ท่านยายหวังเป็นคนหูตาไว มองแว่บเดียวก็รู้ว่าสีหน้าท่านย่าหม่าเปลี่ยนไป จึงรีบสอดขึ้นมา “ใครจะรังเกียจ ยังมีคนรังเกียจพั่งยาของพวกเราอีกหรือ พั่งยาของพวกเราไม่ใช่จะแต่งงานกับใครสุ่มสี่สุ่มห้าได้ ต้องดูว่าคนนั้นจะเหมาะสมกับพั่งยาหรือไม่? ใช่ไหมพี่กัว?”

ณ เวลาสำคัญ อย่าลืมหาคนในระดับเดียวกัน

ท่านยายกัวเห็นด้วยอย่างยิ่ง นางถือมีดหั่นผักอยู่ห่างสองคนออกไป นางหันหน้ากลับมา

มองท่านยายกัว “เป็นอย่างนั่นแหละ เพราะฝูเซิงเป็นพ่อของพั่งยา จะมีใครมีวาสนาได้ฝูเซิงเป็นพ่อตาล่ะ ใครที่ได้เกี่ยวดองกับคนอย่างนี้ ช่างมีบุญเหลือเกิน”

“ไม่ใช่” ท่านยายหวังไม่พอใจที่ท่านยายกัวตอบกลับ รู้สึกว่าคำพูดไม่เชื่อมโยงกัน ไม่เหมือนกับสิ่งที่นางคิดสักนิด

ฝูเซิงเข้ามาเกี่ยวข้องอะไร ต้องดูที่ข้อดีของพั่งยาแล้วค่อยหาคู่ครอง คำพูดนี้ ทำให้พี่สาวหม่าค่อยโล่งใจ

นางทำได้แค่สอดคำเข้ามา

“ความหมายของข้าคือ ทำนา ปลูกผัก หั่นผัก ทำผักดอง ให้อาหารหมู ทั้งหมดนี้ใครก็ทำเป็น มีผู้หญิงคนไหนทำไม่ได้บ้าง”

คนในหมู่บ้านชนบท เจ้าไปหาที่ไหนก็ได้

ทำงานพวกนี้ได้แล้วมีประโยชน์อย่างไร พั่งยาของพวกเรายังสามารถกรองน้ำได้ เด็กผู้หญิงในชนบท ต่อให้เจ้าไปควานหาที่ใดก็ไม่มีใครสามารถกรองน้ำได้

พั่งยาของพวกเราสามารถนำดินปืนที่ใช้ในเล้าหมูใส่ลงในน้ำ สักครู่น้ำก็เดือด ปุด ปุด มีเด็กผู้หญิงวัยรุ่นที่ไหนเข้าใจเรื่องนี้ แค่ได้ยินก็คงไม่เคยได้ยินมาก่อน

ถ้าไม่มีพั่งยาสอนใช้น้ำร้อนสาดคนร้าย เด็กหนุ่มหลายคนที่ถูกปล้นระหว่างทางคงถูกคนใช้มีดแทงตายแล้ว

ครั้งนี้ ท่านยายกัวฟังเข้าใจแล้ว รีบเข้ามาชมต่อ “ใช่ๆ พั่งยายังใช้ดินปืนเทลงไปในขวด เสียงบึ้ม…ปั้ง…กลายเป็นระเบิด แล้วทำให้พวกที่จะเข้ามาปล้นกลัวจนเผ่นหนีไป ในตอนนั้นถ้าไม่ใช่พั่งยาเป็นคนคิดวิธีนี้ จะทำให้ท่านแม่ทัพเล็กสนใจหรือ”

“ดึงดูดความสนใจ?” ท่านย่าหม่าขมวดคิ้ว

“ไม่ถูก” ท่านยายกัว ใช้มือตบปากตัวเอง “ดู…ปากของข้าพูดอะไรออกไป ไม่ใช่ดึงดูด

ความสนใจ สร้างความสนใจ ไม่ใช่ ไม่ใช่สร้างความสนใจ เป็นที่น่าสนใจ ใช่แล้ว น่าสนใจ!”

สะใภ้ใหญ่ของซ่งหลี่เจิ้งหัวเราะออกมา พยักหน้าแล้วพูดต่อ

“ข้อนี้พูดถูก พวกเราเห็นด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะพั่งยาของพวกเราสร้างความน่าสนใจให้กับแม่ทัพเล็ก พวกเราคงไม่มีวันดีๆ แบบนี้…

…ถ้าพวกเราได้เป็นครอบครัวของทหาร ชีวิตต้องลำบากกว่านี้อีกมาก ทุกคนคงไม่ได้อยู่

รวมกัน…

…ถ้าไม่มีพั่งยากับหมี่โซ่วสร้างความสนใจ พวกเราก็คงไม่รู้จักท่านแม่ทัพเล็ก ชีวิต

ข้างหน้าไม่ต้องพูดถึง แม้แต่ข้าวสารบรรเทาทุกข์ก็เอากลับมาไม่ได้…

…ไม่แปลกใจ พ่อตาข้าบอกว่า พั่งยาเป็นเด็กฉลาด พวกเจ้าดูเกาถูฮู่ เหล่าเกาพูดถึงพั่งยาว่าอย่างไร”

ท่านย่าหม่าซ่อนรอยยิ้มไว้ไม่อยู่ “เขาพูดกันว่าอย่างไรหรือ?”

“เหล่าเกาพูดอยู่ทุกวัน พั่งยาของพวกท่านเป็นคนมีบุญ”

“คนมีบุญที่สุด มาแล้วววว” ท่านป้าหวังพูดพร้อมหัวเราะออกมา ขณะเดียวกันซ่งฝู

หลิงวิ่งมาพอดี

ซ่งฝูหลิงมองหน้าทุกคนแบบงงๆ บรรยากาศไม่ปกติ ทำไมทุกคนจึงมีสีหน้าและแววตา

อมยิ้ม

แต่นางไม่ได้สนใจ ถามก็ไม่ถามสักคำ ในสายตาของซ่งฝูหลิง ผู้หญิงวัยกลางคนทำงานเก่ง ปากพูด มือทำงานจนถึงค่ำ ซึ่งนางไม่สนใจหัวข้อสนทนาพวกนี้

ซ่งฝูหลิงนั่งยองๆ ข้างท่านย่าหม่า

แต่ก่อนท่านย่าหม่าไม่ค่อยชอบใจหลานสาวเพราะนางทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ต่อไปจะหาคู่ครองลำบาก

ตอนนี้ซ่งฝูหลิงมองท่านย่าหม่าด้วยสายตาสงสัย “แค่วางเส้นผักกาดขาวลงในอ่างแล้วโรยด้วยเกลือหยาบข้างบน ใช้สองมือขยำให้เกลือละลาย อย่างนี้เรียกว่าดองแล้วหรือ ไม่ต้องใส่อย่างอื่นหรือ ดองเสร็จแล้วใช่หรือไม่ แล้วรอกี่วันถึงกินได้”

ท่านย่าหม่าบอกว่า “อาาา ดองเค็มเสร็จแล้ว เจ้าคิดว่ายังต้องทำอย่างไร?”

เสร็จเรียบร้อยแล้ว เป็นงานที่ไม่มีเทคนิคอะไรเลย แค่มองก็ทำได้

ซ่งฝูหลิงรู้สึกว่าไม่น่าสนใจ ไม่เหมือนที่ท่านพ่อบอกไว้ พ่อของนางบอกว่าต้องใช้ผักกาดขาวหั่นบางๆ ทำเป็นดอกไม้ พอถึงวันวาเลนไทน์จะส่งให้นาง และยังบอกนางว่าอย่าไปสนใจเด็กหนุ่มที่ให้ดอกกุหลาบ

ดังนั้นนางจึงรีบยืนขึ้น แล้ววิ่งกลับไปหาเฉียนเพ่ยอิง ไปเรียนทำผักดอง

และยังบอกท่านแม่ว่า “ท่านต้องสอนข้าอย่างละเอียดเลย อย่าให้เหมือนกับท่านย่า

สอน”

แต่ก่อนเฉียนเพ่ยอิง ในยุคปัจจุบัน ขณะที่ซ่งฝูหลิงกำลังเรียนมัธยม นางจะทำผักดองทุก

ปี คนภาคตะวันออกเฉียงเหนือมักทำเกี๊ยวไส้ผักดอง ไส้ผักดองกับเนื้อบด ผักดองตุ๋นกระดูกหมู ผักดองผัดเส้นใหญ่ ฯลฯ หลากหลายเมนูของอาหารหนีไม่พ้นผักดอง หน้าหนาวต้องกินเป็นประจำ

ต่อมาเมื่อซ่งฝูหลิงเรียนมหาวิทยาลัย จะต้องอยู่ในหอพักนักศึกษาตลอดห้าวัน เสาร์อาทิตย์ หยุดสองวันถึงจะกลับบ้านหนึ่งครั้ง เฉียนเพ่ยอิงขี้เกียจจึงไม่ทำผักดองแล้ว หากนางอยากกินจะอาศัยซื้อจากโรงอาหารที่ทำงาน และไม่ทำผักดองในบ้านอีกแล้ว

แต่ตามความเป็นจริงแล้ว ซ่งฝูหลิงเห็นท่านแม่ทำผักดองไม่กี่ครั้ง เพราะขณะที่นางเรียน

มัธยมปลาย เมื่ออยู่ที่บ้านเวลาส่วนมากมักจะหมดไปกับอ่านหนังสือ ทำการบ้าน

หนังสือที่อ่านบางครั้งจะไม่ใช่หนังสือเรียน แต่ว่าในมือจะถือหนังสือตลอด พวกเขาไม่ให้ลูกสาวทำอะไรเลย ส่วนงานในครัว เวลาทำอาหารก็มักจะปิดประตูไว้อย่างหนาแน่น เพราะกลัวว่าเสียงผัดอาหารจะรบกวนลูกสาวอ่านหนังสือ

ถึงแม้ไม่ได้อ่านหนังสือ นางก็จะดูจอคอมพิวเตอร์ เล่นเกมอะไรก็ตาม ซ่งฝูเซิงกับเฉียนเพ่ยอิงก็จะไม่เรียกลูกสาวมาช่วยทำงานเหมือนกัน เหตุผลของพวกเขา คือ ลูกเรียนหนังสือไม่ง่าย ให้ผ่อนคลายสมองบ้าง ตอนเรียนก็เรียนหนักเต็มที่แล้ว ยังต้องมาทำงานอะไรอีก ที่บ้านมีตั้งสามคน จะมีงานอะไรมากมายต้องให้ลูกสาวมาทำ

ถึงตอนนี้ เฉียนเพ่ยอิงชำเลืองมองลูกสาว…

จริงๆ แล้ว เฉียนเพ่ยอิงรู้สึกว่าลูกสาวจะเรียนหรือไม่ก็ไม่สำคัญ เพราะยังมีนางกับเหล่าซ่งคอยช่วยเหลือ

เพราะลูกสาวต้องการเรียนให้เป็น “เจ้าดูตามข้า ผักกาดหนึ่งชั้น ตามด้วยเกลือหนึ่งชั้น ในแต่ละชั้นอย่าโรยเกลือเยอะ เพราะเกลือราคาแพง เจ้ารู้หรือไม่ โรยแค่นิดเดียวก็เพียงพอแล้ว”

ซ่งฝูหลิงทำตามแม่ของนาง ใช้มือทาเกลือลงไปในผักกาดขาว นั่งจนขาชา “หลังจากนั้น

ล่ะ”

“หลังจากนั้น ให้นำผักกาดขาวที่เจ้าทาเกลือวางลงในโอ่ง วางให้เป็นชั้นอย่างมีระเบียบ ทำเสร็จแล้วไปหาท่านย่าของเจ้า นำผ้าสะอาดมาวางข้างบนผักดอง แล้วลงไปเหยียบ”

“ลงไปในโอ่งหรือ เหยียบหรือ”

เฉียนเพ่ยอิงพยักหน้า

มัวมองอะไรอยู่ล่ะ ซ่งฝูหลิงถูกพ่อของนางจับยัดลงไปในโอ่งเรียบร้อยแล้ว

ซ่งฝูเซิงยืนหัวเราะลูกสาว “เหยียบเถอะ แบบนี้เรียกว่าเหยียบโอ่ง ต้องเหยียบไปทุกชั้น”

ซ่งฝูหลิงรู้สึกอัศจรรย์ไม่น้อย เริ่มจากค่อยๆ เหยียบ ต่อมารู้สึกสนุก จึงกล้าเหยียบมากขึ้นเหยียบจนผักกาดขาวมีเสียงฉับๆ

อย่าคิดว่างานพวกนี้ทำง่าย เหยียบอย่างไรก็เหยียบไม่ลง

ความจริงแล้ว งานนี้ต้องเป็นผู้ชายร่างกายกำยำลงไปเหยียบ จะได้เหยียบให้แน่นหน่อย

เพราะอย่างนี้ ภายในโอ่งที่เต็มไปด้วยผักกาดขาวโรยเกลือทั้งสองชั้น ซ่งฝูเซิงแล้วให้ลูก

สาวเข้าไปเหยียบ

ต่อมา หมี่โซ่วที่ยืนมองอยู่อย่างสงสัย ซ่งฝูเซิงเห็นดังนั้น จึงจับหมี่โซ่วลงไปในโอ่งอีกคน

ภายในโอ่งเปลี่ยนเป็นพี่สาวกับน้องชายสองคนจับมือหัวเราะอย่างมีความสุข เหยียบผักอยู่ในโอ่ง

ท่านย่าหม่าเพียงแค่ได้ยินเสียงหัวเราะของพั่งยา สีหน้าก็เรียบเฉย และทุกครั้งที่พั่งยาหัวเราะออกมา นางก็จะแอบถอนหายใจเบาๆ

สุดท้ายโอ่งที่เต็มไปด้วยผักกาดขาวชั้นบนสุด จะโรยด้วยเกลืออีกชั้นหนึ่ง ต่อด้วยการหาผักกาดขาวที่ใบแก่จัดวางทับอีกชั้น เพื่อไม่ให้ผักกาดที่ดีโดนอากาศจึงต้องคลุมไว้

ซ่งฝูเซิงแบกหินขนาดใหญ่วางด้านบนตรงกลางโอ่งเพื่อกดทับผักกาดพวกนั้น ซ่งฝูหลิงนำเอาฝาโอ่งจากลุงสองมาปิด ฝาปิดโอ่งที่ลุงสองทำเป็นงานละเอียดมาก ขนาดพอเหมาะพอเจาะกับปากโอ่ง แค่วางปิดก็เรียบร้อยแล้ว

“ท่านแม่ เมื่อไหร่จะกินได้”

“หลังจากนี้สองวันให้เติมน้ำลงไปในโอ่งจนถึงระดับปากโอ่ง ถ้าพบว่าน้ำในโอ่งลดลง ต้องเติมเรื่อยๆ หลังจากนี้หนึ่งเดือน ให้นำผักกาดใบแก่ทิ้งไป ก็สามารถกินผักดองได้แล้ว ผักดองต้องดองให้ครบเดือน ถ้ายังไม่ครบเดือนจะกินไม่ได้ จำได้หรือไม่”

ซ่งฝูหลิงยังไม่ได้ตอบคำถาม เฉียนหมี่โซ่วหันมองไปที่เฉียนเพ่ยอิง แล้วบอกว่า “ท่านป้า

ข้าจำได้แล้ว”