ไม่มีใครคาดถึงว่า เมื่อได้ฟังคำพูดของหมี่โซ่วแล้ว เหอซื่อพี่สะใภ้ใหญ่ของซ่งฝูเซิงจะหยอกล้อเด็กได้
ทุกคนต่างรู้ว่าเหอซื่อยังคงเป็นห่วงพ่อแม่และญาติพี่น้องของนาง ตั้งแต่อพยพลี้ภัยมาใบหน้าของนางก็เศร้าหมอง ทุกคนก็รู้เรื่องนี้ดี
ตอนนี้ใบหน้าของเหอซื่อมีรอยยิ้มแห่งความสุข ไม่เกี่ยวกับการมีข้าวขาวกิน หรือการที่ข้าวไม่ขัดสีจะมีกินเหลือเฟือหรือไม่? จิตใจของนางดีขึ้นมาก
เหอซื่อถามพร้อมรอยยิ้ม “ถ้าเช่นนั้นเจ้าลองบอกกับทุกคนสิว่าควรจะดองอย่างไร?”
เฉียนหมี่โซ่วพูดออกมาอีกหนึ่งรอบ ไม่มีคำพูดใดตกหล่น
เฉียนเพ่ยอิงบอกข้อมูลกับซ่งฝูหลิงไว้มากน้อยแค่ไหน หมี่โซ่วก็สามารถจดจำได้ทั้งหมด
เสียงสดใสของเด็กน้อยฟังรื่นหู ทำให้ทุกคนหัวเราะอย่างอารมณ์ดี แม้กระทั่งท่านย่าหม่าก็ยิ้มจนตาหรี่ นางหั่นหัวไชเท้าด้วยรอยยิ้มพลางคิดในใจ
สุดท้ายพั่งยาจะมีคู่ครองเป็นแบบไหนก็ไม่มีใครรู้ จะรู้สึกรังเกียจพั่งยาหรือไม่นั้นก็ไม่อาจรู้ได้ แต่นางรู้ว่าหากลูกสาวบ้านไหนแต่งงานกับหมี่โซ่ว คงจะต้องมีความสุขมากแน่นอน เด็กคนนี้แม้แต่การทำผักดองก็สามารถทำได้ ใครที่แต่งเข้ามา จะต้องมีชีวิตสุขสบายแน่นอน
“พี่สาว หมี่โซ่วมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดจริงๆ” ท่านยายหวังใช้แขนแตะตัวท่านย่าหม่า
ท่านย่าหม่าเงยหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “อืม เขาเหมือนกับปู่ของเขา บ้านโน้นไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป”
ซ่งฝูเซิงหัวเราะตาม สักครู่เขาก็เดินจากไป
ทำให้อารมณ์ผ่อนคลายบ้างก็ดีเหมือนกัน
งานในมือของเขามีมากมายและยังต้องไปจัดการ “แปลงปลูกพริก”
แปลงปลูกนั่น แค่สร้างเพิงครอบอย่างเดียวคงไม่พอ
ไม่เหมือนกับห้องใต้ดิน ไม่ต้องรีบร้อนก่อกำแพงไฟห้องในห้องใต้ดินเพราะห้องใต้ดินมีความอบอุ่น รอจนประมาณเดือนสิบสองที่อากาศเริ่มหนาวค่อยเริ่มทำกำแพงไฟ แค่สามารถก่อไฟได้และให้ความร้อนได้ก็เพียงพอแล้ว
แต่ในแปลงปลูกพริกตอนนี้ต้องก่อกำแพงไฟให้เสร็จเพื่อให้ความอบอุ่น เพราะจะต้องรีบปลูกต้นกล้าให้ทันเวลา ในตอนนี้จึงทำเพิง ปลูกต้นกล้า และยุ่งอยู่กับงานต่างๆ ใช้เวลาอีกสองเดือนกว่าสามารถเก็บผลผลิตพริกในรอบแรกได้ก็ถือว่าดีมากแล้ว
สามารถเก็บผลผลิตได้ แต่จะต้องไม่มีอะไรมาทำให้ต้องยืดเวลาออกไป
ซ่งฝูเซิงเรียกคนสิบกว่าคนมา เลือกคนที่มีฝีมือในการทำอิฐดินได้และให้เริ่มไปทำงาน “แปลงปลูก”
คนที่มาทำงานกับเขาหลายคนไม่เข้าใจจึงร้องถาม “พวกเราต้องประหยัดอิฐดินที่ตากแห้งแล้วเพื่อทำเตียงเตาไม่ใช่หรือ?”
ซ่งฝูเซิงพูดกลับมาประโยคเดียว “เจ้ารีบร้อนทำเตียงเตา จะเทียบเท่าความสำคัญกับการเร่งหาเงินได้หรือ?”
คนกลุ่มนี้จึงรีบเริ่มทำงานทันที
ถูกต้อง ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการเร่งหาเงิน
ตอนนี้ก่อเตียงเตาใหม่เสร็จไปสามเตียงแล้ว บวกกับเตียงเตาของเดิมอีกสองเตียง รวมเป็นห้าเตียง วันนี้ก่อไฟเตียงเตาทั้งสามเตียงใหม่ ใช้เวลาทั้งวันแทบไม่หยุด คืนนี้จึงยังจะนอนบนเตียงเตาใหม่ไม่ได้เพราะพรุ่งนี้ยังต้องเผาอีกหนึ่งวัน แต่รอถึงยามฟ้ามืดก็สามารถขึ้นเตียงได้ทั้งห้าเตียงเตาแล้ว พวกผู้หญิงและเด็กๆ อย่างน้อยหากนอนเบียดกันก็น่าจะมีที่เพียงพอ สิ่งสำคัญกว่าคือต้องรีบเร่งหาเงิน
อิฐดินสิบกว่าก้อนทยอยขนไป “แปลงปลูก” หลายเที่ยว
ก่ออะไรหรือ?
ก่อกำแพงไฟ
ซ่งฝูเซิงบอก “ห้องนี้ ตั้งแต่เข้าประตูมาก็เป็นเส้นทางแคบๆ ที่คนสองคนสามารถเดินผ่านไป-มาได้ หลังจากนั้นก็เป็นเตา เริ่มจากปากเตาก่อไปจนถึงกำแพงไฟ ส่วนความสูงของกำแพงไฟ ขอข้าดูอีกที”
ซ่งฝูเซิงมองโดยรอบเพื่อคาดคะเนความสูงและให้ทุกคนก่อกำแพงไฟสูงประมาณเมตรกว่า จากความสูงเอวของเขาขึ้นไป ส่วนความกว้างนั้นก็ก่อให้ยาวไปจนติดกับกำแพงฝั่งตรงข้าม หลังจากนั้นก็ทำช่องตรงมุมฝั่งกำแพงตรงข้าม ด้านนอกบ้านก่อเป็นปล่องไฟ
ทำแบบนี้ ปากเตาก่อไฟก็จะทำให้ความร้อนที่ออกมา สามารถรมกำแพงไฟให้ร้อนขึ้นได้ ช่องกำแพงไฟที่ว่างเปล่าก็จะมีควันลอยออกไปข้างนอกตามปล่องไฟนั้น
ต้องทำกำแพงไฟที่มีความสูงและความกว้างขนาดนี้ เพราะขนาดของ “แปลงพริก” เป็นขนาดพื้นที่เท่ากับพื้นที่ห้าห้องของบ้านเก่า
ถ้าขนาดกำแพงไฟมีพื้นที่ไม่กว้างขวางพอ ภายในห้องไม่ร้อนพอ ก็จะทำให้พริกไม่สามารถเจริญเติบโตได้ เดิมทีพริกเป็นพืชที่มักจะปลูกในหน้าร้อน ถ้าต้องปลูกในหน้าหนาว ก็ควรต้องมีเพิงคลุมไว้และต้องทำให้อุณหภูมิคงความอบอุ่น มิเช่นนั้นต้นพริกจะหนาวละเหี่ยวเฉาตาย
ส่วนซ่งฝูเซิง พักเพียงครึ่งชั่วโมงก็กลับมาหยอกล้อเด็กๆ ดื่มน้ำอุ่นๆ ก่อนจะเริ่มทำงานอีกครั้ง ส่วนทางด้านเฉียนเพ่ยอิงก็กำลังยุ่งกับการทำงานเหมือนกัน
ตอนนี้เฉียนเพ่ยอิงไม่ได้ทำการดองผักแล้ว เพราะการดองผักเป็นงานเบาที่ไม่ต้องใช้แรง นางอยู่ในส่วนคนที่ “ต้องใช้แรงงาน” เมื่อมีงานหนักเข้ามา งานเบาแบบนี้ต้องให้พวกท่านยายทั้งหลายเป็นคนทำแทน ส่วนนางกับพี่สะใภ้สองคนก็ไปทำงานที่หนักขึ้นตามที่ได้รับมอบหมาย
พวกเขาแบกฟักทองแต่ละกระสอบจากริมแม่น้ำมาวางลง
หวังจงอวี้เอาแต่บอกกับทุกคนว่า ฟักทองสี่คันรถใหญ่นี้ใช้เงินไปแค่สี่เหรียญเท่านั้น เขาบอกว่า พี่สุยเพื่อนของซ่งฝูเซิงเป็นญาติกับเขา พวกเขาก็ไม่ต้องขนไปขายทีละจินที่อำเภอถงเหยาแล้ว ดังนั้นจึงให้มาในราคาถูกมาก
พวกผู้หญิงได้ยินดังนั้นก็บอกว่า ไม่แพง ไม่แพงเลย ฟักทองสี่คันรถใหญ่ต้องมีน้ำหนักมากนัก นี่ถือว่าราคาถูกกว่าซื้อผักกาดขาวอยู่มากโข เขาคงเห็นแก่หน้าของฝูเซิง ฝูเซิงที่คบค้าสมาคมกับเพื่อนคนนั้นไม่ได้ไร้ประโยชน์ เพิ่งไปอำเภอถงเหยาเพียงวันเดียวก็มีเพื่อนแท้เสียแล้ว
หลังจากนั้น หวังจงอวี้ก็รีบร้อนเดินจากไป งานของพวกเขาค่อนข้างหนัก ฟักทองมาก มายขนาดนี้ต้องขนขึ้นแพไม้และถ่อแพข้ามแม่น้ำมาทีละเที่ยว เพราะเกรงว่าถ้ามากไปแพจะจม และยังต้องแบกทีละกระสอบกลับมาอีก
เฉียนเพ่ยอิงกับพี่สะใภ้คนโตและพี่สะใภ้คนรองก็มาช่วยกันรับกระสอบฟักทองที่วางอยู่หน้ากระท่อม หนึ่งกระสอบต้องช่วยกันยกสองคน และนำไปวางไว้ปากทางเข้าห้องใต้ดินแต่ละห้อง
จากนั้นค่อยๆ ลงบันไดไปห้องใต้ดินเพื่อนำชั้นวางที่ซ่งฝูสี่ทำเสร็จแล้วมาวางไว้ในห้องใต้ดิน และนำก้อนหินที่ที่เด็กๆ ช่วยกันเก็บกลับมาไว้ในห้องใต้ดินด้วย
เมื่อจัดพื้นที่ห้องใต้ดินเรียบร้อยแล้ว ก็ทยอยขนฟักทองที่อยู่บนปากทางเข้าห้องใต้ดินลงมาไว้ด้านล่าง เมื่อจัดวางเรียบร้อยแล้ว พวกผู้หญิงซึ่งไม่ค่อยมีแรงมากนัก จึงต้องอาศัยวิธีขนทีละเที่ยว ครั้งหนึ่งจึงแบกฟักทองไต่บันไดลงไปได้ไม่กี่ลูก
ตอนนี้หน้ากระท่อมมีคนภายนอกมา แต่คนกลุ่มแรกที่มาไม่ใช่ช่างขุดบ่อน้ำ ช่างขุดบ่อน้ำก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมา ทั้งที่ตกลงกันเรียบร้อยแล้วแต่ถึงตอนนี้ก็ยังมาไม่ถึง
และคนกลุ่มแรกก็ไม่ใช่รถส่งเสบียงอาหารของเริ่นจื่อเซิง ที่รับปากว่าจะมาส่ง แต่กลับเป็นรถส่งของของคุณชายเซี่ยเหวินหยวนของจวนโหว ที่ให้คนขนกระดาษมันมาให้ ในรถนั่น มีกระดาษมันที่ซ่งฝูเซิงอยากได้ ของพวกนี้สามารถนำมาใช้แทนแผ่นพลาสติก เป็นกระดาษมันอย่างดีที่มีราคาแพง เขาขนมาให้อย่างมากมาย
พวกเจ้าดูสิ คุณชายน้อยของจวนโหวไม่เหมือนกัน ถ้าไม่ตกปากรับคำก็ปฏิเสธ แต่ถ้าตกลงรับปากแล้ว เขาก็ทำตามคำพูดโดยไม่ลังเล ไม่จำเป็นต้องเสียเวลากับเรื่องพวกนี้มากนัก
ซ่งฝูเซิงรีบล้างมือที่เปื้อนโคลนให้สะอาดและออกไปต้อนรับแขก กระดาษมันพวกนี้มีราคาแพง คนพวกนี้ไม่เคยเห็นกระดาษมันมาก่อน เขาจัดสรรให้คนขนไปเก็บไว้ในห้อง
บรรยากาศหน้ากระท่อมตอนนี้ ทุกคนกำลังยุ่งวุ่นวายกันมาก
ซ่งฝูหลิงมองซ้ายทีขวาที อย่างไรก็รู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนเกิน
ใช่แล้ว เรียนทำผักดองเป็นแล้ว และใช้มีดหั่นหัวไชเท้าช่วยกันหั่นผักแล้ว แต่นางกลับคิดว่าพวกนั้นเป็นงานซ้ำซากจำเจ และไม่ได้ใช้เทคนิคพิเศษอะไร นางจึงรู้สึกเบื่อหน่าย
ควรจะไปช่วยเฉียนเพ่ยอิงขนฟักทองลงไปไว้ในห้องใต้ดินมากกว่า
แต่นางก็คิดว่างานพวกนั้นต้องใช้แรงเยอะ ต้องเหนื่อยมากแน่ นางคงทำไม่ได้เพราะต้องแบกฟักทองลงไปห้องใต้ดินทีละเที่ยว แค่นางเดินขึ้นลงไม่กี่ครั้งก็เหนื่อยมากแล้ว
ซ่งฝูหลิงจึงพาหมี่โซ่วเดินออกไป
สองพี่น้องเดินมาริมแม่น้ำ พบว่าทางริมแม่น้ำก็กำลังยุ่งกันมากเช่นกัน ฝั่งตรงข้ามกำลังซ่อมสะพาน ส่วนพวกท่านลุงฝูกุ้ยกำลังขนฟักทองโดยใช้แพขนข้ามแม่น้ำมา นางกังวลว่าท่านลุงฝูกุ้ยจะเวียนหัวจนอาเจียนออกมาเพราะวันหนึ่งต้องถ่อแพไป-กลับหลายสิบรอบ
ซ่งฝูหลิงหาสถานที่ที่ไม่ค่อยมีผู้คน นางให้หมี่โซ่วไปเก็บกิ่งไม้มา หลังจากนั้นนางก็ขุดดินเหนียวจำนวนมากที่อยู่ริมแม่น้ำใส่ลงในตะกร้า
“พี่สาว ขุดดินเหนียวมาทำไม?”
“ข้าพาเจ้าออกมาเล่นยังไงล่ะ วันนี้ข้าจะสอนเจ้าให้ใช้ดินเหนียวปั้นเป็นถ้วยและเผาจานกัน”
เฉียนหมี่โซ่วขมวดคิ้ว เขามองซ่งฝูหลิงราวกับว่านางเป็นคนไม่สมประกอบ เขาคิดในใจว่า พี่สาว ที่บ้านมีงานให้ทำมากมาย ท่านไม่ไปช่วยงาน แต่ท่านพาข้าออกมาเล่นงั้นนหรือ?
ซ่งฝูหลิงถูกมองเช่นนั้นก็รู้สึกว่า เด็กในยุคโบราณไม่มีช่วงเวลาของเด็กๆ เลย ไม่เหมือนกับนางที่ในวัยเด็กชอบเล่นดินเล่นโคลนไปเรื่อย “เจ้าไม่ต้องมองข้าแบบนั้น รอข้าแสดงฝีมือให้เจ้าดูก่อน ทำถ้วยกับชามนั่นไม่ค่อยเท่าไหร่หรอก รอข้าทำท่อเป่าลมให้เจ้าเสร็จก่อนเถอะ ถึงตอนนั้นเจ้าอย่ามาชื่นชมข้าก็แล้วกัน”
ใช่แล้ว ซ่งฝูหลิงคิดอยากจะทำท่อเพื่อเอาไว้เป่าลมก่อไฟ
เพราะตอนที่ท่านย่าจะก่อไฟทำกับข้าวทุกครั้ง นางต้องก้มลงไปเป่าลมตรงปากเตาเพื่อให้ไฟลุกโชนขึ้นมา ถ้าเป็นเช่นนั้น คงจะต้องเป่าจนเขม่าเลอะเต็มใบหน้าหรือ? ไม่ดีต่อร่างกายเลย
ที่สำคัญคือ หากท่านย่าของนางเป่าเองก็ไม่เป็นไร แต่ท่านย่าชอบใช้นางให้ช่วยก่อไฟด้วยนะสิ
นางต้องใช้ปากตัวเองเป่าลมไปที่ปล่องเตาไฟ ซึ่งนางไม่ต้องการทำแบบนั้น นางมีผิวพรรณที่ขาวผ่องขนาดนี้และยังทาครีมบำรุงผิวบนใบหน้า ถ้าเป่าไฟแบบนี้บ่อยๆ ต่อให้ใช้ครีมอะไรผิวพรรณก็คงไม่ดีขึ้นแน่
เพื่อทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องง่าย ซ่งฝูหลิงจึงตัดสินใจใช้สติปัญญาที่มี ทำท่อไว้เป่าเตาไฟ