EP.139 ฉินอินช่วยขอร้อง

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา

EP.139****ฉินอินช่วยขอร้อง

ตำหนักเจ๋อเทียน นางกำนัลยืนเรียงแถวแถวละสิบสองนางถือเทียนเล่มยาวกำลังจุดโคมไฟเซี่ยจื้อ (สัตว์ชนิดหนึ่งมีหัวเป็นสิงโต) ในตำหนัก เปลวเทียนสะท้อนบนพื้นหยกสีขาว คล้ายดวงดาราสีแดงเพลิงส่องประกายระยิบระยับ ลมปลายฤดูใบไม้ร่วงพัดเข้ามา เปลวเทียนเริ่มขยับพลิ้วไหว นางกำนัลนางหนึ่งอดที่จะจามออกมาไม่ได้ กล่าวออกมาแผ่วเบา “อากาศเริ่มเย็นขึ้นแล้ว…”

เหล่านางกำนัลกระซิบกระซาบกันสองสามประโยคก็ออกจากตำหนักเจ๋อเทียนไป เหลือเพียงแค่แสงจันทร์สะท้อนลงมาที่พื้นของตำหนัก

“ฟิ้วว…”

ลมราตรีพัดชุดคลุมสีม่วงเข้ม ฉินอินขมวดพระขนงงามเล็กน้อย รีบสาวพระบาทมาตามทางเดินในพระตำหนัก นางกำนัลหลายนางด้านหลังแทบจะเดินตามไม่ทัน กล่าว “องค์หญิง…ทรงช้าหน่อยเพคะ”

แต่ความเร็วของฉินอินกลับเร็วขึ้น ทรงกระโจนลงไปเหยียบผิวน้ำในสระบัว เกิดระลอกน้ำแผ่ออกไป องค์หญิงของจักรวรรดิไปอยู่อีกฝั่งของศาลาริมน้ำแล้ว ผิวขาวกระจ่างใสราวกลับหิมะปรากฏประกายแสงสีทองจางๆ วิญญาณยุทธ์โซ่เทวะถูกเรียกออกมา องครักษ์หลายนายรีบเข้ามาขวาง “องค์หญิง ทรงเสด็จมา…”

“ข้าต้องการเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ”

“ฝ่าบาททรงบรรทมแล้ว รับสั่งไม่ให้ผู้ใดรบกวนพ่ะย่ะค่ะ”

“ข้าต้องการพบพระองค์!” ฉินอินทรงเลิกพระขนงงาม พระพักตร์งดงามหมดจดมีความยโสที่ทำให้ผู้คนหลงใหล ตรัสยืนกราน “หากพวกเจ้าไม่หลีกทาง ก็อย่าโทษข้าที่ต้องลงมือ!”

เหล่าองครักษ์สีหน้าจนใจ และในตอนนี้เอง พระสุรเสียงของฉินจิ้นก็ดังขึ้น “ให้เสี่ยวอินเข้ามาเถอะ…”

“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”

ฉินอินทรงผลักประตูเข้าไป ทอดพระเนตรเห็นฉินจิ้นที่อยู่ใต้แสงเทียนกำลังอ่านม้วนฎีกาฉบับหนึ่งอยู่ พระพักตร์เหนื่อยล้า ใต้แสงเทียน จักรพรรดิที่มีพระชนมายุเพียงสี่สิบเจ็ดชันษาผู้นี้กลับมีพระเกศาสีดอกเลาแล้ว ฉินอินรู้สึกเจ็บแปลบที่พระหทัย ตรัสเรียก “ท่านพ่อ…”

ฉินอินไม่ได้เรียกเสด็จพ่อ

ฉินจิ้นเผลอแย้มพระโอษฐ์ เงยพระพักตร์มองธิดา “เจ้าไม่ได้เรียกข้าเช่นนี้นานแล้วนะ…คิดถึงตอนนั้น พ่ออยากให้เจ้าเปลี่ยนไปเรียกเสด็จพ่อ เลยสอนอยู่นานทีเดียว…”

พระเนตรฉินอินแดงระเรื่อ เดินไปคุกเข่าที่โต๊ะทรงงาน พระเกศาสลวยของหญิงสาวร่วงไปอยู่บนกองฎีกา ทรงทอดพระเนตรมองพระบิดา จู่ๆ กลับไม่รู้ว่าจะตรัสอย่างไร

“เจ้ามาเพื่อขอเรื่องหลินมู่อวี่ใช่หรือไม่” ฉินจิ้นตรัสถาม

“เพคะ”

ฉินอินพยักพระพักตร์ก่อนตรัสขึ้น “ท่านพ่อ หลินมู่อวี่เป็นคนง่ายๆ และหัวแข็ง ข้าแทบจะทายได้ถึงตอนที่เขาเห็นสภาพหญิงรับใช้ค่ายทหารเหล่านั้นได้รับความทุกข์ทรมาน เขาจะต้องเข้าไปยุ่งแน่นอนเพคะ เขาก็เป็นคนแบบนั้น ครั้งนี้เขาพาคนไปทำลายหอเลี้ยงดูไม่อาจโทษเขาได้นะเพคะ เหมือนกับที่ใต้เท้าเหลยหงว่าไว้ แต่เดิมหอเลี้ยงดูก็ทำลายความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่หรือเพคะ”

สายพระเนตรอันอ่อนโยนของฉินจิ้นมองไปที่พระธิดา “พ่อรู้ พ่อรู้ทุกอย่าง…พ่อจะไม่รู้ว่าหลินมู่อวี่เป็นคนเช่นไรได้อย่างไรกัน แต่ว่า…การเกลียดการกระทำที่ชั่วร้ายของเขาควรจะมีขอบเขต เขาเป็นองครักษ์อวี้หลินแต่กลับนำคนไปทำลายหอเลี้ยงดูด้วยตนเอง ทำลายกฏของกองทัพจักรวรรดิอย่างโจ่งแจ้ง หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นคงถูกตัดคอเสียบประจานไปนานแล้ว”

“แต่ท่านพ่อ…” ฉินอินเม้มพระโอษฐ์ ช้อนดวงพระเนตรคู่งามขึ้นตรัส “อาอวี่เป็นผู้มีพระคุณของข้า หากไม่มีเขา ลูกคงถูกพิษตายอยู่ในป่าล่ามังกร เพียงแค่เรื่องนี้ท่านพ่อเองก็ควรจะเมตตาเขาเป็นพิเศษถึงจะถูกนะเพคะ!”

แววตาของฉินจิ้นขรึมลง “เสี่ยวอิน มีเรื่องมากมายที่เจ้ายังไม่เข้าใจ เจ้ายังเล็ก…”

“มีอะไรที่ข้ายังไม่เข้าใจหรือ ท่านพ่อบอกข้าสิเพคะ”

“วันนี้เจ้าไม่อยู่ที่ท้องพระโรง ดังนั้นเจ้าจึงไม่ทราบคำพูดของเสินโหวกับราชเลขาธิการ” ฉินจิ้นถอนพระทัย “จักรวรรดิฉินของพวกเรามีครึ่งหนึ่งที่เซี่ยงเหวินเทียนทำสงครามได้มา ในกองทัพจักรววรดิเซี่ยงเหวินเทียนก็คือเทพเจ้า มีฐานะเหนือข้าผู้ที่เป็นจักรพรรดิไปไกล เสี่ยวอินเจ้ารู้หรือไม่ ผู้บัญชาการทหารทั้งสี่ของเขตหลิ่งหนานสามปีเต็มแล้วที่ไม่ได้เข้าร่วมประชุมครั้งใหญ่ที่จัดขึ้นปีละครั้ง ขนาดที่ข้าเขียนราชโองการไปก็ไม่เห็นพวกเขาตอบกลับอะไรมา”

ฉินอินตะลึง “ท่านพ่อหมายความว่า…พวกผู้บัญชาการฝั่งหลิ่งหนานคิดจะก่อกบฏ?”

“เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้แน่” ฉินจิ้นหรี่พระเนตรลง ตรัส “ผู้บัญชาการสี่คนนี้ มีวามคนเป็นคนสนิทของเจิ้งอี้ฝาน ส่วนที่เหลืออีกคนเป็นแม่ทัพเก่าแก่ของจักรพรรดิองค์ก่อน หากแม้แต่เขาก็มีใจกบฏแล้วละก็ เกรงว่าเมืองหลันเยี่ยนที่ควบคุมใต้หล้าก็อาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นได้ ดังนั้นข้าจึงสงสัยว่าที่แถวเทือกเขาฉินจะมีคนสกัดจดหมายที่เมืองหลันเยี่ยนส่งไป”

ฉินอินเม้มพระโอษฐ์เบาๆ “ท่านพ่อ ไม่สู้ส่งคนไปหลิ่งหนานดูหน่อยล่ะเพคะ”

“ไม่ต้องหรอก”

ฉินจิ้นผ่อนลมหายใจ เอนพระวรกายลงไปที่เก้าอี้ด้านหลัง “เมื่อเช้าเจิ้งอี้ฝานส่งฎีกามา รายงานว่ากองทัพใหญ่เหล่านั้นกำลังทำสงครามกับพวกหนานหมานแถวชายแดนฝั่งใต้ ดังนั้นจึงไม่สะดวกในการส่งข่าว ทำสงครามติดกันหลายปี นกส่งสารพวกนั้นถูกหนานหมานยิงสังหารตกลงมาหมด ดังนั้นไม่อาจส่งสารถึงพวกเขาได้ เพียงแต่ฎีกาของเจิ้งอี้ฝานมีจดหมายแสดงความจงรักภักดีอยู่ฉบับหนึ่ง เป็นจดหมายที่ลงนามโดยบัญชาการทั้งสี่ พวกเขายังจงรักภักดีต่อจักรวรรดิไม่เปลี่ยนแปลง”

พระเนตรคู่งามของฉินอินมองเสด็จพ่อแล้วกล่าว “ท่านพ่อ ถึงแม้ว่าเสินโหวจะมีอำนาจยิ่งใหญ่ในกองทัพจักรวรรดิ แต่…แต่หลายปีมานี้ท่านพ่อก็เห็นแล้วว่าเจิ้งอี้ฝานในตอนนี้ไม่ใช่เจิ้งอี้ฝานเมื่อสิบปีก่อนแล้ว เขาเปลี่ยนไปเยอะมาก ยโสโอหังมากขึ้นเรื่อยๆ ขนาดไม่เห็นท่านผู้ซึ่งเป็นจักรพรรดิอยู่ในสายตา ไม่สู้…”

ฉินอินทรงกะพริบพระเนตร ตรัส “สั่งการลับให้พี่ฉินเหลยกับผู้บัญชาการเฟิงจี้สิงและคนอื่นๆ หาโอกาสสลายอำนาจทหารของจวนเสินโหวในเมืองหลันเยี่ยนดีหรือไม่เพคะ”

“จะสลายอย่างไร”

ฉินจิ้นถอนหายใจ มองบุตรสาวอย่างรักใคร่เอ็นดู “จวนเสินโหวมีอำนาจหยั่งรากลึกในกองทัพจักรวรรดิมานาน ขอแค่เจิ้งอี้ฝานไม่คิดจะกบฏก็พอแล้ว อีกอย่าง จักรวรรดิต้าฉินปกครองใต้หล้ามานับพันปี มีจักรพรรดิเกือบร้อยพระองค์ สายเลือดตระกูลฉินหยั่งยากลึกในใจของผู้คนมานานแล้ว อาศัยแค่แซ่เจิ้งของเจิ้งอี้ฝานก็ไม่พอที่จะทำให้เข้าครองบัลลังก์ได้หรอก”

“แต่ว่า…แต่ว่า…” ฉินอินกัดริมฝีปาก ตรัสขึ้น “หากปล่อยให้อำนาจของเจิ้งอี้ฝานเพิ่มมากขึ้น ต่อไปเราจะจัดการอย่างไรเล่าเพคะ”

“วางใจเถอะ…”

ฉินจิ้นตรัสตอบ “อย่างน้อยอำนาจทหารของกองทหารรักษาพระองค์และองครักษ์อวี้หลินยังอยู่ในมือคนของพวกเรา แล้วพ่อเองก็ให้ขุนนางมณฑลชางหนาน และมณฑลใหญ่หลายเมืองทางเหนือเข้าเฝ้าอย่างลับๆ มีชางหลันกง และมู่อวิ๋นกงสองคนคุมอยู่ทางเหนือ ใต้หล้านี้วุ่นวายไม่ได้หรอก จริงสิ เสี่ยวอิน เจ้าไม่ได้ไปเยี่ยมท่านตาของเจ้านานแล้วกระมัง”

“ท่านตาหรือเพคะ…” ฉินอินอดแย้มพระสรวลไม่ได้ “ท่านตาทรงภารกิจยุ่ง ท่านตาต่างหากที่ไม่ได้มาเยี่ยมข้าที่เมืองหลันเยี่ยนนานแล้วเพคะ”

ฉินจิ้นทรงพระสรวล “เช่นนั้นอีกสักพัก ให้ผู้บัญชาการเฟิงนำทหารรักษาพระองค์คุ้มกันเจ้าไปเมืองมู่อวี่พบท่านตาของเจ้า เมืองมู่อวี่เป็นสถานที่ที่เสด็จแม่ของเจ้าเติบโต เจ้าควรจะไปเยือนที่นั่นสักหน่อย”

“เพคะ” ฉินอินพยักพระพักตร์ พลันเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ท่านพ่อ ท่านปล่อยอาอวี่ออกมาจากเจดีย์ทงเทียนก่อนเวลาไม่ได้จริงๆ หรือเพคะ หนึ่งวัน สองวัน เขาอาจจะยืนหยัดได้ แต่หากนานกว่านี้ เขาต้องตายอยู่ในเจดีย์ทงเทียนเป็นแน่เพคะ”

“ไม่ได้จริงๆ”

ฉินจิ้นส่ายพระพักตร์พลางถอนหายใจ “หากพ่อปล่อยหลินมู่อวี่ออกมาก่อน เจิ้งอี้ฝานและหลัวซิ่งต้องกดดันพ่ออย่างแน่นอน บางทีอาจทำให้พวกเขามีข้ออ้างในการก่อความวุ่นวายได้”

“เช่นนั้น…เช่นนั้นก็ได้เพคะ…ข้าไปเจดีย์ทงเทียนดูอาอวี่ได้หรือไม่เพคะ”

พระสุรเสียงของฉินจิ้นเปลี่ยนเป็นเข้มงวดในทันที “ไม่อนุญาตให้เจ้าไปเจดีย์ทงเทียน ที่นั่นคือสถานที่ต้องห้าม หลินมู่อวี่ตายที่นั่นได้ แต่เจ้าไม่ได้ เสี่ยวอินเจ้าอย่าลืมเด็ดขาดว่าเจ้าเป็นผู้สืบทอดราชวงศ์ ฐานะของเจ้าไม่เหมือนกัน”

พระเนตรของฉินอินแดงก่ำเต็มไปด้วยน้ำพระเนตร มองเสด็จพ่อของตน จากนั้นลุกขึ้นยืนแล้วคำนับตามแบบกุลสตรี ก่อนจะหมุนตัวจากไป เมื่อมาถึงหน้าประตูที่ห่างออกไปหลายเมตรนั้นจู่ๆ พระองค์ก็ทรงหยุดนิ่ง ตรัสด้วยพระสุรเสียงแผ่วเบา “ท่านพ่อ หากหลินมู่อวี่ตายในเจดีย์ทงเทียน ลูกเกรงว่าคงไม่อาจให้อภัยท่านได้ตลอดกาล”

“แอ๊ด…”

ประตูเปิดออก ฉินอินเสด็จออกไป

ฉินจิ้นทอดพระเนตรไปทางนอกประตูที่ว่างเปล่าอย่างเลื่อนลอย สายลมหนาวพัดเข้ามาทำให้ทรงอดหนาวสั่นไม่ได้ อากาศเย็นขึ้นเรื่อยๆ ทรงพึมพำออกมาด้วยความรู้สึกไม่สบายพระทัย พระองค์ทรงมีพระธิดาที่ปราดเปรื่องสร้างความภูมิใจขนาดนี้ แต่ทรงอดที่จะกังวลแทนพระธิดาไม่ได้ ฉินอินมีน้ำพระทัยงดงาม เกรงว่าอาจจะไม่เหมาะที่จะเป็นผู้สืบทอดราชวงศ์ และสิ่งที่ตัวพระองค์สามารถทำได้ก็คือจัดการความสัมพันธ์ระหว่างเมืองซีไห่ เมืองมู่อวี่และเมืองหลันเยี่ยนให้ดีเท่านั้น

เมืองมู่อวี่ เป็นหนึ่งในเจ็ดเมืองใหญ่ของจักรวรรดิ มีซูมู่อวิ๋น ซึ่งเป็นพระบิดาของเสด็จแม่ฉินอิน ฮองเฮาจิ้งเต๋อปกปักษ์อยู่ เมืองมู่อวี่มีทหารม้าที่แข็งแกร่ง มีกองกำลังทหารเกินสองแสนนาย

เมืองซีไห่ หนึ่งเจ็ดเมืองใหญ่ของจักรวรรดิ เนื่องจากปู่ของถังเสี่ยวซี ถังหลันปกปักษ์อยู่ กำลังพลไม่ด้อยกว่าเมืองมู่อวี่ และตระกูลถังนั้นหยั่งรากลึกอยู่ในเมืองซีไห่มานาน นี่เป็นเหตุผลที่ฉินจิ้นให้ฉินอินไปมาหาสู่กับถังเสี่ยวซีตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ บางทีความสัมพันธ์ของฉินอินและถังเสี่ยวซีสามารถรักษาความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของเมืองหลันเยี่ยนและเมืองมู่อวี่ได้กระมัง

ครุ่นคิดอยู่นาน จักรพรรดิไม้ใกล้ฝั่งผู้นี้ก็ลุกขึ้น ปลดม่านลงพักผ่อนไป

……

คืนนี้หลินมู่อวี่แทบจะไม่ได้นอน เขาเตรียมตัวรับมือกับศัตรูที่อาจจะบุกโจมตีเข้ามาตลอดเวลา แต่หลังจากนักฆ่านั่นแล้วก็ไม่มีผู้ใดมายุ่งกับตนอีก เขาจึงฝึกทักษะหลอมกระดูกไปครั้งแล้วครั้งเล่า คืนหนึ่งโคจรไปเจ็ดสิบสองรอบได้หลายครั้ง ความร้ายกาจของปราณยุทธ์แข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย

เมื่อแสงแห่งรุ่งอรุณสาดกระทบเข้าที่ผนัง เขาถึงได้รู้ว่าฟ้าสว่างแล้ว

จึงกินอาหารแห้งไปเล็กน้อยแล้วกอดกระบี่หลับไป

เป็นอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า กลางวันนอนหลับ กลางคืนนั่งฝึกพลัง

……

พริบตาเดียวก็ผ่านไปสามวัน เขาไม่ถูกลอบโจมตีอีก แต่ก็ยังมีอีกปัญหาที่กวนใจเขาอยู่ ศพวานรหินตรงหน้าเริ่มส่งกลิ่นเหม็นจางๆ แล้ว เกรงว่าหากปล่อยทิ้งไว้แบบนี้คงจะเน่าในไม่ช้า ถึงตอนนั้นถ้าเกิดโรคระบาดขึ้นมาก็คงต้องโทษตนเอง คิดไปคิดมาคงต้องกำจัดศพพวกนี้ทิ้งเสียแล้ว

หลินมู่อวี่จับขาของนักฆ่า ลากศพนักฆ่าไปทางบันไดทีละก้าว นักฆ่าตายแล้ว หัวกระแทกบันไดเสียงดังปึงปัง คงไม่รู้สึกเจ็บปวดหรอก

เขาปล่อยทักษะชีพจรวิญญาณออกมา ใช้ฌาณสัมผัสให้ขึ้นไปที่ชั้นสอง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกถึงศัตรู จึงเดินตรงขึ้นไปชั้นสอง แต่ภาพตรงหน้าทำให้หลินมู่อวี่ถึงกับนิ่งอึ้ง ที่ชั้นสองเต็มไปด้วยโครงกระดูก กองกระดูกสีขาวกองโตอยู่ตรงนั้น ไม่ต้องคิดเลยว่า พวกคนก่อนหน้าที่ถูกส่งเข้ามาในเจดีย์ทงเทียนก็ใช่ว่าจะถูกสังหารในทันที หลายคนก็เหมือนกับตนที่มาจัดการศพที่นี่ และสุดท้าย…ตนเองก็กลายเป็นศพอยู่ในนั้นด้วย

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้หลินมู่อวี่ก็อดสั่นสะท้านไม่ได้ พูดกับตนเอง “ท่านโซระ อาโออิ ฮาตาโนะ ยูอิ ท่านโอคิตะ อันริและท่านอาจารย์อื่นๆ ที่เคารพ โปรดคุ้มครองข้าด้วย อย่าให้ข้ามาตายอยู่ที่นี่เลย…”