ตอนที่ 94 แสงจันทร์ช่างสวยงาม

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

มู่เฉียนซีกล่าวอย่างจนปัญญา “อาถิง พอได้แล้ว ให้เวลาเยียวยาเถอะ”

“ในเมื่อเจ้าไม่ยอมลงมือ เจ้ารู้หรือเปล่าว่าเขาอันตรายมากแค่ไหน ?”

รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้ามู่เฉียนซี “จิ่วเยี่ย เจ้าไม่ใช่ว่าพูดไว้แล้วรึ ?  ต่อให้เขาอันตรายเพียงใด เขาก็ไม่ทำร้ายข้า และที่ผ่านมา เขาไม่เคยทำเรื่องอะไรที่ทำร้ายข้าเลย ข้าจะลงมือฆ่าเขาได้อย่างไร ?”

“ขัดใจ!  โอยยยย!  น่าโมโหนัก น่าโมโหนัก!”

ทันใดนั้นเอง มู่เฉียนซีโดนพลังบางอย่างดึงเข้าไปสู่อ้อมกอดกว้างขวางระคนเย็นยะเยือก

“ข้าพอใจในการตัดสินใจของเจ้า”

จิ่วเยี่ย!  เขามาอยู่ชิดร่างของนาง เสียงทุ้มต่ำแฝงไปด้วยความยินดีอยู่บ้าง ช่างทำให้คนที่ได้ยินคำพูดเช่นนั้นตกอยู่ในภวังค์

มู่เฉียนซีกระตุกมุมปาก อาถิง ข้าโดนเจ้าหลอกเสียอนาถ พรสวรรค์ของเจ้านั้นเหมือนจะใช้ได้ไม่ง่ายเลย เกรงว่าจิ่วเยี่ยคงจะฟื้นตัวได้ตั้งนานแล้ว หากจะลงมือจริง ๆ แล้วจิ่วเยี่ยสวนกลับขึ้นมา เช่นนั้นนางคงทำได้แค่เพียงรอความตาย!

อาถิงกล่าวอย่างเขินอาย “พลังนั้นฟื้นฟูได้น้อยมาก ข้าจึงเกิดปัญหาในการควบคุมเวลาเล็กน้อย ใครให้เจ้าลงมือชักช้านักเล่า”

“เหอะ! เวลาที่เจ้าหยุดไว้มีเพียงไม่นาน นั่นไม่เพียงพอให้ข้าลงมือตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เจ้าบ้าอาถิง!”

“โอกาสมีเพียงครั้งนี้ครั้งเดียว เจ้าพลาดมันไปแล้ว ต่อไปหากอยากจะจัดการกับเขาอีกก็ยากแล้ว ยากแสนยาก” อาถิงเองก็รู้สึกว่าปฏิบัติการนี้ล้มเหลวไปแล้ว เมื่อพูดจบประโยคนั้น เขาก็เข้าสู่ภาวะหลับใหลเพื่อที่จะฟื้นฟูพลังของตน …ชายผู้นั้นช่างน่ากลัวเหลือเกิน จิ่วเยี่ยสามารถที่จะต้านทานพลังแห่งกาลเวลาได้

มู่เฉียนซีถูกใครบางคนกอดไว้ในอ้อมกอด นางกล่าว “อาถิงงี่เง่าไปบ้าง แต่อันที่จริงแล้วเขาไม่ได้มีนิสัยเลวร้าย”

สีหน้าของจิ่วเยี่ยหม่นคล้ำ เขากล่าวขึ้นอย่างเย็นชา “อย่าได้พูดถึงเขาต่อหน้าข้าอีก”

“ได้ ต่อไปนี้ข้าจะไม่พูดถึงเขาต่อหน้าเจ้าอีกอย่างแน่นอน” มู่เฉียนซีตอบรับกลับพลางทำท่าทางสดใส ขณะนี้เขากอดนางไว้แน่นประหนึ่งว่าอยากจะดูดนางเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเลือดเนื้อและไขกระดูกในร่างกายตน

น้ำเสียงทุ้มต่ำดังใกล้ ๆ หูมู่เฉียนซี “โชคดีที่เจ้าไม่ได้เลือกผิด”

“จิ่วเยี่ย เจ้าช่วยข้า ปกป้องข้ามาตั้งหลายครั้งครา ขอแค่จากนี้ไปเจ้าไม่ทำร้ายข้า เช่นนั้นแล้ว ข้ามู่เฉียนซีก็จะไม่ทำร้ายเจ้าอย่างแน่นอน เจ้ามีความสามารถที่แข็งแกร่ง ต่อให้ข้าคิดอยากที่จะทำร้ายเจ้า ก็ทำได้เพียงนึกคิดแต่ไร้ซึ่งแรงพลังที่จะทำได้  เจ้าวางใจได้เลย คำพูดคำนี้จะมีผลตลอดไปไม่มีวันหมดอายุ” มู่เฉียนซีกล่าว ทำท่ามือทาบหน้าอกตรงตำแหน่งหัวใจอย่างหนักแน่น

ถึงแม้ว่าหมอปีศาจมู่เฉียนซีจะไม่ใช่คนดี แต่ว่าคนที่ดีกับนาง นางก็จะดีและจริงใจต่อผู้นั้นกันเช่นกัน

“อืม” จิ่วเยี่ยส่งเสียงตอบขรึม ๆ

“จิ่วเยี่ย เจ้าปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่ ?” มู่เฉียนซีกล่าวพลางดิ้นรน มือของเขานั้นแข็งเสียงยิ่งกว่าเหล็กกล้า ทำให้รู้สึกเจ็บ

“ข้าขอกอดอีกสักหน่อย แสงจันทร์นั้นช่างงดงาม” จิ่วเยี่ยกล่าว เขากอดนางไว้ สายตาทอดมองชมแสงจันทร์อย่างสบายใจ

มู่เฉียนซีมองพระจันทร์เสี้ยวอย่างเบื่อหน่าย ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าองค์ชายจิ่วเยี่ยเป็นบุรุษผู้ชื่นชอบชมจันทร์  มู่เฉียนซีอยู่ในท่าเดิมนานเข้าก็แข็งทื่อ ตัวของนางนั้นกำลังจะเหน็บชาแล้ว ในที่สุดองค์ชายจิ่วเยี่ยผู้กำลังดื่มด่ำกับแสงจันทร์ก็ยอมปล่อยตัวนางเสียที

เช้าของวันที่สอง มีเสียงแหลมลอยมาในอากาศ “อ๊า! เกิดอะไรขึ้นกับสมุนไพรในสวนของข้า สมุนไพรวิญญาณของข้าล่ะ ?!”

มู่เฉียนซีหยิบสมุนไพรสองต้นออกมา แสยะยิ้ม กล่าวกับจวินโม่ซี “ยาทั้งสองชนิดนี้ที่ข้าอยากได้ ข้าเจอมันแล้ว  ขอขอบคุณสําหรับความเอื้ออาทรของท่านราชาโอสถ”

จวินโม่ซีถลึงตาใส่มู่เฉียนซีสตรีตรงหน้า ต่อให้เจ้าต้องการสมุนไพรวิญญาณสองชนิดนี้ ก็คงไม่ต้องถึงขนาดที่ทำให้สวนของข้าสะอาดโล้นกระมัง ?!  อ๊ากกกก เอาสวนสมุนไพรของข้าคืนมา!!!”

จวินโม่ซีอยากจะพุ่งไปข้างหน้า ยื่นมือเข้าใกล้ใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างกวนอารมณ์ หยิกทึ้งดึงแก้มนางอย่างหนัก ๆ สักทีสองที

มู่เฉียนซีกล่าวอย่างไร้เดียงสา “ท่านว่าอย่างไรนะ ? ตอนที่ข้าพบสมุนไพรวิญญาณสองต้นนี้ สมุนไพรอื่น ๆ ของท่านก็ยังอยู่ดี ข้าไม่ได้ทําอะไรบ้าคลั่งที่จะเป็นการทําลายสมุนไพรวิญญาณทั้งสวนของท่านเลย”

จวินโม่ซีขมวดคิ้วเป็นปมแน่น วาจา สีหน้า ท่าทางนางไม่น่าเชื่อถืออย่างที่สุด “เจ้าเป็นคนทําแน่นอน แต่เจ้ามัน… เจ้ามันไม่ยอมรับ”

“ต่อให้ท่านจะใส่ร้ายข้า ก็ต้องมีเหตุมีหลักฐานเสียบ้างซี่! ไม่มีหลักฐานจะมากล่าวพล่อย ๆ ไม่ได้นา  ท่านไม่อยากให้สมุนไพรวิญญาณสองต้นนี้กับข้าก็กล่าวมาตรง ๆ เถิด  จำเป็นที่จะต้องมาใส่ร้ายข้าเช่นนี้ด้วยหรือ หือ ?” มู่เฉียนซีกล่าวค่อนแคะพลางเลิกคิ้ว

จวินโม่ซีกรุ่นโกรธ เขากระอักเลือดออกมาจนได้ “อั่ก!  เจ้า… เจ้านี่มันช่างเล่นลิ้นเล่นคำเสียจริง”

มู่เฉียนซีโบกมือไม่ใส่ใจ “ข้าได้ของที่ข้าต้องการแล้ว ข้าขอตัวไปก่อน เจ้าไม่ต้องไปส่ง”

“ไป! ไปรึ ?!” จวินโม่ซียังไม่ทันได้กล่าวอะไรอีก มู่เฉียนซีและองครักษ์เงาตระกูลมู่รีบกลับออกไปอย่างรวดเร็ว จากไปลับสายตา

จวินโม่ซีกรุ่นโกรธหนัก “นางตัวร้ายขโมยสมุนไพรข้า! กลับมานี่เดี๋ยวนี้ เจ้าต้องอธิบายเรื่องนี้ให้ชัดเจน”

“ช้าก่อน!”

ไม่ว่าจวินโม่ซีจะตะโกนอย่างไร  มู่เฉียนซีก็ไม่หันหลังกลับมา ในที่สุดเขาก็ทําได้เพียงเก็บข้าวของตนเองแล้วตามไป ปากก็ด่าก็สาปแช่งไปตลอดทางที่ไล่ตามพวกนั้น “บัดซบ! นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เจอหญิงวายร้ายเจ้าเล่ห์เจ้ากลเช่นนี้”

บัดนี้ผู้เป็นเทพเทวดาลึกลับที่ซ่อนตัวจากโลกภายนอกยากจะคาดเดาความคิดนั้น ได้กลายเป็นบุรุษใจร้อนรุ่ม วิงไล่ตามด่าคนกลางถนนไปเสียแล้ว…

ทว่านั่น หืม ? พวกเขาไม่ได้ไปที่เมือง กลับไปที่เทือกเขาชีชง หรือว่ามู่เฉียนซีนางยังต้องการสมุนไพรวิญญาณอะไรอีก ?  ขณะที่กําลังไล่ตาม จวินโม่ซีก็บ่นพึมพํากับตัวเอง

พวกเขาเดินจากหุบเขาราชาโอสถไปยังเทือกเขาชีชง  ไม่มีเมืองใด ๆ พวกเขาจึงทําได้เพียงตั้งค่ายพักผ่อนเท่านั้น

กองไฟลุกโชนขึ้นในเวลากลางคืน มู่เฉียนซีบอกให้พวกองครักษ์เงาไปหาไก่ฟ้าและกระต่ายป่ามา เหตุเพราะกินอาหารแห้งที่เตรียมมาไม่ค่อยจะอร่อยลิ้น นางรู้สึกอยากกินเนื้อสัตว์บ้างสักหน่อย

ในขณะที่พวกเขาไปล่าสัตว์นั้น มู่เฉียนซีใช้พื้นที่ในมิติของนางผสมสมุนไพรเป็นเครื่องปรุงออกมาได้หนึ่งขวด  นางรอจนได้เนื้อสัตว์ที่ถูกทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วมา ก็นำเนื้อนั้นมาทาด้วยเครื่องปรุงรสที่นางปรุงขึ้นเอง  ผ่านไปเพียงไม่นาน กลิ่นหอมฟุ้งกระจายออกไปสี่ทิศสี่ทาง

เมื่อเนื้อถูกย่างจนเป็นสีเหลืองทอง นางก็โรยเครื่องปรุงเสริมรสเค็มลงไปเล็กน้อยเป็นอันเสร็จสิ้นแล้ว

พวกองครักษ์เงาดวงตาเป็นประกาย หนึ่งในนั้นกล่าว “ท่านผู้นำตระกูลฝึกยุทธ์ ปรุงโอสถ หรือจะหาเงินหาทองคำได้เก่งมากข้าก็คิดว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว  คิดไม่ถึงว่าท่านยังจะทำเนื้อย่างได้ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้อีก”

ท่านผู้นำตระกูลเป็นผู้ที่ก่อนหน้านี้อยู่อย่างเป็นที่เคารพสูงส่งเสมือนไกลห่างจากพวกเขา  สิ่งที่นางเคยกระทำมาทั้งหมดก่อนหน้านี้มันช่างทำให้ทนไม่ได้ อยากจะมองข้ามมันไป …ณ ตอนนี้ ไม่ว่าท่านผู้นำตระกูลจะทำอะไร ก็ทำให้พวกเขานั้นรักและเคารพจนยอมพลีกายถวายชีพให้ได้

ตำแหน่งของนางที่อยู่ในใจพวกเขานั้น  สูงกว่าผู้นำตระกูลมู่รุ่นก่อน ๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“ข้าย่างตามแบบฉบับของข้าเอง ฮิฮิ เป็นอย่างไร น่ากินหรือไม่ล่ะ ? ข้าว่าพวกเจ้าเองก็น่าจะย่างออกมาได้ดีเช่นกัน”

หากเป็นอาหารอย่างอื่น นางไม่กล้ารับประกันอย่างแน่นอนว่ารสชาติของมันจะโอชะ แต่ว่าหากเป็นเนื้อย่างของนางละก็ รสชาติเป็นหนึ่งแน่นอน เพราะนางเป็นคนที่ต้องเข้าป่าเขาลึกอยู่เป็นประจำ เพื่อที่จะประทังท้องตัวเองให้อิ่มสบาย ทักษะพวกนี้เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องเรียนรู้ไว้

มู่เฉียนซีฉีกขากระต่ายตัวหนึ่ง ส่งไปตรงหน้าจิ่วเยี่ยที่อยู่ข้าง ๆ ก่อนจะกล่าวกับเขาว่า “ลองชิมดูสิว่าเจ้าชอบหรือไม่ ถึงแม้รสชาติมันจะเลี่ยนไปหน่อยก็เถอะ”

จิ่วเยี่ยรับขากระต่ายนั้นไปโดยไม่รังเกียจ ทันใดนั้นมีเสียงท้องร้อง ‘โครกกกก!’ ลอยมาจากที่ใดที่หนึ่ง …จวินโม่ซี!

มู่เฉียนซีอมยิ้ม กล่าวขึ้น “ฮ่า ๆ ในเมื่อหิวแล้วก็ออกมาเถอะ ท่านจะซ่อนตัวไปจนถึงเมื่อไหร่เล่า ?”

จวินโม่ซีกระโจนออกมา จ้องมองกระต่ายย่างในมือมู่เฉียนซีไม่วางตา “ข้ากินด้วย!  ข้าขอกินด้วย!”

จะอย่างไรเสียนางก็ได้ลักเอาสมุนไพรของเขามาตั้งมากมาย เอาน่องกระต่ายให้เขาไปสักน่องเป็นการทดแทนน้ำใจก็คงจะหายกัน แต่ว่า… เมื่อนางกำลังจะยื่นน่องกระต่ายย่างไปให้เขานั้น มือนางพลันถูกจิ่วเยี่ยหยุดไว้

เงาร่างสีดําสนิทที่ขวางหน้ามู่เฉียนซีไว้ราวกับเทพมาร หยิบฉวยเอาขากระต่ายที่นางจะมอบให้จวินโม่ซีไป และค่อย ๆ กินช้า ๆ

แม้จวินโม่ซีจะเกรงกลัวจิ่วเยี่ย ทว่าเวลานี้หิวนัก! เขาโกรธมากจนตาลาย กัดฟันกล่าวออกไป

“เจ้า… เจ้าทำอะไรลงไป ?!”

“เจ้าอย่าได้คิดว่ามีพลังแข็งแกร่งแล้วจะเก่งกล้ากว่าผู้ใด!  ต่อให้เจ้าแข็งแกร่งมากก็มิสมควรมาแย่งของกินผู้อื่นไปกินหน้าตาเฉยแบบนี้ได้”

.