ตอนที่ 95 กินจุอย่างมาก

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

“ทำกินเอง” จิ่วเยี่ยกล่าวเตือน ดวงตาสีฟ้าเหลือบมองจวินโม่ซีอย่างเย็นชา

จวินโม่ซีมองออกว่าชายประหลาดผู้นี้มีความปรารถนาทางกายใจต่อสตรีนัยน์ตาดำที่อยู่ตรงหน้า เขากล่าวอย่างไม่มั่นใจในตัวเอง “ให้ข้าย่าง… ข้าย่างเองหรือ ?”

อย่างไรเสียก็ดูเหมือนว่าเครื่องปรุงรสนั้นจะดีมาก ผู้ใดย่างก็ต้องอร่อย ดังนั้นจวินโม่ซีจึงก่อฟืนจุดไฟด้วยตัวเอง

— พรึ่บ! —

เปลวไฟลุกโชนออกมาจากมือของเขา

เห็นการกระทำนั้น มู่เฉียนซีนิ่งอึ้งตะลึงตาค้าง “โอ้! เจ้าเป็นจอมภูตธาตุอัคคีรึ ?!”

จวินโม่ซีกล่าวพลางยืดอกภูมิใจ “แน่นอน ถ้าไม่ใช่เพราะจอมภูตธาตุอัคคี เราก็ไม่มีต้นกําเนิดเพลิงไฟ เส้นทางการปรุงยาคงมีข้อจํากัด มีเพียงผู้ฝึกจอมภูตธาตุอัคคีเท่านั้นที่สามารถไปถึงจุดสูงสุดของการปรุงยาได้”

“แต่ว่า…” จวินโม่ซีเหลือบมองมู่เฉียนซีก่อนจะกล่าวต่อ “เจ้ามันตัวประหลาด ยาของเจ้านั้นแตกต่างจากเส้นทางการปรุงยาอย่างสิ้นเชิง”

มู่เฉียนซีกล่าว “เส้นทางการปรุงยาของข้าแตกต่างจากการกลั่นยา ข้าสามารถปรุงยาได้ หลอมยาได้ แท้ที่จริงข้าเองสนใจที่จะกลั่นยาอยู่เช่นกัน แต่เหมือนว่าข้าจะมีเพียงพลังวิญญาณของผู้บำเพ็ญภูตธาตุวารีเท่านั้น”

นางมีความรักเรื่องยามากเป็นพิเศษ หากเส้นทางการปรุงยาไม่สามารถไปถึงจุดสูงสุดได้ คงเป็นเรื่องน่าเสียใจสำหรับนางมาก

จวินโม่ซีกล่าว “อันที่จริงต่อให้เจ้าเป็นจอมภูตธาตุวารี ก็ใช่ว่าจะทําอะไรไม่ได้ อย่างไรเสียชีวิตมนุษย์เราก็มีบางเรื่องที่ไม่แน่นอน”

“หืม เจ้ามีวิธีรึ ?” มู่เฉียนซีกล่าวถาม

“ปราณวิญญาณระหว่างสวรรค์และปฐพีมีธาตุต่าง ๆ ที่ออกมาจากจอมภูตธาตุอย่างพวกเรา  และในขณะเดียวกัน หลังจากผ่านมาหลายล้านปีหลายสิบล้านปี โลกก็ได้กำเนิดเพลิงอัคคีวิญญาณและวารีวิญญาณ ถ้าหากมีความสามารถมากพอที่จะทำให้อัคคีวิญญาณเชื่อฟังเจ้าได้ ต่อให้เจ้าไม่มีธาตุอัคคี เจ้าก็สามารถเป็นนักปรุงยาที่ยอดเยี่ยมได้” จวินโม่ซีกล่าวอย่างช้า ๆ “แต่! เจ้ามีพลังวิญญาณธาตุวารี  วารีกับอัคคีแน่นอนว่ายากจะอยู่ด้วยกัน จะว่าไปอัคคีวิญญาณก็หาได้ยากยิ่ง แม้เจ้าจะค้นพบ แต่คุณลักษณะของเจ้าก็มีความเป็นไปได้ต่ำมาก”

มุมปากของจวินโม่ซียกขึ้นเล็กน้อยหลังกล่าวเช่นนั้น ราวกับว่าตัวเขาพอใจอย่างมากที่สามารถโจมตีสาวน้อยผู้นี้ด้วยข้อเท็จจริงได้

“อา… ไม่มีทางอื่นแล้วรึ ?”

ดูเหมือนว่าจวินโม่ซีจะไม่ได้คุยกับใครมานานแล้ว เขายินดีอย่างมากที่จะตอบคําถามของนาง

“มีอีกวิธีหนึ่งคือการหาหม้อเทพนิรันดร์ หม้อเทพนิรันดร์นั้นมีอัคคีวิญญาณปฐมโลกชนิดหนึ่ง ขอเพียงได้เป็นหัวหน้าหม้อเทพนิรันดร์ เช่นนั้นเพลิงวิญญาณปฐมโลกก็จะยอมจํานนต่อเจ้าเอง”

กล่าวมาถึงตรงนี้ แววตาของจวินโม่ซีฉายประกายวาววับ

มู่เฉียนซีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย หม้อเทพนิรันดร์นั่นคือหม้อเทพที่อาถิงแสดงภาพชายผู้หนึ่งใช้มันให้นางเห็น

นางยิ้มมองท้องฟ้า ใจก็นึกถึงหม้อเทพนิรันดร์… ไม่แปลกใจเลยที่อาถิงบอกว่าให้พยายามหามันให้เจอและคว้ามาครอบครองจะดีที่สุด ไม่น่าเชื่อแท้ ๆ ว่าจะเป็นเพราะเหตุผลนี้ด้วย

ในตอนนั้นเอง จิ่วเยี่ยก็เดินมาหานาง เขากล่าวว่า “นอกจากหม้อเทพนิรันดร์แล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่สามารถช่วยเจ้าได้…”

จิ่วเยี่ยเว้นช่วง ไม่พูดต่อ มู่เฉียนซีรอแต่เขากลับไม่ได้พูดอะไรเพิ่มอีก

“มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ แต่ละอย่างมีคุณสมบัติเฉพาะตัว  แหวนมังกรเทพวารีมีธาตุวารี ถ้าหากธาตุอัคคีต้องเป็นกระบี่เทพนิรันดร์” จิ่วเยี่ยกล่าวออกมาในที่สุด

จวินโม่ซีเบ้ปาก “เหอะ! สิ่งที่เป็นตํานานอย่างกระบี่เทพนิรันดร์ พูดไปนางก็หาไม่พบ ไร้ประโยชน์ที่จะบอกนาง”

มู่เฉียนซี “หม้อเทพนิรันดร์ก็ด้วยไม่ใช่หรือ ? เหตุใดจึงพูดอย่างนั้น ?”

จวินโม่ซีหลุบตา แล้วกล่าวว่า… “เพราะหม้อเทพนิรันดร์เป็นสิ่งที่นักปรุงยาทุกคนต้องการ ข้าจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา”

“อ๊า!  ไฟไหม้! ไฟไหม้แล้ว!”

จวินโม่ซีมัวสนทนาอย่างมีความสุข สุขใจจนไม่ได้มองเนื้อย่างของตัวเอง ไฟสีส้มพลันลุกไหม้ขึ้นมา!

มู่เฉียนซียกมือขึ้น กล่าวง่าย ๆ “พลังแห่งวารี!”

หยดน้ำนับไม่ถ้วนตกลงมา  ในที่สุดก็ดับไฟไว้ได้ แต่ว่าน่าเสียดาย กระต่ายดี ๆ ตัวเดิม เพิ่มเติมคือมันได้กลายเป็นถ่านสีดําไปเสียแล้ว  มู่เฉียนซีถามขึ้น “เมื่อวานที่ห้องของท่านติดไฟ ตอนนั้นไม่ใช่ว่าท่านกำลังปรุงยาอยู่หรอกหรือ ?”

จวินโม่ซี “เจ้าล้อเล่นอะไร ? ราชาโอสถอย่างข้าจะปรุงยาจนทำไฟไหม้ได้อย่างไรกัน ? มีเพียงเรื่องยุ่งยากในการทําอาหารเท่านั้น ข้าถึงจะทำไฟไหม้ได้”

“แค่ก ๆ ๆ”

มู่อีและพวกองครักษ์เงาหลายคนได้ยินคําพูดนี้ แทบจะสําลักเนื้อกระต่ายที่กำลังเคี้ยว  ราชาสมุนไพรผู้ทรงสง่า สามารถทําอาหารจนเผาห้องได้ ย่างเนื้อจนสามารถเผาป่าได้ ช่างน่าแปลกจริง ๆ

เพื่อหลีกเลี่ยงโศกนาฏกรรมที่จะเกิดขึ้นอีกครั้ง มู่เฉียนซีจึงแบ่งเนื้อย่างครึ่งหนึ่งของนางให้จวินโม่ซี เขาแสนดีใจ เห็นเนื้อย่างก็กระโจนเข้าใส่ราวกับหมาป่าหิวโหยอดเนื้อมาแรมปี เขาเริ่มกลืนกินมันลงคอไปอย่างรวดเร็ว

จากนั้นเขาก็เริ่มกินเยอะมากเป็นพิเศษ กินคนเดียวปริมาณเท่าคนกินกันเจ็ดคน!

นี่มันช่าง…

มู่เฉียนซีอดไม่ได้ มุมปากนางกระตุก กล่าวเตือนด้วยเพราะหวังดี “แม้ว่าท่านจะเป็นราชาโอสถ แต่การกินมากขนาดนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เจ็บท้องนะ!”

“ถึงกินจนเจ็บท้องข้าก็ยอม ข้าไม่ได้กินเนื้อสัตว์มาสิบกว่าปีแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าทุกวันนี้ข้ากินยาแทนอาหาร ไม่มีเนื้อสัตว์ ไม่มีผัก แม้แต่ข้าวก็ไม่รู้ว่ารสชาติเป็นอย่างไรแล้ว ? แบบนั้นตายเสียยังดีกว่า” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ น้ำตาของจวินโม่ซีพลันไหลริน แล้วเขาก็เอื้อมมือออกไป “ข้าเอาอีก”

มู่อีได้ยินเรื่องน่าเศร้าของเขาก็รู้สึกว่าเขาน่าสงสารไม่น้อยเลย ตัดสินใจย่างกระต่ายให้เขาอีกตัวอย่างไม่ลังเล

“อะแฮ่ม แค่ก ๆ ๆ” มู่เฉียนซีกระแอมไอ นางทําอะไรไม่ถูก

“ท่านไม่มีใครมาขอรับการรักษารึ ? ท่านก็แค่ขอให้พวกเขาส่งของอร่อย ๆ มาให้ก็ได้นี่”

จวินโม่ซี “คําของ่าย ๆ แบบนั้นมันทําให้ภาพลักษณ์ของข้าเสื่อมเสียเกินไป”

“ดังนั้นท่านจึงทนมาเป็นเวลาหลายปีเช่นนี้น่ะรึ ?! แข็งแกร่งยิ่งนัก!” มู่เฉียนซียกนิ้วโป้งขึ้น กล่าวชื่นชมเขาอย่างเสียมิได้  เพื่อรักษาหน้า เขายอมที่จะกินยาที่มีรสชาติเดียวเหล่านั้นเป็นอาหาร กินมานานกว่าสิบปี ช่างน่าทึ่ง!

จวินโม่ซียังคงแทะขากระต่ายต่อไป จากนั้นจึงกล่าวอีกว่า “วันที่มีเนื้อสัตว์กิน มันช่างมีความสุขเสียจริง”

ตั้งแต่ที่จวินโม่ซีกินเนื้อสัตว์ เขาก็ลืมที่จะสร้างความลำบากให้มู่เฉียนซี ทุกวันรออาหารใช้ชีวิตหิวโหยเหมือนคนใกล้จะอดตาย มาเจอเนื้อกระต่ายย่างหอมเหนียวนุ่มชุ่มลิ้น เขาจะอดใจได้หรือ ?

ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงด้านนอกของเทือกเขาชีชง  เทือกเขานี้เป็นเทือกเขาที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาเทือกเขาหิมะ มันตัดผ่านทิศเหนือและทิศใต้ แม้ว่าจะมีสัตว์วิญญาณระดับหกหรือเจ็ดจํานวนมากอยู่รอบนอก ทว่าป่ารกร้างก็ไม่มีอะไรเทียบพวกเขาได้เลย

มู่เฉียนซีกล่าวเสียงเข้มขรึม “เมื่อเข้าไปข้างในนี้แล้ว พวกเจ้าจะต้องตระหนักถึงความตาย พยายามทุกวิถีทางเพื่อต่อสู้ภายในหนึ่งเดือน เพื่อทะลวงผ่านขอบเขตราชาจอมยุทธ์และราชาแห่งภูต”

มู่อี “พวกข้าเข้าไปแล้ว เช่นนั้นก็ไม่มีใครปกป้องท่านผู้นำตระกูล”

“ไม่ต้องห่วงข้า อย่างไรพวกเจ้าทุกคนต้องมีชีวิตรอดออกมา ข้าจะปกป้องตัวเองเป็นอย่างดี ลุย!” มู่เฉียนซีกล่าวออกมาอย่างดุดัน

“ขอรับ!”

องครักษ์เงาตระกูลมู่เก้าสิบเก้าร่าง กระจัดกระจายอยู่ทุกส่วนของป่านี้ การเดินทางของพวกเขาเริ่มต้นขึ้นแล้ว

“อีกหนึ่งเดือนจะต้องมีชีวิตรอดออกมา ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีลมหายใจกลับออกมา” มู่เฉียนซีกล่าวเสียงเบาราวกระซิบ หลังจากกล่าวจบ นางก็เดินหน้าเข้าไป นางทําได้เพียงล่าสัตว์วิญญาณระดับสองอยู่ด้านนอกสุดเท่านั้น เพราะมีเพียงจอมภูตระดับเก้าอย่างนางเท่านั้นที่เมื่อพบเจอกับสัตว์วิญญาณระดับสามก็ทําอะไรมันไม่ได้

— ปัง!  ปัง!  ปัง! —

ทุกวันทุกคืน พวกเขาอยู่ในการต่อสู้

ทั้งเหนื่อยทั้งหิวกระหายจนต้องกินยาแทน สำหรับมู่เฉียนซีที่เกิดมาเพื่อเป็นผู้นำของพวกเขา แม้ว่ามีกำลังน้อยไปกว่าพวกเขา แต่นางก็อยู่ต่อสู้ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กันไป

ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ว่าร่างกายของมู่เฉียนซีจะเหนื่อยล้าเพียงใด  จิ่วเยี่ยก็มองดูอย่างเก็บอาการ ชายเยือกเย็นไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา

จวินโม่ซีพ่นเสียงผิดปกติ “ฮู้ว! สตรีผู้นั้นพยายามสุดชีวิตของนางถึงเพียงนี้ การฝึกหนัก ๆ นี่ไม่เกินไปหน่อยรึ เจ้ายังทนมองต่อไปได้อีกรึ ?”

.