ตอนที่ 162 บางคนช้ำใจ บางคนซาบซึ้งใจ (3)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

ตอนที่ 162 บางคนช้ำใจ บางคนซาบซึ้งใจ (3)

เหยาเยี่ยนอวี่คลายยิ้มเย้ยหยันตัวเอง แล้วพูดขึ้น “สตรีออกเรือน ต้องพกสินสอดทองหมั้นของตนเองไม่ว่า พอออกเรือนไปแล้วยังต้องช่วยเหลือสามีและสั่งสอนบุตร อีกทั้งยังต้องคอยปรนนิบัติรับใช้พ่อสามีแม่สามี ขอพูดถ้อยคำอีกหนึ่งประโยคที่ไม่กลัวว่าพี่สาวจะโกรธเกรี้ยวหน่อยเถอะ หากวันใดไม่ระวังตัวเกิดสูญสิ้นชีวิตขึ้นมา สินสอดทองหมั้นของตนเองยังต้องทิ้งไว้ให้แม่นางผู้อื่นมาเสพสุข ไอ้ที่โชคร้ายไปกว่านั้นคือ บุตรของตนที่ทิ้งไว้ยังต้องถูกแม่นางผู้อื่นรังแกอีก แล้วจะคุ้มค่าได้อย่างไร เช่นนี้ไม่ออกเรือนยังจะดีกว่า”

“เจ้านี่มีความคิดแปลกพิลึกยิ่งนัก!” ปากของเหยาเฟิ่งเกอถึงจะพูดเยี่ยงนี้ ภายในใจกลับอดหัวเราะอย่างขมขื่นไม่ได้ นางได้ลิ้มรสอย่างลึกซึ้งมาแล้ว จะไม่รู้ได้อย่างไร

“ไม่ นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกพิลึกแต่อย่างไร นี่เป็นความจริงที่พวกเราไม่กล้าคิดและไม่กล้าเผชิญเท่านั้น เหตุเพราะสามหลักห้าคุณธรรม ไม่อนุญาตให้พวกเราครุ่นคิดเช่นนี้ ยิ่งไม่อนุญาตให้พวกเราทำเยี่ยงนี้ ถึงอายุที่ควรแก่การออกเรือนก็ต้องออกเรือน ไม่ว่าบิดาหรือพี่ชายจะรักใคร่และเอ็นดูมากเพียงใด ก็ไม่มีบุตรีใดที่แก่เฒ่าจนถึงแก่กรรมในจวนอยู่แล้ว”

เหยาเฟิ่งเกอส่ายหัวอย่างไม่เห็นด้วย แล้วเอ่ยขึ้น “ตอนนี้เจ้าก็พูดเยี่ยงนี้ เหตุเพราะเจ้ายังไม่เจอกับคนที่เจ้าหมายปองจนต้องออกเรือนด้วยก็เท่านั้น หากรอจนถึงวันนั้น เจ้ามีผู้ที่เจ้ายอมละทิ้งทุกอย่างเพื่อเขาแล้ว ข้ากับท่านพ่อและเหล่าพี่ชายจะขัดขวางก็คงขัดขวางไม่อยู่” เหยาเฟิ่งเกอไม่รู้ว่ากำลังขบคิดถึงอะไรอยู่ มุมปากกระตุกยิ้มอ่อนๆ อันลุ่มลึก

เหยาเยี่ยนอวี่คลายยิ้ม แล้วไม่พูดอะไรอีก นางคิดว่า ชาติก่อนตนเองไม่ได้พบเจอกับคนเยี่ยงนี้ ชาตินี้คิดว่าก็คงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

“ช่างเถอะ ข้าจะพูดถึงเพียงเท่านี้” เหยาเฟิ่งเกอหยุดเสวนาหัวเรื่องนี้ แล้วกำชับน้องสาว “เจ้าเองก็ควรจะระมัดระวังกับทุกอย่าง อย่าทำดีไปเสียทุกอย่าง บางคนเจ้าใช้จิตใจที่งดงามปฏิบัติต่อเขา กลับไม่ได้รับการตอบแทนที่ดีเสมอไป อีกอย่าง วันข้างหน้าไม่ว่าจะมีเรื่องอะไร ตระกูลเหยากับข้าก็จะยืนอยู่ข้างกายเจ้าอยู่แล้ว”

เหยาเยี่ยนอวี่รีบพยักหน้าตอบตกลง “อืม คำพูดของพี่สาว น้องสาวจะจดจำเอาไว้เจ้าค่ะ”

ตอนที่เหยาเยี่ยนอวี่ออกจากจวนติ้งโหว ก็เย็นแล้ว พระอาทิตย์ค่อยๆ เคลื่อนไปยังทิศตะวักตก ทั่วทุกสี่ทิศเคล้าด้วยแสงอัสดง เป็นเวลาที่เมฆสียามเย็นกำลังจะมาเยือนบนท้องฟ้าที่ห่างไกล

ซุนหยางซื่อจากไปตั้งนานแล้ว เฟิงหลี่ซื่อและเฟิงซิ่วอวิ๋นกลับเดินไปช้ากว่าเล็กน้อย

ตอนที่เหยาเยี่ยนอวี่ขึ้นรถม้าก็ได้เจอกับเฟิงซิ่วอวิ๋นและพี่สะใภ้ของนาง เฟิงหลี่ซื่อเชิญชวนเหยาเยี่ยนอวี่ไปเป็นแขกที่จวนตระกูลเฟิง เหยาเฟิ่งเกอขัดคำพูดของคุณหนูรองแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงจนนางต้องเก็บคำพูดกลับไป สุดท้ายก็ผงกหัวเพื่อกล่าวอำลากับเฟิงหลี่ซื่อและเฟิงซิ่วอวิ๋น จากนั้นก็ขึ้นรถม้าของตนเองไป

จังหวะที่ม่านรถม้าถูกปล่อยลง เหยาเยี่ยนอวี่ก็รู้สึกเหมือนมีเรื่องอะไรอีก จึงหันไปมองเพียงชั่วพริบตา

ดั่งที่คาด เฟิ่งซิ่วอวิ๋นกำลังยืนอยู่หน้ารถม้าแล้วกำลังมองตนเองอยู่ ภายใต้แสงอัสดงอ่อนๆ เรือนร่างที่สวมใส่เสื้อผ้าชุดยาวสีแดงลูกท้อที่ทำจากผ้าไหมและรูปทรงใต้วงแขนที่คับแคบนั้นแยงตาเล็กน้อย เหยาเยี่ยนอวี่ตั้งใจมองไป ก็ยังมองสีหน้าของนางไม่ชัดเจน เหยาเยี่ยนอวี่แค่คลายยิ้ม แล้วค่อยๆ ปล่อยม่านรถม้าลง

“ได้โปรดนายหญิงนั่งนิ่งๆ! รถม้าเคลื่อนแล้วขอรับ!” เถียนหลัวกระชับบังเหียนม้าแล้วหันหลังพึมพำด้วยรอยยิ้ม รถม้าก็ค่อยๆ จากไป

ข้างๆ มีสาวใช้คนสนิทของเฟิงซิ่วอวิ๋นกำลังพยุงข้อศอกของนางไว้ แล้วเกลี้ยกล่อมด้วยเสียงทุ้มต่ำ “คุณหนูเจ้าคะ ขึ้นรถม้าเถอะเจ้าค่ะ”

เฟิงซิ่วอวิ๋นเพิ่งจะได้สติกลับมา จึงเหยียบบันไดขึ้นรถม้าของตนเอง

รถม้าของจวนเฟิงค่อยๆ จากจวนติ้งโหวไป เฟิงซิ่วอวิ๋นที่นั่งอยู่บนรถม้ากำลังกอดหมอนหนึ่งใบไว้กลางอ้อมกอด แล้วหลับตาอย่างเงียบๆ วันนี้สำหรับนางแล้วเป็นวันที่เหนื่อยมาก มันเหนื่อยกว่าชีวิตในแต่ละวันในก่อนหน้านี้

หลังจากออกจากงานเลี้ยง พี่สาวบุตรีเอกก็พานางเดินจากไป แล้วกลับไปถึงด้านหลังฉากกั้นในเรือนชิงผิง หลังจากที่สั่งให้ทุกคนออกจากเรือนหมด ก็จับมือของนางไว้ แล้วเอ่ยขึ้น “น้องสาว เจ้าโปรดปรานท่านซื่อจื่อหรือไม่”

ตอนนี้ เฟิงซิ่วอวิ๋นตกใจอย่างมาก

ท่านซื่อจื่อแห่งจวนติ้งโหว เป็นหลานของครอบครัวบุตรเอกคนโตขององค์หญิงต้าจั่ง ฐานะสูงศักดิ์ เขามีดวงหน้าที่หล่อเหลาและสุขุม อีกทั้งยังเก่งกาจในวิชาการต่อสู้ รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง มีอนาคตที่ไร้ขีดจำกัด เป็นวีรบุรุษในดวงใจของแม่นางในเมืองหลวงอวิ๋นมากมาย นางต้องโปรดปรานเป็นเรื่องธรรมดา

อีกอย่าง หลังจากที่พี่สาวบุตรีเอกแท้งบุตร มารดาหลวงก็พานางเข้าจวนติ้งโหวอยู่หลายครั้ง เฟิงซิ่วอวิ๋นก็สัมผัสได้ว่าทางตระกูลได้จัดเตรียมเรื่องของตนไว้แล้ว นางจะได้ออกเรือนให้กับท่านซื่อจื่อติ้งโหว เป็นภรรยาคนต่อไปของท่านซื่อจื่อ มีบุตรเอกให้กับท่านซื่อจื่อ และรักษาความสัมพันธ์ของตระกูลเฟิงและจวนติ้งโหวไว้ ช่วยเหลือสามีและสั่งสอนบุตร แล้วยังจะได้เสพสุขกับชีวิตที่เต็มไปด้วยความเจริญรุ่งเรือง

แต่ว่า ฝันที่มีชีวิตที่เจริญรุ่งเรืองนี้ยังฝันได้ไม่นานก็ถูกปลุกให้ตื่น บุตรีอนุภรรยาแห่งตระกูลเหยาที่มีฝีมือทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมได้ชุบชีวิตของพี่สาวบุตรีเอกจากยมบาล ความฝันที่นางจะเป็นภรรยาคนต่อไปก็สลายไปในชั่วพริบตา

และในตอนนี้ สภาพร่างกายของพี่สาวบุตรีเอกหายดีไปกว่าครึ่ง กลับมาถามตนเองว่าโปรดปรานท่านซื่อจื่อหรือไม่

โปรดปรานหรือไม่ แน่นอนว่าต้องโปรดปรานอยู่แล้ว ทว่าต่อให้โปรดปรานแล้วจะทำเช่นไรได้

เฟิงซื่อมองสีหน้าที่แดงระเรื่อและนัยน์ตาที่เปล่งประกายแสงที่ดูไม่แน่ไม่นอนของน้องสาวบุตรีอนุภรรยา จึงคลายยิ้มบางๆ แล้วจับมือของเฟิงซิ่วอวิ๋นไว้ พร้อมกับเอ่ยถามด้วยเสียงอ่อนโยน “น้องสาวยินยอมที่จะเป็นเหมือนเอ๋อร์หวงกับหนู่ยิง ใช้ชีวิตกับท่านซื่อจื่อด้วยกันสามคนในช่วงครึ่งชีวิตที่เหลือหรือไม่”

เฟิงซิ่วอวิ๋นตะลึงงันไปทันที จึงไม่สนใจกฎระเบียบของบุตรเอกและบุตรอนุภรรยา แล้วเงยหน้าทันที จากนั้นก็จับจ้องไปยังพี่สาวบุตรีเอก ผ่านไปสักพักก็ไม่พูดไม่จาใดๆ

“น้องสาวก็รู้ แม้ว่าชีวิตของพี่สาวจะถูกช่วยกลับมา ทว่าไม่สามารถมีบุตรได้อีกต่อไป ส่วนท่านซื่อจื่อก็ไม่สามารถไม่มีบุตรชายได้ ไม่เช่นนั้นเขายุ่งกับงานในค่ายทหาร และชนะในการรบมากเพียงใดก็ถูกผู้อื่นเอารัดเอาเปรียบอยู่ดี ข้าไม่พึงพอใจ และท่านซื่อจื่อก็ย่อมไม่พอใจด้วยเช่นกัน อีกอย่าง ตระกูลเฟิงของพวกเรา…”

เฟิงซื่อจับมือของน้องสาวบุตรีอนุภรรยาไว้ แล้วเอ่ยคำพูดที่นางต้องครุ่นคิดหนึ่งรอบในทุกๆ คืน

“แน่นอนว่ากฎระเบียบของราชวงศ์ต้าอวิ๋น การหย่าร้างกับภรรยาแล้วสมรสใหม่ถือเป็นความผิดขั้นร้ายแรง ท่านซื่อจื่อเป็นขุนนางในราชสำนักจะกระทำผิดกฎได้อย่างไร ดังนั้น น้องสาวได้แต่ต้องแต่งเข้ามาเป็นอนุภรรยาอันสูงศักดิ์ ทว่าน้องสาววางใจได้เลย ข้าไม่มีทางให้คนของจวนติ้งโหวดูหมิ่นน้องสาวเด็ดขาด ภายภาคหน้าน้องสาวจะได้มีบุตรชายให้กับท่านซื่อจื่อ นั่นก็คือบุตรชายของข้า เจ้าและข้าต่างก็เลี้ยงดูเขาให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ไปพร้อมๆ กัน แล้วให้เขาสืบทอดตำแหน่งทายาทและสะสางทุกอย่างในจวนติ้งโหว”

เฟิงซิ่วอวิ๋นยังคงไม่พูดไม่จา

เฟิงซื่อที่ขอบตาแดงระเรื่อก็ได้ละสายตาไปทางอื่น แล้วอุทานด้วยเสียงเบา “และข้าเองก็ไม่ขอสิ่งอื่นใด บุตรชายของพวกเราในอนาคตสามารถทำดีกับอวิ๋นเอ๋อร์ก็พอ ส่วนสภาพร่างกายเยี่ยงนี้ของข้า หากสามารถมีชีวิตอยู่รอดถึงตอนที่อวิ๋นเอ๋อร์ออกเรือนก็ถือว่าเป็นการหวังสูงเกินไปแล้ว ถึงเวลานั้น น้องสาวก็จะได้กลายเป็นผู้อาวุโสที่มีฐานะสูงศักดิ์เนื่องจากพึ่งพาบารมีของบุตรชาย”

คำพูดเช่นนี้มาจากความรู้สึกที่ลึกซึ้ง ทำให้คนถึงกับน้ำตาไหล ทว่าภายในใจลึกๆ ของเฟิงซิ่วอวิ๋นกลับรู้สึกเย็นยะเยือก

นางรู้ดี พี่สาวบุตรีเอกสามารถพูดคำพูดเหล่านี้กับตนเอง นั้นก็แสดงว่าได้ปรึกษาหารือกับทางครอบครัวเรียบร้อยแล้ว

แน่นอน นางก็สามารถไม่ยินยอม ทว่าตระกูลเฟิงไม่ได้ขาดแคลนนางที่เป็นเพียงบุตรีอนุภรรยาคนหนึ่ง นอกจากนาง ตระกูลเฟิงยังคงบุตรีอนุภรรยาอีกสามสี่คน แต่ละคนต่างก็รูปลักษณ์หน้าตาที่สวยพริ้ม และยังมีความสามารถครบครัน ใครก็ไม่ได้ด้อยไปกว่านาง อีกอย่าง หากนางปฏิเสธก็เท่ากับว่าได้กระทำผิดต่อมารดาหลวง เรื่องงานสมรสในภายภาคหน้า จะออกเรือนได้ดีหรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่พูดยาก

แค่ว่าต่อให้ตำแหน่งและฐานะของจวนติ้งโหวสูงส่งเพียงใด ท่านซื่อจื่อติ้งโหวจะดีเพียงใด ตนเองจะโปรดปรานมากเพียงใด แต่งเข้าจวนไปก็เป็นได้แค่อนุภรรยา!

บอกว่าให้เป็นเหมือนเอ๋อร์หวงกับหนู่ยิง? ภูเขาลูกเดียวกันไม่อาจมีเสือสองตัวอาศัยอยู่ร่วมกันอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น พี่สาวบุตรีเอกคนนี้ของนางเป็นแม่นางที่ชาญฉลาดและครองตำแหน่งฮูหยินซื่อจื่อมานานนับเจ็ดแปดปี?

พูดตามตรง นางก็แค่อยากจะยืมครรภ์ของตนเองมาคลอดบุตรชายให้นางก็เท่านั้น! อีกอย่างบุตรชายคนนี้ยังเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลเฟิง นางจะได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากตระกูลผู้ให้กำเนิด

ทว่า รอให้อนาคตตนเองสามารถมีบุตรชายแล้วจริงๆ แล้วจะสามารถรักษาชีวิตของตนไว้ได้หรือไม่

ช่วงเวลาเพียงชั่วพริบตา ภายในใจของเฟิงซิ่วอวิ๋นเหมือนมีฝูงม้าจำนวนมหาศาลวิ่งพุ่งโจนทะยานไปข้างหน้า และมีความคิดที่เปลี่ยนแปลงไปนับพันความคิด

เฟิงซื่อกล่าวจบก็นิ่งไป รอคอยคำตอบของน้องสาวบุตรีอนุภรรยาเงียบๆ