อวี้ถังลอบส่งเสียงชื่นชมอยู่ในใจ
วิธีเช่นนี้อีกแล้ว ชอบประจานเรื่องของคนอื่น คล้ายว่าคนที่อยู่ในป่าไผ่เมื่อครู่ไม่ใช่นางเสียอย่างนั้น
อวี้ถังยิ้มให้กับกู้ซีที่เลิกคิ้ว เอ่ยกับคุณหนูห้าแทน “เหตุใดเวลาแค่ชั่วพริบตาคนของสกุลหยางก็มาถึงเสียแล้ว? ไม่ใช่กล่าวว่าให้พวกเราแยกย้ายไปนอนกลางวันก่อนหรอกรึ? ข้าคิดว่ายังเหลือเวลาอยู่มาก ไตร่ตรองว่าหากเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แล้วกลับเข้ามาก็ยังทัน คาดไม่ถึงว่าคนของสกุลหยางจะมาเร็วขนาดนี้ ข้าได้ทราบข่าว เดินไปได้ครึ่งทางจึงย้อนกลับมา อีกเดี๋ยวพวกเราคงไม่ต้องไปคำนับทักทายคุณชายหยางหรอกกระมัง?” นางถามพวกคุณหนูสกุลเผย น้ำเสียงยังแฝงด้วยความตื่นเต้น “เป็นครั้งแรกที่ข้าพบเจอสถานการณ์เช่นนี้ ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรอยู่บ้าง?”
พวกคุณหนูสกุลเผยถูกนางชักจูงอย่างทันที
คุณหนูสามเอ่ยปลอบนาง “ไม่ต้องๆ พี่อวี้อย่าได้กังวล พวกเรามาดื่มชาที่นี่เป็นเพื่อนพี่รองเท่านั้น เฉินต้าเหนียงก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ไม่อาจให้พวกเราพบแขกจากภายนอกได้หรอก”
ด้านคุณหนูสี่ถามด้วยความแปลกใจ “พี่อวี้ไม่เคยพบเจอเรื่องเช่นนี้มาก่อนเลยรึ?”
“ก็ไม่ถึงกับไม่เคยเจอ” อวี้ถังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เพียงแค่ไม่เคยเห็นการดูตัวเหมือนคุณชายหยาง ยามที่พวกพี่น้องรอบกายนัดดูตัว หากไม่นัดกันที่วัด ก็จะนัดกันที่สกุลซึ่งคุ้นเคยกัน พวกเราจะทำเป็นชมดอกไม้ไม่ก็เย็บปักถักร้อย ส่วนทางฝ่ายชายก็จะเดินผ่านเข้ามาด้านข้าง ต่างฝ่ายจะมองกันแวบหนึ่ง พวกเราล้วนอยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน”
คุณหนูห้าเอ่ยขึ้นมาทันที “การดูตัวเช่นนี้น่าสนใจกว่าของสกุลพวกเราเสียอีก การดูตัวของสกุลพวกเรา พวกเราล้วนไม่ออกหน้า รอคุณชายหยางมา ขอแค่พี่รองยกชาเข้าไปเคารพผู้อาวุโสก็เพียงพอแล้ว ดังนั้นพวกเราจึงมาหลบอยู่ที่นี่กันหมด!” พูดจบ ยังป้องปากขำขึ้นมา
คุณหนูสามและคุณหนูสี่ก็แย้มยิ้มขึ้นมาเช่นเดียวกัน
คุณหนูรองเขินอายจนหน้าแดงก่ำ เอ่ยอย่างโกรธเคือง “ให้พวกเจ้านั่งดื่มชาอยู่ที่นี่ก็ยังหยุดปากพวกเจ้าไว้ไม่ได้” กลับไม่อาจห้ามคุณหนูห้าที่อธิบายธรรมเนียมของสกุลเผยให้อวี้ถังฟังได้แต่อย่างใด เข้าตามแบบฉบับที่ว่า ‘ปากร้ายแต่ใจดี’
อวี้ถังเผยยิ้ม เห็นว่าตัวเองครองความได้เปรียบในการพูด ยามนี้จึงค่อยหันกลับมาด้วยรอยยิ้ม ตอบกลับคำถามเมื่อครู่ของกู้ซี “เมื่อครู่คุณหนูกู้กังวลว่าเหตุใดข้าถึงไปพบนายท่านสาม? ข้าเห็นว่าพวกอุบาสิกาของอารามดับทุกข์ต่างก็ลำบากไม่น้อย ทั้งสกุลเผยก็ให้ความช่วยเหลืออารามดับทุกข์มาโดยตลอด ครุ่นคิดว่าหาปลามาให้ ยังมิสู้สอนวิธีจับปลา จึงอยากปรึกษาว่าสามารถหาอะไรให้พวกอุบาสิกาในวัดทำเล็กๆ น้อยๆ ได้หรือไม่ ประการแรก เพื่อไม่ให้พวกนางเอาแต่คิดพึ่งพาทางวัด เมื่อนานวันเข้า กลัวว่าจะกลายเป็นให้ข้าวหนึ่งถ้วยรำลึกบุญคุณ ให้ข้าวหนึ่งกระสอบผูกบัญชีแค้น[1]สกุลเผยทำความดี ไม่เพียงไร้ชื่อเสียง กลับจะกลายเป็นการสร้างความแค้นเคือง ประการที่สอง หากพวกนางมีอะไรทำ ก็จะยุ่งกับการหาอาหารทั้งสามมื้อ ไม่มีเวลาว่างมาคิดฟุ้งซ่าน ทั้งไม่อาจก่อเรื่องวุ่นวาย…หากมีเรื่องอะไรเกิดกับทางวัด ท้ายที่สุดก็จะกระทบกับชื่อเสียงสกุลเผยอยู่ดี”
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่นางครุ่นคิดระหว่างทางกลับมา
ยามที่นางวิ่งตามเผยเยี่ยนยังคิดไม่ออก ระหว่างทางกลับนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
สามปีต่อจากนี้ มีอุบาสิกาที่อยู่อารามดับทุกข์คนหนึ่งดื่มสารหนูตาย สามีที่ขับไล่อุบาสิกาคนนั้นออกจากเรือนกลับพาคนของสกุลมารดานางมาโวยวายในวัด กล่าวว่าวัดนั้นบีบเค้นให้อุบาสิกาฆ่าตัวตาย เวลานั้นเรื่องนี้แพร่สะพัดในเมืองหลินอันเป็นวงกว้าง คนส่วนมากในเมืองหลินอันจึงเพิ่งรู้ว่าที่แท้ตีนเขาเทียนมู่มีอารามดับทุกข์ตั้งอยู่ ทั้งรู้ว่าอารามดับทุกข์นั้นรับสตรีที่ไร้ที่ไปเอาไว้
แม้ว่าท้ายที่สุดของเรื่องนี้ สามีและคนของสกุลมารดาอุบาสิกาคนนั้นจะถูกทางการลงโทษ แต่อย่างไรแล้วก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร
นางจึงคาดเดาว่า อาจเป็นเพราะเรื่องนี้ สกุลเผยจึงคุ้มครองช่วยเหลืออารามดับทุกข์อย่างลับๆ มาโดยตลอด?
อีกอย่าง หลังจากทุกคนรู้ว่าอารามดับทุกข์มีการทำกุศลเช่นนี้ สตรียากจนหลายสกุลก็แสร้งทำเป็นถูกสามีไม่ก็ลูกชายปฏิบัติตัวอย่างเหี้ยมโหด วิ่งมาขอข้าวกินที่อารามดับทุกข์ แทบที่จะใช้ทุกอย่างจากอารามดับทุกข์จนเกลี้ยง
ภายหลังอารามดับทุกข์จึงปิดลง
ไม่มีคนที่รู้จักแนะนำ ในวัดย่อมไม่รับสตรีไว้อย่างส่งเดช
เพื่อหลีกเลี่ยงคนที่ใจคิดคดเอาเปรียบ อวี้ถังคิดว่าควรจะยึดวิธีที่ภายหลังอารามดับทุกข์ทำในชาติก่อน ให้คนในอารามดับทุกข์ใช้ชีวิตอย่างพึ่งพาตัวเองได้
คุณหนูสามได้ฟังก็เผยสีหน้าชื่นชม เอ่ยเสียงดัง “พี่อวี้ความคิดดีไม่น้อย ใครก็ไม่อยากกินของให้ทานที่ได้มาเปล่าๆ หรอก ทำเรื่องเล็กน้อยแลกเปลี่ยนอาหารของตัวเอง ย่อมมีศักดิ์ศรีกว่า”
มุมปากของอวี้ถังกระตุกเล็กน้อย
ไม่ใช่ว่าคนทั้งหมดจะหยิ่งในศักดิ์ศรี!
ตอกแรกอารามดับทุกข์ก็โกลาหลวุ่นวายอยู่ช่วงหนึ่งเช่นกัน ถึงกระทั่งถูกคนวิพากษ์วิจารณ์ว่าต้องการชื่อเสียงจอมปลอม คิดจะแข่งขันกับวัดเจาหมิง
แต่นางไม่อยากทำลายจิตใจที่บริสุทธิ์ของคุณหนูสาม
นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แค่ไม่รู้ว่าจะหางานอะไรให้กับอุบาสิกาในวัดพวกนั้นดี? ข้าคิดไปคิดมา เรื่องนี้ยังต้องถามนายท่านสาม จึงให้ซวงเถาไปรายงานเขา นายท่านสามไม่เพียงตอบรับ ยังรอพวกเราอยู่ในป่าไผ่ตั้งนาน ใครจะรู้ว่าเข้าไปถึงป่าไผ่กลับคล้ายถูกผีบังตา ได้ยินเสียงคนพูดคุยอยู่ด้านใน กลับหาคนพูดไม่เจอ เดินวนเวียนอยู่ในป่าไผ่กว่าค่อนวัน กว่าจะหาตัวนายท่านสามเจอ” พูดจบนางจึงค่อยมองไปทางกู้ซีด้วยสีหน้าจริงจัง “หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้ ข้าคงจะนัดนายท่านสามไปเจอกันที่อื่น ป่าไผ่นั้น คนทางตะวันออกมองไม่เห็นทางตะวันตก คนทางตะวันตกมองไม่เห็นทางตะวันออก เล่นซ่อนแอบยังนับว่าเป็นสถานที่เหมาะสมไม่น้อย แต่หากพูดคุยกันกลับไม่อาจปิดบังได้มิด ไม่เหมาะจะพูดคุยจริงๆ”
ชั่วขณะนั้นกู้ซีก็ใบหน้าถอดสี
หรืออวี้ถังได้ยินบทสนทนาของนางและนายท่านสาม?
หากเป็นเช่นนั้น…
กู้ซีรู้สึกว่าหน้าตัวเองลอยไปอยู่ในทะเลแล้ว
ภายหลังนางจะยืนอยู่บนโลกนี้อย่างภาคภูมิได้อย่างไร?
แต่การกระทำที่ผ่านมาหลายปีกลับบอกนางว่า เรื่องนี้ไม่อาจปล่อยไปเช่นนี้ได้ นางควรแสร้งทำเป็นไม่รู้ หยั่งเชิงคำพูดของอวี้ถังเสียหน่อย
หากนางได้ยินจริงๆ ก็ต้องรู้ให้ได้ว่านางฟังไปมากเท่าใด
นางมาพูดยามนี้หมายความว่าอย่างไร? แค่ไม่พอใจต่อนางหรือคิดหยิบยืมเรื่องนี้มาตักเตือนอะไรนาง?
กู้ซีสงบใจลงอย่างรวดเร็ว เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “สถานที่นั้นไม่เหมาะจะพูดคุยจริงๆ แต่ว่าคุณหนูอวี้ก็พูดด้อยค่าตัวเองเกินไปแล้ว สถานที่กว้างใหญ่ไพศาลล้วนแยกไม่ออกว่าเหนือใต้หรือออกตก ภายหลังจะควบคุมเรื่องในเรือนได้อย่างไร? คุณหนูอวี้กำลังถ่อมตัวอยู่กระมัง!”
นางแสร้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
อวี้ถังลอบแค่นหัวเราะในใจ
ยามนี้นางครองความได้เปรียบในการพูด กู้ซียังกำแหงเช่นนี้ นางก็พร้อมจะตั้งศัตรูไม่กี่คนให้กับกู้ซีเช่นกัน
“อย่างนั้นรึ?” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้ากลับไม่รู้ว่าหลงทางกับควบคุมเรื่องในเรือนมีความเกี่ยวข้องอะไรกัน? แต่ว่า มาคิดดูดีๆ คุณหนูกู้ก็พูดมีเหตุผล กระทั่งเส้นทางยังแยกไม่ออก นับเป็นปัญหาใหญ่จริงๆ ดีที่สกุลของข้าเป็นสกุลเล็กๆ ธรรมดา ยากที่จะได้เห็นป่าไผ่กว้างใหญ่ไพศาลเช่นนี้ คาดว่าคงไม่เป็นอะไรหรอกกระมัง?”
คุณหนูสาม คุณหนูสี่และคุณหนูห้าอดสบตากันไม่ได้
เมื่อครู่ทุกคนยังพูดคุยกันดีๆ ไฉนพริบตาเดียวคุณหนูอวี้กับคุณหนูกู้กลับปะทะกันเสียแล้ว โดยเฉพาะคุณหนูกู้ แต่ไหนแต่ไรก็ใจกว้างอ่อนโยน ไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง ไม่ถ่อมตัวจนดูต้อยต่ำ แม้ว่ายามนี้ใบหน้าจะดูใจดีสง่างามเช่นเดิม ภายในกลับเผยความร้อนตัวและไม่เป็นตัวเองออกมา คล้ายว่าไปทำเรื่องอะไรผิดมาแล้วถูกคุณหนูอวี้พบเข้า จึงไม่มีความมั่นใจ
ส่วนคุณหนูอวี้ ก่อนหน้านี้ดูอ่อนโยนไม่มีพิษมีภัย ถึงกระทั่งคอยไกล่เกลี่ยยุติความขัดแย้ง ไม่โต้เถียงกับใคร ปรากฏว่าเมื่อครู่กลับคล้ายเป็นคนละคน พูดจาแฝงด้วยยาพิษ ในความอ่อนโยนซ่อนด้วยความแข็งกร้าว
เป็นเรื่องอะไรที่ทำให้คุณหนูกู้ร้อนตัวเช่นนี้? ทั้งเป็นเรื่องอะไรที่ทำให้คุณหนูอวี้แตกต่างไปจากวันปกติ?
คุณหนูทั้งสามมองกันไปมองกันมา ช่วงเวลานั้นล้วนไม่รู้จะทำอย่างไรดี
หลายวันมานี้คุณหนูรองถูกกู้ซีผูกมิตร เห็นกู้ซีเป็นดั่งพี่น้อง ย่อมไม่อาจปล่อยให้อวี้ถังพุ่งเป้ามาหากู้ซีเช่นนี้ได้ นางแทบไม่สนใจว่าวันนี้เป็นวันดูตัวของนาง สาวเท้าขึ้นไปดึงแขนกู้ซี ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับอวี้ถัง เอ่ยว่า “คุณหนูอวี้ วันนี้น้องสามชงชาด้วยตัวเอง กล่าวว่าทางลู่อันส่งชาลู่อันกวาเพี่ยนมา[2] พวกเรายังจัดเตรียมขนมที่เจ้าส่งมาด้วย เจ้าเพิ่งเข้ามา คาดว่าคงจะกระหาย นั่งลงดื่มชากับพวกเราก่อนเถิด!”
อวี้ถังก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำลายเรื่องใหญ่อย่างการดูตัวของคุณหนูรอง ระบายยิ้มปล่อยกู้ซีไป นั่งลงกับคุณหนูสี่และคุณหนูห้า
กู้ซีก็ไม่กล้าซักไซ้ไล่เลียงต่อ กลัวว่าอวี้ถังจะพูดอะไรไม่สมควรออกมาอีก
นางนั่งลงกับคุณหนูรอง ทั้งยังหัวไวกล่าวขอบคุณคุณหนูรอง เอ่ยเสียงแผ่วว่า “เกรงว่าข้าจะพูดเรื่องที่นางไม่รู้จักควบคุมเหย้าเรือน ล่วงเกินนางเข้า ลำบากเจ้าต้องมาแก้ไขสถานการณ์ให้ข้า ต้องขอโทษด้วย”
ด้วยเหตุที่ยามนี้ไม่ใช่เวลาพูดคุย คุณหนูรองจึงส่งยิ้ม ทั้งส่ายศีรษะให้นางอย่างเป็นมิตรเท่านั้น
ด้านคุณหนูทั้งสามก็ส่งสายตาให้กัน ทั้งแสร้งทำเป็นไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น มีคุณหนูสามเป็นคนเริ่มบทสนทนา พูดเรื่องที่ช่วยอุบาสิกาในอารามดับทุกข์หางานต่อ “พี่อวี้ เจ้าคิดจะสอนคนพวกนั้นทำดอกไม้ผ้าหรือไม่? พวกเราล้วนสามารถช่วยได้”
คุณหนูสี่ผงกศีรษะระรัวอยู่ด้านข้าง “ข้าก็ช่วยได้ ท่านแม่ข้ามีร้านค้าเครื่องประทินโฉมอยู่แห่งหนึ่ง ข้าสามารถพูดกับท่านแม่ให้ช่วยนำดอกไม้ผ้าที่พวกนางทำไปวางขายที่นั่น”
คุณหนูห้าครุ่นคิดเล็กน้อย เอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม “ท่านแม่ข้าไม่มีร้านค้าเครื่องประทินโฉมเป็นสินเดิมเลย แต่มีที่นาชั้นดีหลายแห่งอยู่ที่ทางเหนือ ไม่อย่างนั้น ไม่อย่างนั้นข้าช่วยคนพวกนี้ทำดอกไม้ผ้าก็เพียงพอแล้ว ยามนี้ข้าทำดอกไม้ผ้าได้งดงามแล้ว ไม่กี่วันก่อนท่านแม่ยังชื่นชมข้า ยามที่ส่งของขวัญให้สกุลมารดา ข้าก็ทำดอกไม้ผ้าส่งให้ท่านยาย ท่านป้า และพวกลูกพี่ลูกน้องเช่นกัน”
ล้วนแต่เป็นคุณหนูที่มีจิตใจดี!
อวี้ถังเผยยิ้ม เอ่ยอย่างเจ้าเล่ห์ “เกรงว่าทำดอกไม้ผ้าจะไม่เหมาะ อย่างไรที่นี่ก็เป็นอาราม”
พวกคุณหนูสกุลเผยต่างก็ตกใจ กระทั่งกู้ซีก็มองอวี้ถังอย่างแปลกใจเช่นกัน
ยามนี้อวี้ถังจึงค่อยเอ่ยอย่างเชื่องช้า “อาราม ทำเครื่องหอมขายน่าจะเหมาะสมที่สุด!”
คุณหนูห้าร้องขึ้นมาทันที “พี่อวี้หมายถึงพวกเครื่องหอมที่พี่กู้ทำอย่างนั้นรึ?”
ทุกคนต่างก็มองไปทางกู้ซี
ทุกครั้งที่กู้ซีทำเครื่องหอมก็จะใช้ทั้งอบควันอาบน้ำ พูดว่าเครื่องหอมที่ทำหากไม่ใช้น้ำที่ตกมาจากฟ้าฝังไว้ใต้ต้นเหมยเก่าแก่ร้อยปีเป็นเวลาสามปี ก็จะใช้ดอกกุ้ยฮวาที่แย้มบานในฤดูใบไม้ผลิ ไม่เพียงล้ำค่า ยังคล้ายเป็นเรื่องวิเศษอย่างหนึ่ง ทำให้นางได้รับคำชื่นชมไม่น้อย รวมทั้งครั้งนี้พักที่จวนสกุลเผยช่วงหนึ่ง ทุกคนต่างก็ได้รับเครื่องหอมที่นางทำ รู้ว่านางทำเครื่องหอมได้ดีอย่างยิ่ง
ในเมื่ออวี้ถังอยากจะให้บทเรียนเล็กน้อยแก่นาง ก็ย่อมลงมือจากเรื่องที่นางภาคภูมิใจที่สุด
ยามนี้กู้ซีรู้สึกภาคภูมิใจอยู่บ้างจริงๆ
อวี้ถัง ผู้หญิงคนนั้นอย่างไรก็ชาติกำเนิดต่ำต้อย ไม่มีความรู้อะไร อยากทำเรื่องดี กลับลากมาให้นางแสดงฝีมือเสียได้…หากนางออกหน้าช่วยอุบาสิกาพวกนั้นทำเครื่องหอม คนอื่นพูดขึ้นมา จะเกี่ยวข้องกับอวี้ถังได้อย่างไร? ผู้สนับสนุนเบื้องหลังคือสกุลเผย ส่วนคนที่ออกแรงช่วยเหลือก็คือนาง
อวี้ถัง ก็ทำได้เพียงเย็บชุดแต่งงานให้นางเท่านั้น
—————————-
[1]ให้ข้าวหนึ่งถ้วยรำลึกบุญคุณ ให้ข้าวหนึ่งกระสอบผูกบัญชีแค้น หมายถึง ยามที่คนอื่นพบกับความลำบาก หากให้ความช่วยเหลือเล็กน้อยกับเขา เขาจะซาบซึ้งในบุญคุณ แต่หากให้ความช่วยเหลือมากเกินไป ก็จะทำให้รู้จักแต่พึ่งพาคนอื่น เมื่อหยุดให้ความช่วยเหลือ กลับจะทำให้เขาแค้นเคือง
[2]ลู่อันกวาเพี่ยน ชาเขียวที่มีชื่อเสียงของเมืองลู่อัน มณฑลอันฮุย