ตอนที่ 161 บางคนช้ำใจ บางคนซาบซึ้งใจ (2)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

ตอนที่ 161 บางคนช้ำใจ บางคนซาบซึ้งใจ (2)
ขณะที่ซูอวี้ผิงและเว่ยจางเสวนากันก็สาวเท้าเดินไปด้วย ความเร็วในการเดินนั้นช้ายิ่งนัก ดังนั้นพวกเหยาเยี่ยนอวี่จึงได้พบเจอกับพวกเขาตรงข้างๆ บ่อบัว

“พี่ใหญ่” หลังจากที่ซูอวี้เหิงมองเว่ยจางเพียงชั่วพริบตา จึงได้น้อมคำนับให้กับซูอวี้ผิง จากนั้นก็เหลือบตามองไปข้างๆ โดยไม่รู้ตัว

“น้องสาม” ซูอวี้ผิงมองแม่นางทั้งสองจึงคลี่ยิ้มบางๆ แล้วก็พยักหน้าให้กับเหยาเยี่ยนอวี่ “คุณหนูเหยา เมื่อครู่พวกเจ้าทั้งสองดีดพิณจีนอยู่ฝั่งโน้นหรือ”

เหยาเยี่ยนอวี่คลี่ยิ้มบางๆ “ทำให้ท่านซื่อจื่อรู้สึกขบขันแล้วเจ้าค่ะ”

“ไม่เลย บทเพลงที่คุณหนูเหยาบรรเลงออกมานั้นฉุดวิญญาณและทำให้รู้สึกสงบจิตใจในขณะเดียวกัน เนื้อเพลงก็ช่างน่าแปลกยิ่งนัก เหมือนจะให้ความรู้สึกนิ่งสงบ ทว่ากลับทำให้คนขบคิดถึงอย่างไร้ที่ขีดสิ้นสุด เป็นบทเพลงที่ยอดเยี่ยมและยากที่จะพบเห็นจริงๆ” ซูอวี้ผิงเอ่ยชมเหยาเยี่ยนอวี่ไม่หยุด

เว่ยจางกลับยืนอยู่ข้างๆ แล้วมองนางอย่างเงียบๆ เขาไม่คลี่ยิ้มและไม่พูดไม่จา

ซูอวี้เหิงก็กวาดสายตามองไปรอบทิศ ทันใดนั้นก็เอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “พี่ใหญ่ คุณชายรองแห่งตระกูลหันไม่มาด้วยหรือ”

“อื้ม?” ซูอวี้ผิงมองซูอวี้เหิงอย่างแปลกใจ แล้วคลี่ยิ้มบางๆ “ข้าคิดว่าเขาน่าจะมีธุระ เลยไม่ได้ชวนเขามา เจ้ามีธุระกับเขาหรือ”

“เปล่าเจ้าค่ะ” ซูอวี้เหิงรีบคลี่ยิ้มพลางส่ายหัว จากนั้นก็ก้มหน้าเพื่อบดบังความรู้สึกหมองเศร้าและผิดหวังที่เปล่งประกายออกมาจากนัยน์ตา

“คุณหนูสามเจ้าคะ! คุณหนูรองเจ้าคะ” ซานหูออกจากจื่อหลิงเซวียน พอเห็นซูอวี้เหิงและเหยาเยี่ยนอวี่จึงขานเรียกไปด้วยและเดินเข้าไปหาในขณะเดียวกัน จากนั้นก็โค้งลำตัวทำความเคารพซูอวี้ผิงเล็กน้อย “ท่านซื่อจื่อเจ้าคะ ฮูหยินบอกให้เชิญคุณหนูทั้งสองท่านรีบเข้าไปด้านในเจ้าค่ะ ข้างในจะมีเล่นการละเล่นดื่มสุราเจ้าค่ะ”

ซูอวี้ผิงรีบกล่าวขึ้น “ได้ พวกเจ้ารีบไปเถอะ”

ซูอวี้เหิงตอบกลับแล้วจูงมือเหยาเยี่ยนอวี่จากไป เหยาเยี่ยนอวี่ไม่พูดไม่จากับเว่ยจางแม้แต่คำเดียวตั้งแต่เริ่มจนจบ ทว่าตอนไปถึงข้างในจื่อหลิงเซวียนก็ยังสัมผัสได้ถึงนัยน์ตาอันลุ่มลึกและเฉียดคมคู่นั้นของเขานั้นยังคงปกคลุมตนเองไว้ ต่อให้ทำอย่างไรก็ไม่สามารถจางหายไปได้

ซุนซื่อเสนอให้ทุกคนเล่นเกมดื่มสุรา เหตุเพราะร่างกายของเฟิงซื่อทนไม่ไหว จึงทำได้เพียงขออภัยทุกท่านแล้วกลับไปก่อน เฟิงหลี่ซื่อจึงสั่งให้เฟิงซิ่วอวิ๋นส่งพี่สาวกลับเรือน แล้วให้ปรนนิบัติดูแลอย่างระมัดระวัง เหยาเฟิ่งเกอก็หาข้ออ้างว่านั่งนานเกินไปเลยรู้สึกปวดเอว จากนั้นก็เดินไปนอนตะแคงข้างบนตั่งไม้ที่อยู่ด้านข้าง ชมเรื่องสนุกสนานอยู่ข้างๆ

เช่นนี้คนเลยหายไปสามคนเพียงชั่วพริบตาเดียว บรรยากาศในงานเลี้ยงจึงสงบลงไปมาก ดังนั้นลู่ฮูหยินเลยเอ่ยถามถึงซูอวี้เหิง เหยาเฟิ่งเกอจึงสั่งให้ซานหูไปเรียกให้คนกลับมา

เหตุเพราะทุกคนล้วนเป็นสตรี การเล่นเกมดื่มสุราไม่ควรซับซ้อนเกินไป ดังนั้นซุนซื่อกล่าวคำอวยพรที่สื่อถึงความหน้าชื่นตาบานเกษมสันต์เสร็จ และสั่งให้สตรีฝ่ายการแสดงตีกลอง จากนั้นก็เริ่มส่งดอกเหมยให้กับทุกคน หากกลองหยุดเมื่อใด และดอกเหมยอยู่ในมือของผู้ใด ผู้นั้นก็ต้องกล่าวเรื่องที่ขบขัน หากกล่าวจนทุกคนขบขันก็ถือว่าผ่าน หากทุกคนไม่ขนขันก็ต้องดื่มสุราเป็นการลงโทษ

ภายในใจของเหยาเยี่ยนอวี่กำลังขบคิดว่าเรื่องน่าขบขันก็เรื่องน่าขบขันเถอะ โชคดีที่พวกเจ้าไม่ได้สั่งให้แต่งบทกวีเพื่อทรมานผู้อื่น

ซุนซื่อรู้สึกตื่นเต้นดีใจอย่างมาก ลู่ฮูหยินก็รู้สึกดีใจเช่นเดียวกัน รวมไปถึงเหล่าสตรีฝ่ายการแสดงก็ร่วมสนุกด้วย จึงทำให้ซุนหยางซื่อโดนเป็นคนแรก พอซุนหยางซื่อเล่าเรื่องอันน่าขบขัน ลู่ฮูหยินหัวเราะเป็นคนแรก ทุกคนจึงอนุญาตให้นางผ่าน หลังจากนั้น ดอกเหมยก็หยุดลงในมือของลู่ฮูหยิน ลู่ฮูหยินเล่าเรื่องขบขันที่ไม่ทำให้คนรู้สึกขบขัน จึงได้ดื่มสุราไปสองจอก

จากนั้นดอกเหมยก็หยุดอยู่ในมือของซูอวี้เหิง ซูอวี้เหิงเหยียดกายลุกขึ้นพลางคลี่ยิ้ม “ข้าก็ไม่มีเรื่องน่าขบขันอะไรจะเล่า ทว่าหากแค่ดื่มเหล้าก็ยิ่งไม่มีความหมาย ไม่เช่นนั้นข้าบรรเลงเพลงให้ทุกท่านฟัง ดีหรือไม่”

เฟิงหลี่ซื่อรีบคลี่ยิ้ม “ดีเยี่ยม ได้ยินคำร่ำลือมาเนิ่นนานแล้วว่าศิลปะการดีดพิณจีนของคุณหนูสามถูกจัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของเมืองหลวง แค่ไม่เคยมีโอกาสฟัง วันนี้ท้ายที่สุดใบหูของพวกเราก็ถือว่ามีวาสนาเสียที”

ด้วยเหตุนี้ซุนซื่อจึงคลี่ยิ้ม “เมื่อครู่ตอนที่ข้าออกไป ได้ยินว่ามีคนดีดพิณจีนบนภูเขาฝั่งโน้น คือคุณหนูสามหรือไม่”

เหยาเยี่ยนอวี่จับมือของซูอวี้เหิง ซูอวี้เหิงจึงรีบรับเรื่อง แล้วคลี่ยิ้ม “แน่นอนว่าต้องเป็นข้าสิ”

“เช่นนี้ก็พอดีเลย ข้ายังบอกว่าเจ้าแอบวิ่งไปดีดพิณจีนในสถานที่ห่างไกลออกไป และไม่ยอมให้พวกเราได้รับฟัง กำลังบอกว่าจะลงโทษเจ้าอยู่พอดีแน่ะ” ขณะที่กล่าว ซุนซื่อก็สั่งสาวใช้ “เร็วเข้า ไปเอาพิณจีนมาให้คุณหนูสามเสียหน่อย”

ซูอวี้เหิงบรรเลงเพลง ‘เมฆเอื่อยเหนือกระแสน้ำอันเชี่ยวกราด’ บทเพลงนี้รวบรวมความงดงามของศิลปะการดีดพิณจีน ซึ่งการบรรเลงให้เกิดเสียง “ใส แผ่วเบา เรียบ และก้องกังวาน” ตามฉบับที่บิดาแห่งพิณจีนยอมรับ

แน่นอนว่าผู้ฟังพิณจีนต่างก็ต้องขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจ บางคนฟังศิลปะของพิณจีน ก็แอบอุทานว่าศิลปะการดีดพิณจีนของคุณหนูสามแห่งตระกูลซูนั้นยอดเยี่ยมจริงๆ และบางคนที่รับฟังแล้ว ก็เหมือนจะล่องรอยอยู่กลางคลื่นเขียวขจี และล้อมรอบไปด้วยหมอกโขมง

ส่วนเหยาเยี่ยนอวี่เองก็ฟังออกถึงอารมณ์อันเอ้อระเลยและเศร้าหมองเล็กน้อยที่อยู่ภายในใจของซูอวี้เหิง ดังนั้นคุณหนูเหยาเหยารู้สึกตกตะลึงยิ่งนัก และกำลังแอบขบคิดว่ายัยหนูคนนี้เหมือนเป็นแม่นางที่ไม่มีหัวใจ พอเจอใครก็มักจะแสดงอารมณ์ที่มีความสุข เหตุใดถึงมีอารมณ์เยี่ยงนี้ หรือว่านางจะมีคนที่หมายปองแล้วจริงๆ พอนึกถึงเช่นนี้ นางก็ครุ่นคิดถึงเมื่อครู่ที่ซูอวี้เหิงเอ่ยถามถึงคุณชายรองแห่งตระกูลหัน นัยน์ตาของนางเปล่งประกายด้วยอารมณ์ผิดหวัง ทันใดนั้นก็คลี่ยิ้มออกมา

ทั้งบทเพลง ‘เมฆเอื่อยเหนือกระแสน้ำอันเชี่ยวกราด’ ยาวเกินไป ซูอวี้เหิงจึงบรรเลงเพียงท่อนแรก พอบรรเลงจนจบ ซุนซื่อจึงเอ่ยชมก่อนเป็นคนแรก “ศิลปะการละเล่นพิณจีนของน้องสาม เกรงว่าคงมีไม่กี่คนที่สามารถเทียบได้”

ซุนหยางซื่อและเฟิงหลี่ซื่อที่อยู่ข้างกายต่างก็เอ่ยชมเยี่ยงนี้ขึ้นเช่นกัน เหยาเยี่ยนอวี่จึงยกจอกเหล้าขึ้นแล้วยื่นไปให้ซูอวี้เหิง จากนั้นก็คลี่ยิ้ม “ลำบากเจ้าแล้ว แค่น่าเสียดายที่คนทั้งหมดในเรือนนี้ อาจจะไม่ใช่คนรู้ใจของเจ้า”

ซูอวี้เหิงรับจอกเหล้าไว้แล้วคลี่ยิ้ม “ใครเป็นคนพูดเล่า พี่สาวไม่ใช่หรือที่เป็นคนรู้ใจของข้า”

ซุนซื่อยังจะพูดต่อ เฟิงหลี่ซื่อเหยียดกายลุกขึ้น “เวลาก็สายมากแล้ว เกรงว่าฮูหยินก็คงเหนื่อยแล้ว ข้ายังอยากจะไปเยี่ยมเยียนพี่สาวเสียหน่อย ต้องขอประทานโทษด้วย ข้าจะขอตัวกลับก่อน”

ลู่ฮูหยินจึงเรียกสาวใช้คนสนิทของตนเอง “เจ้าส่งเฟิงฮูหยินไปเรือนชิงผิงที”

เฟิงหลี่ซื่อจากไป เหยาเฟิ่งเกอก็บอกว่าเหนื่อยแล้ว ตาก็ใกล้จะลืมไม่ขึ้น รอยยิ้มบนใบหน้าของลู่ฮูหยินจืดจางลง ทว่าสุดท้ายก็พูดด้วยถ้อยคำที่เป็นห่วงเป็นใย “เจ้ากำลังท้องกำลังไส้ หากเหน็ดเหนื่อยก็อย่าได้ฝืนทน”

เหยาเยี่ยนอวี่รีบเอ่ยขึ้น “ให้ข้าส่งพี่สาวกลับเรือนเถอะ”

เหยาเฟิ่งเกอต้องรู้สึกดีใจอยู่แล้ว จึงดึงเหยาเยี่ยนอวี่แล้วกล่าวอำลาพร้อมกัน ซูอวี้เหิงเห็นเหยาเยี่ยนอวี่จากไป ก็เหยียดกายลุกขึ้น “ไม่ทราบว่าองค์หญิงต้าจั่งพักผ่อนตอนกลางวันเป็นเช่นไรบ้างแล้ว เหิงเอ๋อร์จะไปดูหน่อย”

ลู่ฮูหยินพยักหน้า “ว่าไปก็ใช่ หากองค์หญิงต้าจั่งตื่นแล้ว เจ้าก็ทูลท่านแทนพวกเราที ตอนนี้พวกเราต่างก็ดื่มสุรา เกรงว่าทั้งเรือนร่างคงเคล้าด้วยกลิ่นสุรา หากไปเข้าเฝ้าที่ตำหนักขององค์หญิงต้าจั่งคงจะเป็นการไม่เคารพ ทำได้เพียงไปน้อมรับความผิดในเช้ารุ่งขึ้น”

ซูอวี้เหิงตอบกลับเพียงคำเดียว จากนั้นก็เดินจากไปพร้อมกับสองพี่น้องตระกูลเหยา

แม้ว่าเหยาเฟิ่งเกอกำลังตั้งครรภ์ ทว่าก็ยังมีคนคอยเป็นหูเป็นตาในจวนติ้งโหวให้นางอยู่แล้ว

หลังจากกลับเรือนฉีเสียง เหยาเฟิ่งเกอล้างมือแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ แล้วจับมือของซานหูค่อยๆ นั่งลงบนตั่งไม้ จากนั้นก็มองเหยาเยี่ยนอวี่แล้วเอ่ยถาม “น้องสาวรู้สึกว่าแม่ทัพติ้งหย่วนเป็นเช่นไรบ้าง”

เหยาเยี่ยนอวี่ตะลึงงัน แล้วถามด้วยความไม่เข้าใจ “เหตุใดท่านพี่ถึงพูดเยี่ยงนี้”

“หากเจ้าหมายปอง พี่สาวจะให้เจ้ากับเขาสมรสกัน” เหยาเฟิ่งเกอคลี่ยิ้มบางๆ “ก่อนหน้านี้ท่านพ่อก็เคยบอกว่า แค่เป็นคนที่เจ้าหมายปอง ไม่ว่าฐานะทางครอบครัวจะสูงส่งหรือต้อยต่ำ จะเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นหรือฝ่ายบู๊ ก็ได้หมด”

ความคิดภายในใจของเหยาเยี่ยนอวี่ต้องถูกส่งเข้าหูของพี่สาวท่านนี้แน่นอน ดังนั้นนางเลยถามเยี่ยงนี้ นางคลี่ยิ้มอ่อนๆ “ขอให้ข้าได้พูดอะไรที่ไม่รู้จักกาลเทศะเสียหน่อยเถอะ ท่านพี่อย่าด่าทอข้าเลย…ข้ารู้สึกมาโดยตลอด สตรีออกเรือนเป็นเรื่องที่ไม่คุ้มค่ายิ่งนัก”

เหยาเฟิ่งเกอยิ้มแปลกใจ “เหตุใดถึงไม่คุ้มค่า เจ้าลองว่ามาซิ”