไรก็ต้องรู้ตื้นลึกหนาบาง ท่านแม่เฒ่าอี้ก็คงไม่อาจให้พี่รองแต่งออกไปอย่างเรื่อยเปื่อยได้เช่นกัน”
“คำพูดนี้มีเหตุผล” คุณหนูสามเอ่ยอย่างจริงจัง “เจ้าดูพี่ใหญ่ ยามที่ยังไม่ออกเรือนนั้นดีเพียงใด หลังจากแต่งงานเพิ่งกำเนิดลูกสาว แม่สามีก็ไม่พอใจเสียแล้ว สกุลไหนต่างก็คาดหวังให้ลูกสาวคนโตถือกำเนิดก่อนทั้งนั้น จะได้เข้ากับตัวอักษร ‘ห่าว[1]’ เห็นได้ชัดว่าพี่ใหญ่ของนางกลับพบเจอเรื่องไม่ดีเสียได้ แต่เจ้าดูพี่ใหญ่ บีบสามีไว้ในมือ แม่สามีก็ทำได้เพียงร้อนใจ แต่ทำอะไรไม่ได้ ข้าคิดว่า แต่งให้กับสกุลใดไม่ใช่เรื่องสำคัญ ประเด็นหลักอยู่ที่สามี ต้องมีใจเห็นพ้องกับตนเอง ไม่อย่างนั้นต่อให้ธรรมเนียมของสกุลจะดีเพียงใดก็เปล่าประโยชน์”
“หากธรรมเนียมของสกุลดีอย่างไรก็คงดีกว่ากระมัง?” คุณหนูสี่เอ่ยอย่างลังเล “ไม่อย่างนั้นก็คงมีเพียงญาติที่เอาแต่จ้องหยิบยืมผลประโยชน์ไปมาหาสู่กัน พาให้คนกลัดกลุ้มปวดหัว”
ไม่มีผู้ใหญ่อยู่ที่นี่ คุณหนูทั้งสามจึงคิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น ไม่มีความกังวลแม้แต่น้อย คุณหนูรองที่เดิมทีไม่สบายใจอยู่แล้ว พอได้ฟังก็ยิ่งใจว้าวุ่นขึ้นไปอีก กล่าวตำหนิ “ล้วนเป็นคุณหนูที่ยังไม่ได้ออกเรือน พูดเรื่องเหลวไหลอะไรกัน? อยากให้ข้าส่งคนไปพูดให้ท่านย่าอี้ฟังหรือไม่?”
พวกคุณหนูพากันค้อมศีรษะลง ไม่กล้าพูดอะไรอีกแล้ว
คุณหนูรองที่กังวลกับอนาคตยังคงไม่อาจสงบใจได้ นางเรียกสาวใช้เข้ามา เอ่ยถามหากู้ซี “เมื่อครู่ยังอยู่ที่นี่? ไฉนพริบตาเดียวก็ไม่เห็นแล้วล่ะ”
สาวใช้คนนั้นไม่ทันได้ตอบ เสียงอ่อนหวานของกู้ซีก็แว่วดังขึ้นข้างหูของพวกคุณหนูเสียก่อน “ข้าเพิ่งไปห้องรับแขกมา ทำไมรึ? เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“ไม่มีอันใด!” คุณหนูรองเห็นกู้ซี ชั่วขณะนั้นก็ถอนหายใจ สาวเท้าเข้ามาดึงมือกู้ซี เอ่ยเสียงแผ่วว่า “พี่กู้ ก่อนหน้านี้เจ้าบอกข้าว่า เรื่องของตัวเองต้องควบคุมไว้ในมือตัวเอง ตัวเองอ่อนแอ แม้ว่าพ่อและพี่ชายจะดีเพียงใด ก็อาจถูกคนรังแกเช่นกัน หากตัวเองแข็งแกร่ง แม้ว่าสกุลมารดาจะไม่เหลือใคร ก็ยังสามารถใช้ชีวิตอย่างดีในสกุลสามีได้ เป็นอย่างนั้นจริงๆ รึ?”
“เป็นอย่างนั้นแน่นอน” กู้ซีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม มองคุณหนูรองด้วยแววตาเปี่ยมพลัง หนักแน่นอย่างยิ่ง “ผู้หญิงคิดจะใช้ชีวิตอย่างไร ก็ต้องพึ่งพาจัดการด้วยตัวเอง”
ด้วยเหตุนี้นางไม่สามารถตีสนิทเผยเยี่ยน แต่อวี้ถังกลับเดินนำหน้านางไปหนึ่งก้าว ก็คงเป็นหลักการนี้ด้วยกระมัง?
กู้ซีเอ่ยต่อ “นี่เป็นคำพูดที่ท่านแม่ข้าเคยกล่าวไว้ ข้าคิดว่ามีเหตุผลอย่างยิ่ง จดจำไว้ในใจทุกชั่วขณะ หวังว่าวันหนึ่งจะสามารถใช้ชีวิตอย่างที่ตัวเองต้องการได้”
“พี่กู้ยอดเยี่ยมไม่ใช่เล่น!” พวกคุณหนูสกุลเผยพากันเอ่ยชม
กู้ซีกลับเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าไปห้องรับแขกมา คุณหนูอวี้ไปไหนรึ? ไฉนข้าจึงไม่เห็นนาง?”
คุณหนูห้าชิงตอบคำถามด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูอวี้มีธุระกับอาสาม อีกเดี๋ยวนางก็คงจะกลับมา”
กู้ซีตกตะลึงไป
อวี้ถังไปพบเผยเยี่ยน…ที่แท้ทุกคนล้วนทราบ…นางยังคิดว่ามีเพียงนางคนเดียวที่รู้เสียอีก?
กู้ซียิ้มอย่างฝืดเฝื่อนอยู่บ้าง “อย่างนั้นรึ? ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรให้พบนายท่านสาม? ไปพบท่านแม่เฒ่าไม่ได้รึ?”
คุณหนูห้าเอ่ยว่า “ข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน! ยามที่เฉินต้าเหนียงบอกพวกเราว่ามีแขกมา ให้พวกเราอย่าเดินเที่ยวเล่นส่งเดช พวกเรานัดพี่อวี้ไปดื่มชา แต่หลิ่วซวี่ที่อยู่ข้างกายพี่อวี้บอกข้าว่า พี่อวี้มีธุระกับนายท่านสาม ควรเป็นเรื่องเร่งด่วนกระมัง? ไม่อย่างนั้นก็คงไปหาท่านย่าแล้ว จู่ๆ ก็มีแขกมาที่วัด นางไม่อาจไปหาท่านแม่เฒ่า ดังนั้นจึงไปหาอาสามแทน”
ไม่มีความสงสัยว่าอวี้ถังจะมีจุดประสงค์แอบแฝงแม้แต่น้อย
กู้ซีแค่นหัวเราะในใจ นึกถึงคำพูดพวกนั้นที่เผยเยี่ยนเอ่ยกับนาง คล้ายกับถูกคนตบหน้าฉาดใหญ่ก็มิปาน
นางเติบโตมาถึงขนาดนี้ ยังไม่เคยได้รับความอัปยศอดสูเช่นนี้มาก่อน
หากไม่ใช่ว่านางมีจิตใจที่แข็งแกร่ง ไม่ยอมแพ้จึงย้อนกลับไปอีกครั้ง คิดจะดึงเผยเยี่ยนมาถามให้รู้แล้วรู้รอด นางก็คงไม่รู้ว่าอวี้ถังก็ไปพบเผยเยี่ยนเช่นกัน ทั้งเผยเยี่ยนยังมีท่าทีต่ออวี้ถังแตกต่างจากนางโดยสิ้นเชิง
เช่นนั้นอวี้ถังมีอะไรดีกัน? เหตุใดจึงมีค่าพอให้เขาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอบอุ่นเช่นนั้น?
เพียงแค่อาศัยความได้เปรียบทางหน้าตาแต่งตัวสวยไปวันๆ เท่านั้น
เผยเยี่ยนถูกใจคนเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาก็ไม่ใช่ของล้ำค่าอะไร
กู้ซีครุ่นคิด ท้ายที่สุดในใจก็ยากจะรับไหวอยู่บ้าง แต่ยังคงเอ่ยด้วยรอยยิ้มกับคุณหนูห้า “ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล อีกเดี๋ยวคุณหนูอวี้กลับมาข้าต้องถามนางเสียหน่อยแล้วว่าตกลงพบเรื่องอะไรกัน…”
แต่นางยังพูดไม่ทันจบ อวี้ถังก็ปรากฏตัวที่หน้าประตูเสียก่อน เอ่ยตัดบทสนทนาของกู้ซี “คุณหนูกู้จะถามอะไรข้าอย่างนั้นรึ?”
“พี่อวี้!” คุณหนูสาม คุณหนูสี่และคุณหนูห้าเรียกอย่างดีใจ “พวกเรายังกลัวว่าเจ้าจะมาช้า อีกเดี๋ยวคุณชายหยางจะเข้ามาน้อมทักทายท่านแม่เฒ่าทั้งสอง”
ความนัยของวาจานี้คือ หากนางมาช้า ก็อาจไม่ได้เห็นหน้าคุณชายหยาง
อวี้ถังอดแย้มยิ้มขึ้นมาไม่ได้
คุณหนูรองกลับโมโหอยู่บ้าง ตำหนิน้องสาวทั้งสาม “พวกเจ้าพูดให้มันน้อยๆ หน่อย มีอะไรให้ดูหนักหนา คุณหนูอวี้ไม่ใช่ว่ามีธุระหรอกหรือ? เจ้าคิดว่าคนเขาจะว่างเหมือนกับพวกเจ้าหรืออย่างไร?”
คุณหนูทั้งสามหัวเราะออกมา กลับไม่ต่อปากต่อคำกับคุณหนูรองแต่อย่างใด
อวี้ถังกลับรังเกียจความปากอย่างใจอย่างของกู้ซีอยู่บ้าง ครุ่นคิดว่ากู้ซีจะทำเหมือนชาติก่อนที่มักขุดหลุมให้นางตกลงหลุมพรางต่อหน้าผู้คนหรือไม่…นางชื่นชอบคุณหนูของสกุลเผยอย่างยิ่ง ไม่อยากให้พวกคุณหนูเข้าใจผิดต่อนาง
“คุณหนูกู้อยากถามอะไรรึ?” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าฟังได้ครึ่งเดียว ไม่รู้ว่าคุณหนูกู้อยากถามอะไรกันแน่?”
กู้ซีลอบไม่พอใจ
นางสามารถรับรู้ได้ เมื่อก่อนอวี้ถังตั้งใจหลบหลีกนางอยู่บ้าง ยามนี้กลับมีท่าทีไม่สนใจอะไรอีกแล้ว ราวกับจู่ๆ นางก็มีความกล้าและความมั่นใจมาต่อกรกับนาง ทั้งความกล้าและความมั่นใจพวกนี้นางได้มาจากใคร ไม่ต้องพูดก็เห็นได้ชัดเจน
แต่ไหนแต่ไรกู้ซีก็ดูแคลนผู้หญิงเช่นนี้
นางเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยด้วยแฝงความนัย “พวกเราเพิ่งพูดกันว่าไฉนคุณหนูอวี้ยังไม่มา ที่แท้คุณหนูอวี้ก็ไปหานายท่านสาม พวกเราจึงกำลังทายว่า มีเรื่องอันใดที่คุณหนูอวี้ต้องเข้าพบนายท่านสามให้ได้ กระทั่งท่านแม่เฒ่าก็ไม่อาจแก้ไขปัญหานี้ได้รึ?”
————————
[1]好 คำว่าห่าวในภาษาจีนหมายถึงดี เมื่อแยกตัวอักษรในคำว่าห่าวออกจากกัน จะเป็น 女 (ลูกสาว) และ 子 (ลูกชาย) ชาวจีนจึงคิดว่า กำเนิดลูกสาวหนึ่งคน ทั้งมีลูกชายตามออกมาอีกหนึ่งคน นับเป็นเรื่องที่สมบูรณ์แบบ