เด็กผู้หญิงที่โตขึ้นมาหน่อยต้องทำงานทุกอย่างที่ทำได้
บางคนไปที่นา ช่วยท่านลุงซ่งทำนา ใช่แล้ว ท่านลุงซ่ง (ซ่งหลี่เจิ้ง) กับท่านตาซ่ง (ลุงใหญ่ของซ่งฝูเซิง) พวกเขาปลูกกระเทียมเหลืองสี่ร้อยจินเสร็จแล้วจึงนั่งพักสักครู่ จากนั้นรีบไปที่นาแปลงที่สามเพื่อไถนาปรับหน้าดิน
ในขณะนี้ยังไม่ต้องซื้อข้าวเพิ่ม ในความเป็นจริงแล้ว ข้าวสารไม่ขัดสียังจะต้องซื้อเพิ่มอีกหลายพันจิน แต่ถ้าพวกเขากินข้าวสารขัดสีทุกๆ วันจะมีชีวิตผ่านไปได้อย่างไร ท่านลุงซ่งคิดในใจ ถ้ากินอย่างนั้นทุกวันคงไม่รอด
แต่ตอนนี้สะพานพังลงไปแล้ว จึงไม่รีบร้อนซื้อข้าวในตอนนี้ เพราะเวลาขนกลับมานั้นช่างยากลำบาก
ดังนั้นพวกเขาจึงส่งรถเข็นออกไปเจ็ดคัน ออกไปซื้อของที่จำเป็นต้องใช้ก่อน เช่น เกลือหยาบ เกลือละเอียด ถ้าเงินในกระเป๋ายังเหลือ ให้ซื้อเกลือเพิ่ม ป้องกันการขาดแคลนเกลือ วันนี้นอกจากซื้อเกลือแล้วยังต้องซื้อกระเทียมเพิ่ม รถเข็นเจ็ดคันคงใส่ของเต็มพอดี
แต่ก่อนที่กระเทียมจะถูกซื้อกลับมาจะต้องปรับดินในห้องใต้ดินเรียบร้อยก่อน
นอกจากนี้ ยังมีผู้หญิงวัยกลางคนที่ถักเสื่อหญ้าไม่ได้หยุด เพราะเตียงเตาทุกบ้านต้องใช้เสื่อหญ้าปูข้างบน ไม่อย่างนั้นเตียงเตาไม่รู้จะปูด้วยอะไร ลุงสามบอกว่าหลังคาเพิงยังต้องใช้เสื่อหญ้าคลุมไว้สามชั้น ต่อไปจะต้องมุงหลังคาด้วยเสื่อหญ้าอีก ฉะนั้นจึงต้องใช้ในจำนวนมากมาย พวกเจ้าต้องช่วยกันถักให้ได้เยอะๆ
คนที่เฝ้าพวกผู้หญิงถักเสื่อหญ้าเป็นซ่งอิ๋นเฟิ่ง
ซ่งอิ๋นเฟิ่งนั่งบนเสื่อหญ้า ในมือถือเข็มถัก ผ้าดิบ นุ่นฝ้าย กำลังทำเสื้อคลุมให้หมี่โซ่ว
ทำเสร็จแล้ว ยังต้องทำเหมือนกันอีกตัวให้กับซ่งจินเป่า ทำเสื้อผ้าฝ้ายให้หลานคนรอง ทำรองเท้าฝ้ายให้น้องสามและให้พี่ชายคนโตซ่งฝูไฉ ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ท่านย่าหม่าเป็นคนสั่งงานไว้
ฝ้ายที่ใช้ทำเสื้อเป็นของซ่งฝูเซิง เพิ่งซื้อกลับมาเมื่อวาน ฝ้ายสิบจินนั่นเป็นของใหม่ทั้งหมด
วันที่เขานำฝ้ายใหม่กลับมาถึงบ้าน ผู้หญิงทุกคนในหมู่บ้านพากันอิจฉาตาร้อนกับของหายากนี้
ถ้ารู้ว่าภาคเหนือไม่มีฝ้าย ผ้าฝ้ายราคาแพงมาก ดังนั้นซ่งอิ๋นเฟิ่งแบ่งฝ้ายออกเป็นสี่ส่วนเพราะนางต้องการประหยัดและยังทำร้องเท้าให้ท่านย่าหม่าและแม่สามี ท่านยายเถียน อีกคนละคู่ หากเท้าเย็นร่างกายก็จะเย็นไปด้วย เช่นนั้นข้างบนร่างกายจะใส่เสื้อหนาขนาดไหนก็ไม่มีประโยชน์
ภายในหมู่บ้านมีคนเดินทางไป-กลับไม่ขาดสาย
มีกลุ่มเด็กวิ่งไปมา
ต้าหลังกับเกาเถี่ยโถวช่วยกันเข็นดินขนกลับมา ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อหนึ่งเที่ยว และยังมีผู้ชายร่างกายกำยำที่บนเนื้อตัวเต็มไปด้วยเหงื่ออีกสี่สิบกว่าคน ตั้งแถวแบกท่อนซุงจากภูเขากลับลงมา
ทุกรอบที่แบกไม้กลับมาถึงบ้านบรรยากาศจะคึกคักขึ้น จะต้องรีบหาน้ำอุ่นให้คนที่ทำงานใช้แรงเยอะได้ดื่ม
เฉียนเพ่ยอิงไม่ดูอะไร นางดูแลเฉพาะซื่อจ้วง และในสายตาของเฉียนเพ่ยอิง พละกำลังของผู้ชายร่างกายกำยำพวกนั้นสามคน ยังสู้แรงของซื่อจ้วง คนของบ้านนางคนเดียวไม่ได้
พวกเจ้าดู พวกเจ้าดู ไม้ท่อนซุงหนึ่งท่อน คนอื่นจะต้องแบ่งกันสองคนเดินลงจากเขา แต่ซื่อจ้วงของนางแบกเพียงคนเดียว เดินนำมาเป็นคนแรกเห็นแต่ไกลๆ พวกเราก็ไม่รู้ว่าเขาทำได้อย่างไร
เฉียนเพ่ยอิงยิ่งชื่นชอบเด็กคนนี้ ซื่อจ้วง ชอบถึงขนาดไหนหรือ นอกจากจะส่งน้ำ ส่งผ้าเช็ดเหงื่อ นางจะจ้องไปที่ซื่อจ้วงเวลานั่งพักให้หายเหนื่อย วันนี้ไม่รู้เป็นอย่างไร มีเรื่องให้คิดเยอะ
เฉียนเพ่ยอิงคิดว่า
ถ้าต้องอยู่ในห้วงเวลาของอดีตตลอดชีวิต ลูกสาวของนางจะต้องหาคู่ครอง
ไม่ต้องบอกว่าไม่อยากหา เพราะลูกสาวเป็นหญิงสูงอายุ อาศัยอยู่ในบ้านคนเดียวคงเป็นไปไม่ได้
ในสมัยปัจจุบันก็เป็นเช่นนี้ ผู้หญิงเมื่อถึงอายุออกเรือนต้องหาคู่ครอง ไม่อย่างนั้นต้องถูกนินทา ไม่ต้องพูดถึงในอดีต ในตอนนี้แค่น้ำลายที่ออกจากปากคนที่นินทาก็เพียงพอทำให้ลูกสาวของนางจมน้ำลายตายได้
ดังนั้น คนในสมัยโบราณแต่งงานเร็ว เมื่อถึงเวลาออกเรือน ไม่รู้จะหาคู่ครองให้ลูกสาวอย่างไร เฉียนเพ่ยอิงคิดในใจ จะต้องหาคนอย่างซื่อจ้วงนี่แหละ
ถ้าให้ดีต้องเป็นลูกเขยบ้านนาง ถึงแม้เด็กคนนี้จะจนก็ไม่ต้องกลัว เมื่อถึงตอนนั้น หากเด็กทั้งสองคนไม่มีเงินกินเงินใช้ นางกับเหล่าซ่งจะเป็นคนส่งให้ ขาดเหลืออะไรก็จะใช้เงินซื้อสิ่งนั้นให้ทั้งหมด
นางจึงไม่ได้ต้องการว่าที่ลูกเขยที่มีฐานะ นางต้องการเพียงแค่ หากมีงานที่ลูกสาวต้องออกแรงทำ ลูกเขยต้องช่วยทำได้ทั้งหมด ลูกสาวของนาง เมื่อถึงตอนนั้นหากนั่งกินนอนกินบนเตียงเตาโดยไม่ถูกคนติฉินนินทาก็เพียงพอแล้ว
นอกจากนี้ เด็กหนุ่มจะต้องมีรูปร่างหน้าตาดี ถึงจะจนก็ต้องหน้าตาดี ไม่อย่างนั้นจะต้องการเจ้าไปทำไม ใช่หรือไม่ รูปร่างหน้าตาดีแล้วจะต้องสูงโปร่ง จะได้ไม่มีผลต่อทายาทรุ่นต่อไป และยังต้องดูแลลูกสาวของนางให้ดี ไม่หาภรรยาเพิ่มอีกคน ถ้าได้ลูกเขยแบบนี้คงดีที่สุดแล้ว
เฉียนเพ่ยอิงยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่า ลูกเขยที่นางต้องการในอนาคตต้องเป็นซื่อจ้วงคนนี้
น่าเสียดาย เฮ้อ…เสียดาย ซื่อจ้วงพูดไม่ได้ เพราะข้อนี้เขาถึงต้องถูกคัดออก มิเช่นนั้นคงเป็นซื่อจ้วงไปแล้ว
เฉียนเพ่ยอิงแค่คิดในใจ ยังไม่พูดถึงซ่งฝูเซิงกับซ่งฝูหลิงจะตกลงหรือไม่ ถ้าซื่อจ้วงรู้ คนแรกที่ปฏิเสธก็คือตัวเขานั่นเอง
เพราะเขาคิดว่า ข้อหนึ่ง ซ่งฝูหลิงเป็นพี่สาว ฐานะสูงส่ง ไม่กล้าคิด ไม่กล้าอาจเอื้อม เป็นไปไม่ได้ ข้อสอง ถึงแม้ทุกคนจะบอกว่า จะสามารถยกฐานะของตนเองได้ เขาก็ไม่ยินยอมเพราะว่าไม่ชอบ
ใช่แล้ว เขาไม่ชอบแบบซ่งฝูหลิง
ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์อพยพลี้ภัย ซื่อจ้วงได้วางแผนถึงภรรยาอนาคตไว้แล้ว
ในความคิดของเขา ผู้หญิงต้องมีน้ำหนักหนึ่งร้อยยี่สิบจินขึ้นไป รูปร่างอวบ
เขาค่อนข้างชอบผู้หญิงรูปร่างอวบไปถึงอ้วน ถ้าอ้วนถึงหนึ่งร้อยสามสิบจินยิ่งดี สะโพก บั้นท้ายกลมได้ทรงสวยงาม แบบนั้นถึงเรียกว่าเซ็กซี่น่าสนใจ
ซื่อจ้วงและพวกแบกท่อนซุงลงมารอบที่สองเสร็จแล้ว กำลังกลับขึ้นไปบนภูเขาอีกรอบ ทุกคนที่อยู่หน้าบ้านหลังคามุงจากกำลังวุ่นวายกับการทำงานที่อยู่ในมือ
นอกจากบรรยากาศที่ทุกคนกำลังยุ่งวุ่นวายแล้ว ยังมีผู้หญิงวัยกลางคนสิบกว่าคนนั่งบนเสื่อถักในโรงอาหาร ข้างหน้าเป็นเขียงไม้สำหรับทำอาหารขนาดใหญ่ ข้างล่างที่เท้าของทุกคนมีตระกร้าหัวผักกาดวางไว้คนละหนึ่งใบ
ในมือผู้หญิงทั้งสิบคนข้างหนึ่งถือมีดทำอาหารกำลังหั่นหัวผักกาดเป็นเส้นสำหรับการดองเค็ม เสียงหั่นดัง ฉับ ฉับ ฉับ
เสียงหั่นผัก เฉียบขาดและแข็งแรง
ทางด้านหลัง มีบ้านที่มุงด้วยจากสามหลังกำลังก่อเตียงเตา ตอนนี้เตียงเตาที่ก่อเสร็จแล้วกำลังก่อไฟขึ้น เตียงเตาทุกอันถูกทาด้วยดินเหนียว ด้านนอกของดินเหนียวใช้ไม้แผ่นกวาดให้เรียบเนียน จับดูจะรู้ถึงความเรียบและลื่น บนเตียงเตามีไอความร้อนจากไฟปะทุขึ้นมา
เมื่อเดินเข้าไปในห้อง จมูกจะได้กลิ่นดินเผามาแต่ไกล
เตียงเตาใหม่จะมีดินเหนียวที่ฉาบไว้ด้านนอกเป็นดินใหม่ คนที่ไม่ชอบกลิ่นแบบนี้จะรู้สึกเหมือนสำลักควัน คนที่ชอบกลิ่นแบบนี้จะรู้สึกว่าหอมจนอยากเข้าไปอยู่ใกล้ๆ แม้กระทั่งเข้าไปนั่งดมอยู่ข้างในห้องให้เพียงพอ
ซ่งฝูหลิงเป็นประเภทที่ชอบดมกลิ่นกลิ่นนี้ แต่หมี่โซ่วไม่ชอบกลิ่นแบบนี้
เด็กน้อยเหม็นจนต้องย่นจมูกแล้วพูดด้วยเสียงอู้อี้ “พี่สาว กลิ่นไม่ค่อยดี พวกเราออกไปจากที่นี่เถอะ”
ซ่งฝูเซิงเพิ่งขนโอ่งกลับมาส่ง ได้ยินผู้หญิงวัยกลางคนกำลังพูดเรื่องที่ลูกสาวของเขาชอบดมกลิ่นเตียงเตาไหม้ พากันหัวเราะ เขาแอบถอนหายใจเบาๆ
คล้ายกับว่าเขาเป็นพ่อที่ไม่ผ่านการทดสอบในการเลี้ยงลูกสาว
ร่างกายลูกสาวน่าจะขาดสารอะไรสักอย่าง เหมือนขาดธาตุเหล็ก โซเดียม ซิงก์ ประเภทนี้ ช่างเถอะ ของสิ่งนี้จะพูดยังไงก็คงไม่มีคนเข้าใจ
เหมือนกับร่างกายภายในขาดสารอะไรสักอย่าง เช่น คนที่ชอบดมกลิ่นควันมอเตอร์ไซค์มอเตอร์ไซค์วิ่งไปไกลแล้วยังนั่งยองๆ ดมกลิ่นควัน หรือว่าชอบดมกลิ่นน้ำมัน เป็นต้น ลักษณะแบบนี้คือร่างกายขาดสารเคมีอะไรสักอย่าง
ในยุคปีห้าศูนย์ถึงหกศูนย์ ในยุคปีหกศูนย์ถึงเจ็ดศูนย์ คนลักษณะแบบนี้ค่อนข้างเยอะ และค่อนข้างเป็นที่ประจักษ์ว่าร่างกายขาดธาตุอาหาร ตอนเป็นเด็กซ่งฝูเซิงก็ชอบกินดินที่ใช้ฉาบกำแพง ชอบกินจนใช้มือแคะเป็นรูโบ๋ เพราะตอนนั้นพวกเขาไม่มีอะไรจะกิน ร่างกายจึงขาดสารอาหาร
ดังนั้น ในยุคโบราณ จากสิ่งที่ซ่งฝูเซิงเห็น ร่างกายพั่งยาจะต้องขาดสิ่งใดสักอย่างในอาหารการกิน เหมือนกับหมี่โซ่วของเขาซึ่งร่างกายไม่ขาดสารอาหารอะไร ในเวลาสองเดือนมานี้เขาพาหมี่โซ่วลำบากจนแทบไม่ไหว แต่พื้นฐานร่างกายแข็งแรง ได้รับสารอาหารครบถ้วน
ซ่งฝูเซิงเริ่มคิดพิจารณาในใจ เขาจะต้องซื้อนมวัว
ต้องให้ลูกสาวได้กินดี จะต้องเริ่มบำรุงร่างกายของลูกสาวขึ้นมา
วิตามินต่างๆ ในพื้นที่พิเศษต้องบังคับให้ลูกสาวกับภรรยากินทุกวัน ห้ามลืม ถ้ากินครบร่างกายจะเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดี อีกอย่าง ทำไมถึงไม่กิน ใช่หรือไม่ สิ่งที่ได้ประโยชน์จากพื้นที่พิเศษเราต้องรีบคว้าไว้
นอกจากนี้ เงินที่หาได้ จะซื้อน้ำนมสดให้ลูกสาวกับหมี่โซ่วดื่มเช้า-เย็นวันละครั้ง เสร็จแล้วต้องคลุมหลังคาเพิงเพื่อปลูกพริก ห้องใต้ดินปลูกกระเทียมเหลือง เพิ่มด้วยเก็บผักกาดขาวสดไว้กินในฤดูหนาว ทั้งหมดนี้เป็นผักสด ต่อไปจะต้องผัดให้ลูกสาวกินทุกวัน
ความจริงแล้ว ถั่วเมล็ดสนเขาไม่ควรขายจนหมด เขารู้สึกเสียดาย ของพวกนั้นเป็นธัญพืช แต่ช่างเถอะ รอให้เขาไปอำเภอคราวหน้าจะซื้อเมล็ดอัลมอนด์ วอลนัท และยังซื้อเมล็ดงาให้ลูกสาวกับหมี่โซ่ว ดูผมเปียสองข้างของลูกสาวสิ แห้งแตกปลายจนไม่ดูไม่ได้ ผมเหลือง ไม่มีน้ำหนักเหมือนคนขาดสารอาหาร ถึงตอนนั้นจะต้องต้มนมสดให้ลูกสาวได้ดื่ม และยังบำรุงหมี่โซ่วที่ร่างกายซูบผอม หากต่อไปร่างกายไม่เจริญเติบโตก็ไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร
ตอนนี้ทุกคนกินข้าวหม้อเดียวกัน บ้านที่ไม่มีเงินต้องกินเหมือนกัน
ครอบครัวเขามีเงิน อยากทำอาหารเองและไม่ต้องกินจากกองกลาง รอให้ทำเตาและเก็บของภายในบ้านเสร็จเรียบร้อย บ้านเขาจะทำอาหารเอง ไม่กินอาหารร่วมกับคนอื่นแล้ว
ซ่งฝูเซิงคิดดีแล้ว ถึงแม้จะเสียเปรียบ ไม่ได้ส่วนแบ่งข้าวสารบรรเทาทุกข์ก็ต้องให้คนในครอบครัวได้กินดีอยู่ดี
ทำงานหาเงินแทบตายเพื่อจุดประสงค์อะไร ก็เพื่อให้ลูกไม่ได้รับความลำบากไม่ใช่หรือ
ซ่งฝูหลิงหารู้ไม่ว่า การที่นางชอบดมกลิ่นดินเหนียวไหม้ ทำให้พ่อของนางใจสลายมากขนาดไหนแล้ว
เฉียนเพ่ยอิงตะโกนเรียกลูกสาว “เจ้าจะเรียนทำผักดองหรือไม่ เมื่อครู่บอกว่าจะช่วยทำผักดอง มองมาอีกทีแม้แต่เงาก็หาไม่เจอ”
“เรียน ท่านแม่ข้าจะเรียน” ซ่งฝูหลิงวิ่งมาแต่ไกล
ท่านย่าหม่าสีหน้าไม่พอใจพร้อมกวักมือเรียก “พั่งยา เจ้าจะดูวิธีทำผักดองไม่ใช่หรือ? เจ้าจะเรียนทำผักดองไหม?”
หลังท่านย่าหม่าตะโกนออกไปก็หันมาบ่นกับท่านยายหวัง “เด็กสาวโตขนาดนี้ทำอะไรก็ไม่เป็น ไม่รู้ตะกูลเฉียนวันๆ สั่งสอนอะไร ถ้าต่อไปออกเรือนจะทำอย่างไร หากครอบครัวอีกฝั่งเห็นนางทำอะไรก็ไม่เป็น คงส่งกลับมาคืนไม่รับเกี่ยวดองในครั้งนี้”
ท่านยายหวังไม่รอคำตอบกลับ ป้าใหญ่ของซ่งฝูเซิงพูดขึ้นว่า
ท่านป้าใหญ่บอกว่า “พวกเราคนข้างในรู้ว่าพั่งยาทำอะไรก็ไม่เป็น แต่จะมีใครกล้าพูดออกไป เจ้าก็ห้ามพูดออกไปนะ ถ้าเจ้าไม่พูดออกไป ตอนที่หาคู่จะมีคนรู้ได้อย่างไร เมื่อแต่งออกไปแล้วอีกฝั่งก็ต้องรับให้ได้
ทำไมประโยคนี้ฟังแล้วรู้สึกแปลกๆ
ท่านย่าหม่ารู้สึกอยากจะทะเลาะกับพี่สะใภ้ใหญ่ของนาง